หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 133-1 หมอพเนจรฟื้นตื่น (ต้น)
กาลเวลาคล้ายกับจะหยุดนิ่ง แสงเดือนดุจธารน้ำอาบไล้อย่างอ่อนโยน
จีหมิงซิวประคองนางอย่างแผ่วเบา นางเอนตัวอย่างเกียจคร้าน ปากฮัมท่วงทำนองที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน นุ่มนวล อ่อนโยน ความงดงามอันแสนพยศแผ่ออกมาจากร่าง
หากรู้ก่อนว่ายามนางเมามายจะชวนให้ลุ่มหลงเช่นนี้ แต่แรกก็สมควรมอมเหล้านางให้เมาเสีย
ท่าทางหยิ่งผยองวางอำนาจก่อนหน้านี้หายไปสิ้น นางเชื่องเหมือนลูกแมวน้อยตัวหนึ่ง แมวน้อยที่กระโดดเต้นรำตัวหนึ่ง
“ฮูหยิน! ฮูหยิน! เสี่ยวเว่ย ‘ยอมมอบตัว’ แล้ว!”
อากุ้ยพุ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน กลัวว่าหากช้าไปสักพริบตาหนึ่ง เจ้าคนที่ชื่อเสี่ยวเว่ยนั่นจะแย่ง ‘หนังสือสำนึกผิด’ ของตนเองกลับไป
ร่างกายของจีหมิงซิวแข็งทื่อในทันใด สายตาเย็นเฉียบพุ่งเข้าใส่อากุ้ยประหนึ่งคมดาบ
อากุ้ยตกใจสะดุ้งโหยงเมื่อสบสายตาดุจคมดาบอันน่ากลัว เขาตกใจจนหยุดหายใจ “เจ้า เจ้า เจ้าเป็นผู้ใด เจ้าจะทำอะไรกับฮูหยิน”
ในห้องอบอวลด้วยกลิ่นหอมของสุราองุ่นเข้มข้น เห็นชัดว่าฮูหยินดื่มจนเมา เจ้าคนลามกน่ารังเกียจ ฉวยโอกาสที่ฮูหยินเมาหมายจะทำมิดีมิร้ายฮูหยิน!
อากุ้ยก้าวพรวดเข้าไปหาจีหมิงซิว “ปล่อยฮูหยินนะ!”
จีหมิงซิวฟาดหนึ่งฝ่ามือใส่อากุ้ยจนปลิว ฝ่ามือนี้ไม่ได้ใส่กำลังภายใน แต่ก็เพียงพอทำให้อากุ้ยเจ็บปวดทรมาน
อากุ้ยชนกับกำแพงด้านหลัง แผ่นหลังเจ็บปวดอย่างรุนแรง อากุ้ยกัดฟัน คว้าม้านั่งด้านข้างหมายจะขว้างใส่
เฉียวเวยหาวหวอด แล้วเอ่ยเสียงอ่อนอย่างเกียจคร้าน “ไม่ต้องตีแล้ว เขาคืออากุ้ย”
จีหมิงซิวมองนาง “ได้”
อากุ้ยอึ้ง ฮูหยินกับเขา…รู้จักกันหรือ
จีหมิงซิวมองอากุ้ยอย่างเย็นชา “ยังไม่ไปอีก รอโดนตีอีกหรือ”
อากุ้ยมองจีหมิงซิว แล้วมองฮูหยินผู้ทำตัวเชื่องว่าง่ายอยู่ในอ้อมแขนของจีหมิงซิว เขาค่อยๆ เข้าใจอะไรบางอย่าง เดาว่าตนเองคงไม่ได้จับโจรขโมยบุปผาคนใดได้ แต่ดันทะเล่อทะล่าเข้ามาขัด ‘เรื่องดีงาม’ ของฮูหยินต่างหาก ยามปกติฮูหยินมักจะทำท่าทางเหมือนเดียวดายอยู่ตลอด เขาจึงเข้าใจว่าฮูหยินไม่มีบุรุษเคียงข้าง ไหนเลยจะรู้ว่านางซ่อนบุรุษตัวโตขนาดนี้ไว้ในบ้าน
หน้าตาของบุรุษผู้นี้ซ่อนอยู่ในเงามืด แต่เรือนร่างผึ่งผาย ท่าทางไม่ธรรมดา ไม่ใช่พวกเสเพล ตนเองอย่าไปยุ่งไม่เข้าเรื่องดีกว่า
อากุ้ยก้มหน้าถอยออกไป แน่นอนว่าหนังสือสำนึกผิดฉบับนั้นของตัวเขาเองก็ไม่ได้ยื่นให้
จีหมิงซิวรู้สึกว่าอ้อมแขนหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ เมื่อก้มหน้ามองจึงเห็นว่าเวลานี้หัวหน้าพรรคเฉียวปิดตาหลับไปเสียแล้ว
จีหมิงซิวทั้งโมโหทั้งขบขัน “เจ้าตัวน้อยจอมร้ายกาจ!”
…
ยามเช้าตรู่ เฉียนวเวยถูกนาฬิกาชีวิตในร่างปลุกให้ตื่น เมื่อลืมตาขึ้นก็รู้สึกว่าปวดหัวแทบระเบิด ร่างกายร่างนี้อ่อนแอเกินไปจริงๆ ไม่มีความต้านทานแอลกอฮอลล์แม้แต่นิดเดียว เพียงสุราองุ่นภูเขาไม่กี่จอกก็เมามายจนเป็นเช่นนี้ ต้องบอกก่อนว่าเมื่อชาติก่อนนางซดเหล้าขาวหนึ่งชั่งก็ยังไม่ใช่ปัญหา
ต้องหาโอกาสฝึกปรือความทนแอลกาฮอลล์ให้ร่างกายนี้บ้างแล้ว อย่างไรเสียนางก็ชอบสุราองุ่นมากทีเดียว
เฉียวเวยกุมศีรษะที่ปวดร้าวลุกขึ้นมานั่ง แล้วก็เห็นขวดกระเบื้องที่อยู่บนตู้ รวมถึงแผ่นกระดาษที่ขวดกระเบื้องทับอยู่ทันที
‘ยาแก้เมา กินตอนท้องว่างสองเม็ด’
ตัวอักษรเช่นนี้ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าของผู้ใด
เมื่อวานเขามาจริงๆ
ตนเองทั้งกอดเขา จูบเขาแล้วยังร้องเพลงกับเต้นอีก เรื่องพวกนั้น…ก็คงไม่ใช่ฝันสินะ
สวรรค์นางทำเรื่องขายหน้าเช่นนั้นได้อย่างไร บรรพบุรุษสิบแปดรุ่นขายหน้าหมดสิ้นแล้ว
จะไม่ดื่มเหล้าอีกแล้ว! ให้ตายก็ไม่ดื่มแล้ว!
เฉียวเวยทานอาหารเช้าเสร็จก็ไปส่งลูกๆ ที่สำนักศึกษา หลังจากนั้นจึงไปโรงงาน สายตาที่อากุ้ยมองนางไม่ค่อยปกตินัก ทั้งแปลกประหลาดทั้งดูแคลนอยู่ในที
แต่เฉียวเวยดันจำช่วงที่อากุ้ยพุ่งเข้ามาไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่เข้าใจปฏิกิริยาของอากุ้ยอย่างยิ่ง “ใจกล้าแล้วใช่หรือไม่สารภาพผิดขอลดโทษ ยังมาทำหน้าเช่นนี้ใส่เถ้าแก่อีก ข้าว่าเจ้าไม่อยากได้เงินเดือนแล้วสินะ!”
อากุ้ยรู้แล้วว่าเงินเดือนหมายถึงเบี้ยรายเดือน เดือนก่อนได้น้อยกว่าชีเหนียง ในใจก็ไม่พอใจมากพอแล้ว หากสตรีนางนี้ไม่ให้อีก ถ้าเช่นนั้นศักดิ์ศรีในบ้านของเขาก็คงไม่เหลือให้พูดถึงแล้ว
บุรุษร่างสูงเจ็ดฉื่อก็ยังมีเวลาที่ต้องก้มหัวเพื่อข้าวสารหนึ่งกระบวย อากุ้ยแค่นเสียดังเหอะ แล้วไปทำงานอย่างยอมจำนนต่อโชคชะตา
เฉียวเวยเดินไปข้างเสี่ยวเว่ย สิ่งที่น่าประหลาดก็คือเสี่ยวเว่ยก็ทำหน้าบูดจมูกเบี้ยว ตาค้อนขวักเหมือนกัน
ประเดี๋ยวก่อน คนที่ทำผิดเหมือนจะเป็นเจ้าสองคนนี้นี่ เหตุไฉนทำเหมือนนางทำความผิดเสียเล่า!
เฉียวเวยไหนเลยจะทราบว่า พออากุ้ยหยิบหนังสือสำนึกผิดผิดฉบับไปฟ้อง เสี่ยวเว่ยก็ไล่ตามมาทันที เสี่ยวเว่ยย่อมไม่กังวลว่าฮูหยินจะตำหนิเขา อย่างไรเสียนั่นก็ไม่ใช่หนังสือสำนึกผิดของเขาเสียหน่อย เป็นของอากุ้ยต่างหาก สาเหตุที่เขาแอบตามมาก็เพราะอยากดูปฏิเริยาของฮูหยิน เพื่อจะได้ขบคิดว่าตนเองจะสารภาพยอมรับผิดกับฮูหยินหรือจะม้วนเสื้อหนีไปเลยดี
ไหนเลยจะทราบว่าเขากลับไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น นอกจากเห็นฮูหยินกอดอยู่กับบุรุษคนหนึ่ง
น่าโมโหนัก!
“เสี่ยวเว่ย ฟองนี้เจ้าพอกโคลนหนาเกินไปแล้วหรือไม่…”
“เหอะ!”
เฉียวเวยยังพูดไม่ทันจบ เสี่ยวเว่ยก็แค่นเสียงเหอะหนักๆ คำหนึ่ง
“ข้าว่าเจ้าน่ะ…”
“เหอะ!”
“เจ้าทำ…”
“เหอะ! เหอะ! เหอะ! เหอะ! เหอะ!” เสี่ยวเว่ยเท้าสะเอว กระทืบเท้า จ้องอย่างเกรี้ยวกราด!
ตอนแรกเฉียวเวยตกตะลึง แต่หลังจากนั้นก็ฟาดฝ่ามือใส่กะโหลกของเขา “เหอะอะไรของเจ้า ราศีกุนหรืออย่างไร”
เสี่ยวเว่ยไม่กล้าส่งเสียงเหอะแล้ว เขาก้มหน้าเหมือนภรรยาตัวน้อยผู้คับแค้นใจ แล้วเดินไปทำงานเงียบๆ
เฉียวเวยมองแล้วแสลงตานัก กลับเข้าห้องไปทำงานบ้าง เนื้อหาที่ส่งข้อความหากันเมื่อคืนวานนางจำไม่ค่อยได้นัก ย่อมจำเรื่องเทศกาลโคมไฟไม่ได้ด้วย นางหยิบสมุดบัญชีออกมาสะสาง หลังจากนั้นก็เดินทางไปบ้านสกุลหลัว
เงินที่นางติดค้างบ้านสกุลหลัวไว้ยังไม่ได้ใช้คืนเลย เกือบลืมเสียแล้ว
เฉียวเวยหยิบเงินเดินเข้ามาในห้อง “แม่บุญธรรม ข้ามาแล้ว”
“เสี่ยวเวยหรือ” ป้าหลัวเลิกม่านเดินออกมา ดวงตาแดงระเรื่อ
เฉียวเวยมองนางอย่างฉงน “แม่บุญธรรม ท่านเป็นอะไรไป”
ป้าหลัวเช็ดน้ำตา เอ่ยเสียงเบาว่า “ไม่ใช่ข้า ป้าจ้าวของเจ้า”
“ป้าจ้าวอยู่ด้านในหรือ” เฉียวเวยมองผ่านรอยแยกผ้าม่านเข้าไปด้านใน
ป้าหลัวพยักหน้า “เข้ามาเถิด”
เฉียวเวยเดินเข้ามาในห้องของป้าหลัว ป้าจ้าวได้ยินว่าเฉียวเวยมา นางจึงกำลังเช็ดน้ำตาอยู่ พอเห็นคนเข้ามาก็ฝืนยิ้ม “เสี่ยวเฉียว”
เฉียวเวยนั่งลงบนเตียงเตา “เกิดอะไรขึ้นหรือ ป้าจ้าว”
ป้าจ้าวหัวใจเป็นทุกข์นัก จะเปิดปากน้ำตาก็พรั่งพรูออกมา
ป้าหลัวตอบแทนนาง “ทางการจะขึ้นภาษี”
เฉียวเวยไม่ค่อยเข้าใจเรื่องภาษีในยุคโบราณนัก ปกติเงินที่ได้จากหรงจี้ เถ้าแก่หรงจะจ่ายภาษีให้นางอยู่แล้ว พ่อค้าถูกเรียกเก็บภาษีมาก แต่ละครั้งที่จ่ายภาษี หัวใจของนางเจ็บปวดยิ่งนัก ภาษีการทำนา จวบจนตอนนี้นางยังไม่เคยจ่ายมาก่อน ได้ยินมาว่าไม่หนักหนาปานนั้น แต่ไม่รู้ว่ารายละเอียดเป็นอย่างไร
“เพิ่มเท่าไรหรือ” เฉียวเวยถาม
ป้าหลัวตอบว่า “ตอนแรกบอกจะเก็บสองส่วน แต่พวกชาวบ้านในชนบทจ่ายไม่ไหวจริงๆ จึงเปลี่ยนมาเป็นหนึ่งส่วนครึ่ง”
ป้าจ้าวสะอึกสะอื้น “ก่อนหน้านี้เก็บตามจำนวนคนสามสี่ร้อยชั่งก็พอแล้ว ตอนนี้กลับต้องส่งให้ห้าหกร้อยชั่ง หากเป็นปีที่อุดมสมบูรณ์ก็แล้วไปเถิด แต่ปีนี้แล้งหนัก ไร่นาเสียหายไปตั้งเท่าไร บ้านผู้ใดจะขนผลผลิตออกมาได้มากมายปานนั้น”
ในยุคโบราณอัตราผลผลิตต่อหมู่ต่ำ หนึ่งหมู่ได้ผลผลิตเพียงสองสามร้อยชั่ง ปีนี้สถานการณ์ยังย่ำแย่ บางไร่พืชพรรณล้มตายหมด ต้นที่ไม่ตายก็เติบโตได้ไม่ดีนัก เวลานี้ไม่ลดภาษีก็แย่แล้ว แต่ยังจะเพิ่มภาษี ราชสำนักมัวไปทำอะไรกินอยู่
“เหตุใดจึงเพิ่มภาษีเล่า” เฉียวเวยถาม
ป้าหลัวส่ายหน้า “เรื่องนี้พวกเราก็ไม่รู้ ต้องถามหัวหน้าหมู่บ้าน”
พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา หัวหน้าหมู่บ้านเดินข้ามธรณีประตูเข้ามา ตอนเดินผ่านห้องของป้าหลัวก็มองเข้ามา “โอ๊ะ อยู่นี่กันหมดนี่เอง”
“หัวหน้าหมู่บ้าน” ป้าหลัวพาเฉียวเวยกับป้าจ้าวเดินไปยังห้องโถง รินชาเย็นสองถ้วยให้เฉียวเวยกับหัวหน้าหมู่บ้าน
หัวหน้าหมูบ้านดื่มชาเย็นคำโตเสียหลายคำแล้วว่า “ข้าผ่านทางมา จึงเดินเข้ามานั่งเล่น”
ปากเขากล่าวเช่นนี้ แต่ผู้ใดก็มองออกว่าเขาคงหมดปัญญา คิดอะไรไม่ออกจึงมาหาบ้านสกุลหลัว
ป้าหลัวนั่งลงแล้วบอกว่า “เรื่องนี้ข้าก็ไร้หนทางเช่นกัน จากข่าวที่พ่อของเด็กๆ ไหว้วานคนมาส่ง บอกว่าหมู่บ้านอื่นล้วนเริ่มจ่ายกันแล้ว ให้หมู่บ้านเราเตรียมตัวไว้ให้พร้อมด้วย สิ่งที่ควรจ่ายก็ต้องจ่าย”
ป้าจ้าวพูดอย่างอิจฉา “บ้านพวกเจ้าไม่ได้อาศัยทำนาหาข้าวกินนี่ พี่ใหญ่ทำงานอยู่ที่ศาลาว่าการอำเภอ รับเบี้ยรายเดือนจากศาลาว่าการแภอ หย่งจื้อเด็กคนนั้นก็รับซื้อกุ้งจากตามหมู่บ้าน หาเงินได้ไม่น้อย พวกเจ้าบอกจะจ่ายก็ต้องจ่ายได้แน่นอนอยู่แล้ว แต่พวกเราที่ทำนากันหงกๆ เหล่านี้ ในบ้านยากจนจนไม่มีข้าวจะหุงกินอยู่แล้ว ไหนเลยจะมีข้าวเหลือมาจ่ายภาษีอีก”
คำพูดนี้ไม่น่าฟังเล็กน้อย น้ำเสียงกระทบกระเทียบแดกดัน แต่ป้าหลัวทราบว่านางอารมณ์ไม่ดี จึงไม่เก็บมาใส่ใจ
เฉียวเวยมองหัวหน้าหมู่บ้าน “หัวหน้าหมู่บ้าน ทางการไม่ทราบหรือว่าปี้นี้แล้งหนัก ผลผลิตของชาวนาชาวไร่ไม่ดี”
ไม่รอหัวหน้าหมู่บ้านตอบ ป้าจ้าวก็ตอบอย่างคับแค้น “พวกขุนนางพวกนั้น มีสักกี่คนรู้เรื่องทำนา ผลผลิตดีหรือไม่ก็เป็นเพียงคำพูดประโยคเดียวสำหรับพวกเขา แต่เดิมคิดว่าแม้ปีนี้ผลผลิตไม่ดี แต่ยังพอฝืนเลี้ยงชีวิตรอดไปได้ ผู้ใดจะคิดว่าอยู่ดีๆ จะมาขึ้นภาษี…นี่ไม่ใช่จะบีบบังคับพวกเราให้ไร้หนทางหรือไร” ป้าจ้าวพูดไปๆ ก็ร้องไห้
ป้าหลัวตบไหล่ป้าจ้าวเบาๆ “ไม่ต้องร้องไห้แล้ว น้องสาว เข้าห้องไปล้างหน้าเถิด”
ป้าจ้าวถูกป้าหลัวเกลี้ยวกล่อมให้เข้าไปในห้อง
เฉียวเวยหันไปมองหัวหน้าหมู่บ้าน “สถานการณ์เลวร้ายจนอยู่ไม่ได้จริงๆ หรือ”
หัวหน้าหมู่บ้านถอนหายใจ “ลำบากจริงๆ บ้านสกุลจ้าวเป็นบ้านที่ชีวิตลำบากอยู่แล้วก็ยิ่งลำบากขึ้นอีก คนบ้านอื่นแม้จะลำบากสักหน่อยแต่ยังพอประทังชีวิตรอดได้”
หมายความไม่ถึงขั้นหิวตายเช่นนั้นหรือ แต่ปกติก็ลำบากมากพออยู่แล้ว หากลำบากขึ้นไปอีกจะเป็นอย่างไร เฉียวเวยไม่กล้าคิด
หัวหน้าหมู่บ้านเห็นท่าทางนิ่งเงียบของเฉียวเวยก็คิดว่าเฉียวเวยกำลังกังวลว่าตนเองจะถูกเก็บภาษีด้วย จึงรีบบอกว่า “เจ้าอย่ากลัว ที่สิบหมู่ทางฝั่งตะวันออกของหมู่บ้านของเจ้าเป็นที่ดินรกร้าง สามปีแรกไม่เก็บภาษี แต่ที่บนไหล่เขาของเจ้าผืนนั้นยังต้องจ่ายนิดหน่อย”
“ข้าปลูกแตงโม แม้แต่แตงโมทางการก็ยังจะเอาด้วยหรือ”
“เก็บเป็นเงินแทน”
เฉียวเวยเบ้ปาก “ที่สองหมู่นั่น รวมแล้วยังขายไม่ได้ถึงหนึ่งตำลึงเงินเลย”
หัวหน้าหมู่บ้านถอนหายใจไม่รู้ครั้งที่เท่าไร “ใช่แล้ว ข้าวยังไม่งอก แตงโมจะงอกดีไปถึงไหน บ้านเจ้าคนน้อย แล้วยังไม่มีผู้ชาย จ่ายไม่มากหรอก”
เฉียวเวยทำการค้ามีรายได้เข้าทุกวัน ของพระราขทานที่ฮ่องเต้ให้มาก็ยังใช้ไม่หมด นางไม่มีปัญหามากมายกับการจ่ายภาษี
“แต่โรงงานนั่นของเจ้า” หัวหน้าหมู่บ้านเว้นวรรคนิดหนึ่ง “อาจต้องเก็บภาษีมากหน่อย”
“เรื่องนี้ข้ารู้” โรงงานเป็นภาษีการค้า สูงกว่าภาษีทำนาไม่น้อย แต่สูงอีกเท่าใดก็อยู่ในขอบเขตที่นางรับไหว ตอนนี้จึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่ “หัวหน้าหมู่บ้าน หากพวกเขาจ่ายภาษีไม่ได้จะถูกจับไปเข้าคุกหรือ”
หัวหน้าหมู่บ้านหัวเราะเหมือนเยาะเย้ยตนเอง “เจ้าคิดว่าคุกเข้ากันง่ายนักหรือ มีทั้งของกิน มีทั้งที่อยู่ คนมากเท่าใดอยากเข้าไปยังเข้าไปไม่ได้เลย หากเพียงต้องเข้าคุก ทุกคนก็คงไม่กังวลเรื่องจ่ายภาษีกันแล้ว”
“ถ้าเช่นนั้นจะทำอย่างไร” เฉียวเวยถาม
หัวหน้าหมู่บ้านตอบว่า “เจ้าเคยได้ยินเรื่องแรงงานเกณฑ์หรือไม่”
เฉียวเวยพยักหน้า นางเคยได้ยินเรื่องแรงงานเกณฑ์มาก่อน อธิบายง่ายๆ ก็คือแรงงานที่ไม่ได้รับค่าแรงในยุคโบราณ โดยทั่วไปมักมีชีวิตค่อนข้างน่าสังเวช หากโชคไม่ดีก็ต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นั่น คิดไม่ถึงว่าราชวงศ์ต้าเหลียงก็ใช้วิธีการเช่นนี้มาชดใช้แทนภาษีด้วย โหดร้ายอยู่เล็กน้อย “ที่ผ่านมาพอเป็นปีที่ผลผลิตไม่ดี ราชสำนักก็จะขึ้นภาษีเหมือนกันหรือ”
ใบหน้าของหัวหน้าหมู่บ้านปรากฏสีหน้าไม่เข้าใจเล็กน้อย “ไม่ ที่ผ่านมาหากผลผลิตไม่ดี ราชสำนักก็จะลดภาษีให้ตาม แต่ปีนี้ไม่รู้เป็นอย่างไรกลับดันจะขึ้น”
เฉียวเวยลูบคาง “ถ้าเช่นนั้นก็หมายความว่าไม่ได้อยากได้ภาษี แต่อยากได้ทหารเกณฑ์ ทว่าไม่สะดวกจะประกาศอย่างเปิดเผยโจ่งแจ้งจึงคิดจะใช้วิธีเรียกแรงงานแทนภาษี”
หัวหน้าหมู่บ้านตกตะลึง “เจ้าหมายความว่า…”
เฉียวเวยคลี่ยิ้ม “ข้าไม่รู้สถานการณ์ของราชสำนักมากนัก แต่คิดว่าหากที่ผ่านมาไม่ขึ้นภาษี แต่ปีนี้ดันทำผิดปกติ ถ้าเช่นนั้นหากไม่ใช่เบื้องบนเปลี่ยนคนดูแล ก็ต้องมีสาเหตุที่จำเป็นต้องทำเช่นนี้” เฉียวเวยมาอยู่ในสมัยราชวงศ์ต้าเหลียงหลายเดือนแล้ว นับว่าเข้าใจสถานการณ์ของที่นี่พอสมควร นางเคยพบฮ่องเต้มาก่อน เขาไม่ใช่คนเลวร้าย แม้ชีวิตของชาวบ้านจะลำบาก แต่ก็ไม่ถึงขั้นไร้หนทางใช้ชีวิต ทั้งที่การค้ารุ่งเรือง แต่กลุ่มโจรกลับน้อยยิ่งนัก..พอนับได้ว่าเป็นยุคสมัยอันรุ่งเรืองและสงบสุขยุคหนึ่ง คลังของราชสำนักสมควรจะไม่ขาดแคลนเงิน การขึ้นภาษีอย่างไร้เหตุผลย่อมมีเหตุผลเดียวนั่นก็คือจุดประสงค์มิได้อยู่ที่ภาษี
หัวหน้าหมู่บ้านเข้าใจในทันที “พอฟังเจ้าพูดเช่นนี้แล้วก็เหมือนจะมีเหตุผล ต้องการเกณฑ์ทหารหรือ…แล้วยังแอบๆ เกณฑ์อีก นี่คิดจะทำอะไรกัน”
เฉียวเวยยิ้ม “เรื่องนี้พวกเราชาวบ้านเหล่านี้คงมิอาจคาดเดาได้แล้ว”
หัวหน้าหมู่บ้านเอ่ยอย่างกลัดกลุ้ม “เป็นทหารอันตรายมาก”
ทหารเกณฑ์ยิ่งอันตราย เฉียวเวยเสริมประโยคหนึ่งในใจ ไม่เพียงไม่ได้เงิน แต่ยังไม่ตำแหน่งชัดเจนในกองทัพด้วย
หัวหน้าหมู่บ้านขมวดคิ้ว “หากไปเป็นทหารกันหมด นานี่ผู้ใดจะปลูกเล่า”
เพราะไม่มีผู้ใดยินดีจะเข้าร่วมกองทัพ ดังนั้นจึงคิดวิธีเก็บภาษีเกณฑ์แรงงานเช่นนี้ขึ้นมาสินะ ราชสำนักก็มีเรื่องลำบากของราชสำนัก ประชาชนก็มีความทุกข์ยากของประชาชน
“หัวหน้าหมู่บ้าน หมู่บ้านของพวกเรามีทั้งหมดกี่ครอบครัว” เฉียวเวยถาม
หัวหน้าหมู่บ้านตอบว่า “นับเจ้าด้วยก็หกสิบแปดครอบครัว”
“ครอบครัวที่จ่ายภาษีไม่ไหว ท่านคาดว่าจะมีสักกี่ครอบครัว”
“ครึ่งหนึ่งกระมัง”
โหดร้ายจริง พริบตาเดียวก็กวาดผู้คนไปครึ่งหมู่บ้าน
“ปล่อย! พวกเจ้าปล่อย! พวกเดรัจฉานปล่อยข้านะ! กรี๊ดดด”
ด้านนอกเสียงกรีดร้องของมารดาของเอ้อร์โก่วจื่อดังลอยมา
เฉียวเวยกับหัวหน้าหมู่บ้านรีบเดินออกไป แล้วก็เห็นเจ้าพนักงานทางการหลายคนกำลังมัดตัวบิดาของเอ้อร์โก่วจื่อเดินไปด้านนอก มารดาของเอ้อร์โก่วจื่อถูกเจ้าพนักงานคนหนึ่งเตะจนล้มลงไปกับพื้น เจ้าพนักงานผู้นั้นข้อมือเลือดไหลเพราะถูกมารดาของเอ้อร์โก่วจื่อกัด