หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 135-2 รักษาตัว หมอพเนจรมาเยือนบ้าน
สำหรับหัวหน้าหมู่บ้าน เสี่ยวเฉียวเป็นผู้ค้ำจุนเศรษฐกิจของทั้งหมู่บ้าน ครั้งนี้ไม่เพียงจ่ายภาษีแทนคนทั้งหมู่บ้าน ยังมอบงานให้บ้านที่ยากจนอีกหลายครอบครัว นางอยู่ดี ชาวบ้านถึงจะอยู่ดี หากนางล้ม ชาวบ้านทั้งหลายก็อย่าหวังจะมีชีวิตดีๆ ดังนั้นเขาจึงเป็นห่วงอาการป่วยของเสี่ยวเฉียวจริงๆ หวังว่านางจะหายดีเร็วๆ
ส่วนสำหรับซิ่วไฉเฒ่า คุณหนูเป็นเลือดเนื้อเพียงหนึ่งเดียวที่นายท่านกับฮูหยินเหลือทิ้งไว้บนโลก เขาตอบแทนบุญคุณของนายท่านไม่ได้ สิ่งที่ทำได้มีเพียงดูแลคุณหนูให้ดี แต่ตอนนี้คุณหนูล้มป่วยแล้ว วันหน้าหากเขาไปปรโลกย่อมไม่มีคำอธิบายมอบให้นายท่าน
“ข้าจะไปเชิญหมอจากเมืองหลวง” ซิ่วไฉเฒ่าลุกขึ้นยืน
“ข้าก็จะไปด้วย” หัวหน้าหมู่บ้านเอ่ยบ้าง “คนมากขึ้นคนหนึ่งก็ช่วยได้อีกแรง”
ซิ่วไฉเฒ่าปฏิเสธ “คนมากขึ้น รถม้ามีแต่จะวิ่งช้าลง”
ป้าหลัวจะหยิบเงินให้ซิ่วไฉเฒ่า แต่ซิ่วไฉเฒ่ากลับบอกว่า “ไม่ต้อง ผู้ปกครองหลายบ้านนั้นมอบเงินให้ข้า ในมือข้ามีเงิน” เมื่อเห็นป้าหลัวเตรียมจะเก็บเงินกลับเข้าไปในถุง ก็เอ่ยว่า “นี่เงินของเจ้าหรือของเสี่ยวเฉียว”
“ของข้าสิ” ป้าหลัวตอบ
ซิ่วไฉเฒ่าถามว่า “ถ้าเจ้าใช้ไปแล้วจะให้เสี่ยวเฉียวคืนหรือไม่”
ล้อเล่นอะไรกัน เสี่ยวเฉียวเป็นลูกสาวบุญธรรมของนาง มีมารดาที่ไหนหาหมอให้ลูกสาวแล้วให้ลูกสาวคืนเงินบ้าง
“แน่นอนว่าไม่!” ป้าหลัวตอบ
ซิ่วไฉเฒ่ายื่นมือออกมา “จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าเงินของข้าคืนให้พวกผู้ปกครองไปหมดแล้ว”
ป้าหลัว “…”
…
ซิ่วไฉเฒ่านำเงินที่ป้าหลัวมอบให้ลงจากเขา เขานั่งรถม้าของตาเฒ่าซวนจื่อเข้าไปในตัวเมืองก่อน แต่เดิมคิดจะนั่งรถเทียมลาของหลัวหย่งจื้อไป แต่ลาไม่เร็วเท่ารถม้า หลังจากนั้นจึงจ้างรถม้าในตัวเมืองเดินทางไปยังเมืองหลวงต่อ
การเดินทางไปกลับครานี้ระยะทางนับร้อยลี้ ไม่ทราบว่าเฉียวเวยจะทนรอจนหมอมาถึงได้หรือไม่
ไข้สูงไม่ลดเป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวที่สุด หมอพื้นบ้านคิดหาสารพัดวิธีมาลดไข้ของเฉียวเวย “ผ้าห่ม! เร็ว ห่อนางไว้ให้แน่น เค้นเหงื่อออกมา! พอเหงื่อออก ไข้ก็ลดแล้ว”
เสี่ยวเว่ยสัมผัสตัวนางไปแล้ว หากจะติดก็คงติดแล้ว จะเว้นระยะห่างอีกก็ไร้ประโยชน์ ดังนั้นเขาจึงหยิบผ้าห้มมาห่อเฉียวเวยไว้ทั้งตัวอย่างแน่นหนา
หน้าร้อนถูกผ้าห่มห่อไว้ นั่นบอกได้คำเดียวว่าทรมาน
เฉียวเวยร้อนจนตาเหลือก
“เหงื่อออกหรือยัง” หมอพื้นบ้านถาม
เสี่ยวเว่ยแตะลำคอของนาง “ยัง!”
“เพิ่มอีกชั้น!” หมอพื้นบ้านสั่ง
เฉียวเวยตาเหลือกจนใกล้จะเหมือนปลาที่หงายท้องตัวหนึ่ง ระบายความร้อน ต้องระบายความร้อนสิ ไม่ใช่ปิดไว้…
เสี่ยวเว่ยเพิ่มผ้าห่มบนเตียงอีกชั้น เฉียวเวย ‘หงายท้อง’ จริงๆ แล้ว
“เกิดอะไรขึ้น” หมอพื้นบ้านผู้เขลาวิชาถาม
เสี่ยวเว่ยตอบว่า “ดูเหมือนจะ…เป็นลมไปแล้ว!”
ร้อนจนเป็นลม
หมอพื้นบ้านตบเข่าฉาด “อาการหนักขึ้นแล้ว เร็วเข้า รีบเพิ่มผ้าห่มอีกชั้น! ประตูหน้าต่างปิดให้หมด! ต้องร้อน! ต้องเอาให้ร้อน! เสี่ยวเว่ย หยิกนาง! ป้าหลัว เจ้าไปเอาเตาเข้ามา!”
เฉียวเวยถูกหยิกจนตื่นขึ้นมาอย่างยากลำบาก เมื่อได้ยินหมอโง่คนนี้บอกว่าให้ยกเตาเข้ามาให้นาง ตาสองข้างก็เหลือกทันที หมดสติไปอีกรอบ!
เมื่อเฉินต้าเตาพาหมอพเนจรรีบเร่งเดินทางมา ‘ขอลูกสาว’ จากเฉียวเวย งูพิษตัวน้อยที่ถูกซุกอยู่บนขื่อคานในห้องของเฉียวเวยก็เกือบจะถูกย่างเป็นงูแห้งแล้ว แต่ละตัวๆ พาดอยู่บนคาน ตาเหลือกลอย น้ำลายฟูมปาก…
เฉินต้าเตาเปิดประตูเข้ามา ความร้อนก็โถมเข้าใส่ใบหน้า เขากระโดดถอยหลังด้วยสัญชาตญาณ “แม่เจ้าโว้ย! ไฟไหม้หรือ”
เสี่ยวเว่ยแลบลิ้นวิ่งเข้ามาหาเหมือนหมาหอบแดดตัวหนึ่ง “ข้าไม่ไหวแล้ว…ข้าไม่ไหวแล้ว…ร้อนเกินไปแล้ว”
หมอพื้นบ้านร้อนจนนอนหมอบอยู่บนโต๊ะ ลุกก็ลุกไม่ขึ้น
แล้วหันไปมองเฉียวเวย…
มองไม่เห็นแล้ว เห็นแต่ตุ๊กตาไฟตัวโตสีแดงก่ำตัวหนึ่ง!
ทั้งตัวกลายเป็น สี แดง!
เฉินต้าเตาตกตะลึงจนนิ่งอึ้ง
หมอเนจรวางตะกร้าที่สะพายบนหลังลง แล้วรีบก้าวเข้ามาในห้อง เปิดหน้าต่าง ยกเตาออก คลายผ้าห่มบนตัวตุ๊กตาไฟแซ่เฉียวออกทีละชั้น “เลอะเลือนแล้ว! เลอะเลือนแล้ว!”
หมอพเนจรอุ้มเฉียวเวยออกมา แล้วถามอย่างไม่ยอมให้ปฏิเสธ “ยังมีห้องอื่นอีกหรือไม่”
ป้าหลัวมองบุรุษแปลกหน้าที่โผล่มาอย่างกะทันหันคนนี้อย่างตกตะลึง ในมุมมองความงามของคนอายุเท่านี้อย่างป้าหลัว ความตกตะลึงยามเห็นหน้าตาอันงดงามของเขาไม่น้อยกว่ายามเฉียวเวยเห็นจีหมิงซิว ป้าหลัวหน้าแดง ชี้ทางขวาอย่างไม่รู้ตัว “…มี มี ห้องของจิ่งอวิ๋นว่างอยู่”
หมอพเนจรอุ้มเฉียวเวยไปวางบนเตียงของจิ่งอวิ๋น “จูเอ๋อร์ เข็มทอง!”
เขาเพิ่งเอ่ยจบ ก็เห็นลิงดำตัวน้อยตัวหนึ่งมุดออกมาจากในตะกร้าสมุนไพรที่มีผ้าปิดไว้ใบนั้น ในมือถือกล่องไม้ใบหนึ่ง วิ่งฉิวเข้ามาในห้องของจิ่งอวิ๋น
หมอพเนจรหยิบเข็มทอง ใช้สุราฤทธิ์แรงฆ่าเชื้อ หลังจากนั้นปักลงบนจุดฝังเข็มหลายตำแหน่งบนร่างเฉียวเวย
เฉินต้าเตาที่เริ่มตั้งสติได้ หันกลับมา เอ๋ คนบ้าผู้นั้นเล่า
ป้าหลัวรินชาถ้วยหนึ่งให้เฉินต้าเตา แล้วเอ่ยอย่างซาบซึ้ง “ต้าเตา เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเสี่ยวเฉียวป่วย แล้วยังอุตส่าห์เชิญหมอคนหนึ่งมาให้อีกด้วย”
“เขาไม่ใช่หมอเสียหน่อย! เขาเป็นคน…” เฉินต้าเตาเห็นหมอพเนจรกำลังฝังเข็มให้หัวหน้าพรรคเฉียวแล้ว คำพูดจึงตีบตันอยู่ในลำคอ “คนที่ชื่อเสียงเลื่องลือทั่วเมือง”
ป้าหลัวยิ้มบอกว่า “ขอบคุณเจ้านะต้าเตา เดี๋ยวตอนเสี่ยวเฉียวตื่น ข้าจะบอกนางแน่ว่าเจ้าช่วยเชิญหมอมาให้นาง”
เฉินต้าเตาโบกมือเป็นพัลวัน “ไม่ต้องๆ! อย่าเด็ดขาดเชียว!” ขืนให้ฮูหยินรู้ว่าเขาเอาคนบ้ามารักษาโรคให้นาง ฮูหยินก็กินหัวเขาน่ะสิ
“เป็นอะไรไปหรือ” ป้าหลัวถามเขาอย่างไม่เข้าใจ
เฉินต้าเตาปากยิ้มแต่ตาไม่ยิ้มตอบว่า “ข้าไม่ได้มาด้วยกันกับเขาหรอกท่านป้า ความจริงวันนี้ข้าไม่สมควรมาที่นี่ ข้ามีงานสำคัญอย่างยิ่งต้องทำ หากปล่อยให้ฮูหยินทราบว่าข้าหนีงานมาโดยพลการ นางจะต้องไม่ละเว้นข้าแน่ ท่านช่วยข้าสักหน บอกว่าวันนี้ท่านไม่ได้พบข้านะ ข้าไปก่อน!”
ป้าหลัวเรียกเขา “โธ่ ต้าเตา! ต้าเตา! เจ้ากินข้าวก่อนค่อยไปสิ!”
เฉินต้าเตาหนีหางจุกตูดไปแล้ว
ชีเหนียงซักเสื้อผ้าของเฉียวเวยกับเด็กๆ เสร็จ เดินเข้ามาก็เห็นหมอพเนจรที่อยู่ในห้องของจิ่งอวิ๋น “ป้าหลัว นั่นผู้ใดหรือ”
ป้าหลัวยิ้มอย่างเบิกบาน “หมอที่ต้าเตาเชิญมา”
แล้วป้าหลัวก็ขายเฉินต้าเตาด้วยประการฉะนี้…
หมอพเนจรฝังเข็มให้เฉียวเวยเสร็จ อุณหภูมิร่างกายของเฉียวเวยก็ไม่สูงขึ้นอีก กลับมาอยู่ในสภาพก่อนถูกหมอพื้นบ้านทรมาน แต่ก็ยังยินดีไม่ได้
“ท่านหมอ ลูกสาวข้านางเป็นเช่นไรบ้าง” ป้าหลัวถามเสียงเบา
หมอพเนจรหมุ่นคิ้ว “นางเป็นลูกสาวเจ้าหรือ”
ป้าหลัวพยักหน้า
หมอพเนจรถามด้วยสีหน้าจริงจัง “แต่เจ้าอัปลักษณ์”
ป้าหลัวมุมปากกระตุกอย่างรุนแรง แล้วเค้นเสียงลอดไรฟัน “…ลูกสาวบุญธรรม”
หมอพเนจรขานอืมตอบอย่างพอใจ แล้วจับชีพจรให้เฉียวเวย จากนั้นมองตุ่มสองตุ่มที่ขึ้นบนแขนของนาง “อีสุกอีใสหรือ”
“ใช่แล้ว นี่เป็นเทียบยาที่นางเคยกินก่อนหน้านี้ ท่านลองดู” ป้าหลัวยื่นเทียบยาที่เฉียวเวยกับหมอจากร้านยาเขียนส่งให้หมอพเนจร “ทั้งสองเทียบนี้ล้วนไม่ได้ผลนัก เทียบที่สองแย่กว่า ไม่ถูกสิ หนที่สามดื่มยาของนางเองก็เหมือนจะเลวร้ายลงเหมือนกัน ข้าไม่รู้แล้วว่านี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
หมอพเนจรอ่านจบก็บอกว่า “ทั้งสองเทียบนี้ล้วนถูกกับโรคแล้ว”
ป้าหลัวตกใจ “ถ้าเช่นนั้นเหตุใดกินแล้วจึงไม่ได้ผลเล่า”
หมอพเนจรจึงตอบว่า “ร่างกายของนางพิเศษ ยาทั่วไปใช้ไม่ได้ผล”
“พิ พิเศษอย่างไร” ป้าหลัวถามอย่างอ้ำอึ้ง
หมอพเนจรตอบว่า “เรื่องนี้ข้าไม่มีปัญญาจะอธิบายให้เจ้าฟัง สรุปก็คือยาปกติทั่วไปใช้ไม่ได้ผลกับนาง”
“ถ้าเช่นนั้นท่านมีวิธีหรือไม่” ป้าหลัวขอเพียงรักษาคนหายดีได้ก็พอแล้ว
“ข้ามีสูตรยาฤทธิ์แรงอยู่ชนิดหนึ่ง ใช้พิษต้านพิษ น่าจะรักษาโรคของนางได้” หมอพเนจรสะพายตะกร้าสมุนไพรขึ้นหลัง “ข้าจะขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรสักหน่อยก่อน พวกเจ้าอย่าทรมานคนส่งเดชอีก โดยเฉพาะหมอเบาปัญญาคนนั้น”
ระหว่างที่พูดคำนี้ สายตาของเขาก็เลื่อนไปจับบนร่างของหมอพื้นบ้านที่เพิ่งฟื้นตื่น หมอพื้นบ้านรู้สึกละอายใจ จึงหลับตาทั้งสองข้างลง ‘หมดสติ’ ไปอีกหน
หมอพเนจรพาจูเอ๋อร์ขึ้นไปบนเขา จูเอ๋อร์มีความสามารถที่พิเศษมากอย่างหนึ่ง นั่นก็คือมันมีสัมผัสเฉียบไวต่อสมุนไพรอย่างยิ่ง ขอเพียงเป็นสมุนไพรที่มีอยู่บนเขา ไม่มีสมุนไพรต้นใดที่จูเอ๋อร์หาไม่พบ
ด้านนี้เฉียวเวยเป็นอีสุกอีใสกำลังรอคอยการรักษา อีกด้านหนึ่งในเมืองหลวงอันห่างไกล องค์ชายรองแห่งเผ่าซยงหนีว์ผู้เดินทางมาจากแดนไกลก็โชคร้ายเป็นอีสุกอีใสด้วยเช่นกัน รายละเอียดว่าติดโรคได้อย่างไรนั้นไม่มีผู้ใดบอกได้ แต่สรุปก็คือโรคร้ายจู่โจมมารุนแรงนัก อีกทั้งตัวเขาก็ไม่คุ้นชินกับสภาพแวดล้อมเล็กน้อยอยู่ก่อนแล้ว อาการจึงยิ่งวิกฤต
หัวหน้าสำนักหมอหลวงอายุเกินหกสิบปีแล้ว พ้นเดือนนี้ไปก็จะได้เกษียณ ผู้ใดจะรู้ว่าก่อนเกษียณกลับพบงานตึงมือเช่นนี้ ทำให้เขา ‘เสี่ยงไม่เหลือชีวิตให้เกษียณ’
หัวหน้าสำนักหมอหลวงพารองหัวหน้าสำนักสองคนกับหมอหลวงทั้งหลายใต้สังกัดมาประชุมหารือกันในห้องหนังสือ “พวกเจ้า มีวิธีดีๆ หรือไม่”
ทุกคนเงียบงันไม่ส่งเสียง
หัวหน้าสำนักหมอหลวงกล่าวขึ้นว่า “ข้ารู้ว่าในมือพวกเจ้ามีสูตรยาที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษอยู่หลายสูตร ยามปกติซ่อนไว้ เก็บไว้ก็แล้วไปเถิด แต่ยามนี้ต้องเอาออกมาแล้ว องค์ชายรองแห่งเผ่าซยงหนีว์เดินทางมาเจรจาสงบศึกกับราชสำนักของพวกเรา หากเขาเป็นอันใดไป ราชสำนักของพวกเราย่อมปัดความเกี่ยวข้องไม่ได้ รับเบี้ยหวัดแล้วย่อมต้องแบ่งเบาความกังวลของเจ้าแผ่นดิน พวกเจ้าสมควรทุ่มเทกำลังทั้งหมดเพื่อราชสำนักสิ”
ทุกคนยังคงเงียบ
หัวหน้าสำนักหมอหลวงดึงคอเสื้ออย่างจนปัญญา “ผู้ใดรักษาองค์ชายรองแห่งเผ่าซยงหนีว์ได้ ข้าจะยกตำแหน่งหัวหน้าสำนักให้ผู้นั้นตอนนี้เลย”
ทุกคนทยอยควักสูตรยาลับออกมา
ไม่ใช่ว่าสูตรยาลับทุกสูตรจะถูกนำมาลองใช้กับองค์ชายรองแห่งเผ่าซยงหนีว์ หลังจากหัวหน้าสำนักใคร่ครวญหลายตลบก็เลือกสูตรยาฤทธิ์แรงที่รองหัวหน้าสำนักเสนอมา
ฮ่องเต้กังวลพระทัยอยู่เล็กน้อย “องค์ชายรองป่วยจนเป็นเช่นนี้แล้ว จะทนสูตรยารุนแรงไหวหรือ”
หัวหน้าสำนักหมอหลวงทูลว่า “นี่เป็นการใช้พิษต้านพิษ วิชาแพทย์ของตระกูลเฉียว ฝ่าบาทก็น่าจะทรงเชื่อถือได้”
ไม่ผิด ไม่ว่าจะเป็นหมอเทวดาเสิ่นกับเฉียวเจิงในอดีต หรือเฉียวเย่ว์ซานในตอนนี้ ล้วนไม่เคยทำให้ผู้ใดผิดหวัง เพียงแต่ฮ่องเต้ก็มิอาจเอาชีวิตขององค์ชายรองมาเดิมพันได้เช่นกัน
ฮ่องเต้ครุ่นคิดครู่หนึ่งก็บอกกับหัวหน้าสำนักหมอหลวงว่า “เจ้าจงไปบอกรองหัวหน้าสำนักเฉียว เรื่องนี้สำคัญยิ่ง หากเขารักษาได้ ข้าจะแต่งตั้งเขาเป็นเอินปั๋วโหว หากรักษาไม่ได้ เขาจะต้องลงสุสานเป็นเพื่อนองค์ชายรอง!”
เฉียวเย่ว์ซานมั่นใจในสูตรยาของตนเองอย่างยิ่ง ไม่ใช่เพียงอีสุกอีใสหรือ เขาจะรักษาไม่ได้หรือไร ต้องรู้ว่า สูตรยานี่น่ะเดิมทีเป็นของ…
สรุปก็คือเขาจะต้องรักษาองค์ชายรองให้หายได้แน่ ตอนนั้นเขาก็จะได้นั่งตำแหน่งหัวหน้าสำนักหมอหลวง แล้วยังจะได้เป็นท่านโหวอีก! เกียรติยศมากมายเหลือคณา!
…
หมอพเนจรเก็บสมุนไพรมาเสร็จ ป้าหลัวก็ถามว่า “เป็นอย่างไร เก็บมาได้หรือไม่”
หมอพเนจรขมวดคิ้ว “ขาดไปตัวหนึ่ง”
ป้าหลัวรีบถาม “ขาดอะไร ท่านบอกข้า ข้าจะให้ลูกชายข้าไปซื้อ!”
หมอพเนจรวางตะกร้าสมุนไพรลง “หญ้าหิ่งห้อยม่วง หากไม่มีหญ้าหิ่งห้อยม่วง ใช้น้ำค้างหยกเขาเหมันต์แทนก็ได้”
…
“น้ำค้างหยกเขาเหมันต์หรือ” ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว
หัวหน้าสำนักหมอหลวงประสานมือตอบ “พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท สูตรยานั่นจำเป็นต้องใช้หญ้าหิ่งห้อยม่วงต้นหนึ่ง แต่หญ้าหิ่งห้อยม่วงมีแต่เฉพาะในฤดูเหมันต์ ยามนี้กลางคิมหันต์ มีแต่ต้องใช้น้ำค้างหยกเขาเหมันต์แทนเท่านั้น”
ฮ่องเต้ไม่ทราบว่าสิ่งใดคือน้ำค้างหยกเขาเหมันต์
ฝูกงกงกระซิบบอกว่า “เมื่อหลายวันก่อน ยิ่นอ๋องให้คนนำน้ำค้างหยกเขาเหมันต์ขวดหนึ่งมาถวาย วางอยู่ในคลังสมบัติของพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
ครานี้เจ้าเจ็ดทำเรื่องดีแล้ว ฮ่องเต้เผยสีหน้ายินดีออกมาจางๆ “ฝูเซิง เจ้าไปหยิบมา”
“พ่ะย่ะค่ะ” ฝูกงกงคำนับ แล้วถือโคมไฟเดินออกไป
หากรักษาองค์ชายรองแห่งเผ่าซยงหนีว์สำเร็จก็ต้องนับว่ายิ่นอ๋องผู้ถวายน้ำค้างหยกเขาเหมันต์มีความชอบด้วย
ฝูกงกงตัดสินใจว่าวันพรุ่งนี้ยามเช้าตรู่จะส่งไข่เยี่ยวม้าโถหนึ่งไปให้ยิ่นอ๋อง
…
“น้ำค้างหยกเขาเหมันต์ไม่มีขายในตลาด!” อากุ้ยได้ยินว่พวกเขาต้องการยาชนิดนี้ก็สาดน้ำเย็นดับความหวังทันที “ตอนท่านปู่ของข้าเป็นผู้ว่าราชการมณฑล อยากจะซื้อน้ำค้างหยกเขาเหมันต์สักขวดมาให้ท่านพ่อของข้าบำรุงร่างกายก็หาซื้อไม่ได้”
ป้าหลัวร้อนรนจนเจ็บหน้าอก
ชีเหนียงลูบหลังปลอบนางแล้วบอกว่า “ท่านอย่าเพิ่งร้อนใจ ต้องมีสักหนทางสิ” นางมองหมอพเนจร “ท่านหมอ ไม่มีสมุนไพรชนิดอื่นแทนได้แล้วหรือ”
หมอพเนจรส่ายหน้า
ชีเหนียงนึกถึงบุรุษลึกลับที่อุ้มฮูหยินขึ้นมาจากน้ำผู้นั้น เขาดูเหมือนจะมีเงินมากมายอย่างยิ่ง จะมีหนทางหายามาได้หรือไม่
ชีเหนียงดึงแขนเสื้อของอากุ้ย “อากุ้ย เจ้ายังจำเรือนสี่ประสานได้หรือไม่”
อากุ้ยพยักหน้า “จำได้ ทำไมหรือ”
ชีเหนียงใคร่ครวญครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “นายท่านของเรือนสี่ประสานเป็นสหายของฮูหยิน เจ้าเดินทางไปเรือนสี่ประสาน บอกเขาว่าฮูหยินล้มป่วย ต้องการสมุนไพรชนิดไหนบ้าง ดูซิว่าเขามีหนทางหามาได้หรือไม่”
อากุ้ยพอเดาตัวตนของบุรุษที่ลักลอบเข้ามาในห้องนอนของฮูหยินตอนดึกดื่นมืดค่ำคนนั้นออกแล้ว เขาไม่พอใจเล็กน้อย แต่ช่วยคนเป็นเรื่องเร่งด่วน ต่อให้ไม่พอใจก็ยังต้องไป “เข้าใจแล้ว”
ตรงประตู ศีรษะน้อยๆ ศีรษะหนึ่งแนบอยู่ตรงช่องว่างของประตู “ท่านพี่ พวกเขาจะเดินทางไปหาลุงหมิง พวกเราก็ไปด้วยเถิด”
เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองลอบปีนขึ้นรถเทียมลาของหลัวหย่งจื้อแล้วเข้าไปซ่อนตัวอยู่ตะกร้า