หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 137-1 หายดี (ปลาย)
ภูมิหลังของบ่าวรับใช้ผู้ภักดีแต่ละคนเหมือนจะหนีไม่พ้นเรื่องราวสุดรันทด
ซิ่วไฉเฒ่าก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
ซิ่วไฉเฒ่าเข้าเมืองหลวงครั้งแรกตอนอายุสามสิบกว่าปี จะให้บอกแน่ชัดว่าสามสิบเท่าไร ความจริงตัวเขาเองก็จำไม่ได้ บิดามารดาของเขาเสียแล้ว พี่ชายน้องชายก็ย้ายไปอยู่ในสถานที่ห่างไกลมาก ไม่ไปมาหาสู่กันอีกต่อไป เขาอยู่ลำพังตัวคนเดียว จะวันเกิดหรือไม่ใช่วันเกิดก็เลิกจดจำไปไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดแล้ว
ตอนอายุน้อยเขาเคยทำไร่ทำนาบนที่ขนาดหลายหมู่อยู่ในบ้านเกิด น่าเสียดายเขาไม่ชอบการทำนานักจึงเข้าเมืองหลวงมาเป็นบ่าวรับใช้ เขาค้นพบว่าบ่าวรับใช้ที่อ่านหนังสือออกได้เบี้ยรายเดือนมากกว่าบ่าวรับใช้ที่ไม่รู้หนังสือ ดังนั้นเขาจึงเกิดความคิดอยากร่ำเรียนหนังสือขึ้นมา
ปีนั้น เขาอายุสิบหกปี
เริ่มเรียนช้าเช่นนี้ ตามหลักแล้วย่อมไร้ความหวังกับการสอบขุนนาง แต่ยามกลางวันเขาทำงาน ตกกลางคืนเขาอ่านหนังสือ เวลาผันผ่านไปเจ็ดแปดปีเขากลับสอบได้เป็นบัณฑิตซิ่วไฉ
หลังจากสอบได้ซิ่วไฉ เขาก็หางานที่ค่อนข้างดีได้งานหนึ่งอย่างที่หวัง นั่นก็คือการเป็นเสมียนบัญชีของโรงน้ำชาแห่งหนึ่ง
น่าเสียดายเรื่องดีมักอยู่ไม่นาน ไม่นานโรงน้ำชาก็ปิดตัวลง เขาไปที่โรงน้ำชาอีกแห่งหนึ่ง ไม่นานโรงน้ำชาแห่งนั้นก็ล้มอีก หลังจากนั้นเขาก็หางานได้ที่ร้านผ้าไม่ใหญ่ไม่เล็กแห่งหนึ่ง ทำงานรวดเดียวมาห้าปี
กิจการของร้านผ้าดีจนน่าเหลือเชื่อ เขาเองก็ทำงานขยันขันแข็ง เถ้าแก่ร้านผ้ามีลูกสาวที่สามีตายแล้วคนหนึ่ง ไม่รู้ว่านางถูกตาต้องใจเขาได้อย่างไร เขาทั้งยากจน อายุก็มาก นิสัยก็เก็บตัว สรุปก็คือมีสารพัดปัจจัยที่ชวนให้ผู้หญิงไม่ชอบ การที่มีคนมาถูกตาต้องใจเขาได้ เขารู้สึกว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์
สามีตายก็ส่วนสามีตาย คนเป็นคนดีก็พอแล้ว
ทว่าเมื่อแต่งงานกัน เขาถึงรู้ว่าสามีคนเก่าของนางตายได้เช่นไร มารดาช่วยข้าด้วย นางจะตบตีสามีรุนแรงเกินไปแล้ว!
เขาเป็นบุรุษอายุสามสิบกว่าแต่กลับถูกตีจนไม่มีแรงสวนคืนแม้สักนิด อยู่ไม่ได้จริงๆ แต่จะหย่าภรรยาก็ไม่ได้อีก เพราะเขาเป็นลูกเขยของเถ้าแก่
ตอนนี้เองที่เขาได้พบกับเฉียวเจิง
ยามนั้นนายท่านผู้เฒ่ายังไม่จากโลกนี้ไป เฉียวเจิงยังไม่ใช้ท่านปั๋ว เฉียวเจิงใช้เงินซื้อเขามา หลังออกจากร้านผ้าร้านนั้น เขาจึงติดตามเฉียวเจิงเข้ามาอยู่ในจวนเอินปั๋ว ครั้งนี้ทำงานได้นานถึงหกปี
จนกระทั่งเฉียวเจิงกับเสิ่นซื่อออกไปท่องเที่ยวข้างนอกแล้วประสบภัย เขาจึงถูกเรือนรองไล่ออกมา
เรื่องทำนองนี้เคยแวบขึ้นมาในสมองของเขานับไม่ถ้วน แต่ไม่เคยมีครั้งใดทำให้หัวใจของเขาพองโตได้เหมือนเช่นวันนี้
เขาจ้องมองบุรุษตรงหน้าเขม็ง หน้าตาของเขายังคงเป็นดังเดิม ทว่ากาลเวลาขัดเกลาริ้วรอยแห่งชีวิตขึ้นมาประดับบนนั้น หางตากับรอบปากมีรอยย่นจางๆ แม้สง่าราศียามหนุ่มเลือนหายไปบ้าง แต่ยังคงจำได้ว่าเป็นเขา
ซิ่วไฉเฒ่าเดินทีละก้าวมาถึงหน้าหมอพเนจร ลำคอเริ่มแสบร้อน “นายท่าน...”
หมอพเนจรมองเขาอย่างประหลาดใจ
ซิ่วไฉเฒ่าเดินเข้าไปหาเขาอีกก้าว “นายท่าน!”
หมอพเนจรขยับหลบไปด้านข้าง
ซิ่วไฉเฒ่าจึงชี้ตนเอง “นายท่าน ท่านจำข้าไม่ได้แล้วหรือ ข้าวั่งไฉ[1]อย่างไรเล่า!”
“พรูดดด” ยาที่เฉียวเวยเพิ่งดื่มเข้าปาก ถูกพ่นออกมาอย่างไม่มีสัญญาณบอกล่วงหน้าสักนิด
ชีเหนียงรีบหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดปากให้นาง
ซิ่วไฉเฒ่ายังคงพยายามพิสูจน์ตัวตนของตนเอง “นายท่าน ท่านดูข้าสิขอรับ นึกออกหรือไม่ ข้าคือวั่งไฉ! ข้าคือวั่งไฉ! ข้าคือวั่งไฉจริงๆ นะ!”
โอย เฉียวเวยไม่ไหวแล้ว
“วั่งไฉ” หมอพเนจรจมวดคิ้ว มองท้องฟ้า มองนิ้วมือของตนเองแล้วขยี้ปลายนิ้ว เอ่ยงึมงำ “วั่งไฉ วั่งไฉ…”
หมอพเนจรที่ยังดูปกติอย่างยิ่งเมื่อพริบตาก่อนหน้า พริบตานี้กลับจมสู่ความวิปลาสแล้ว
ซิ่วไฉเฒ่ามองเขาอย่างแปลกใจ “นายท่าน ท่านเป็นอะไรไปขอรับ”
เฉียวเวยกลั้นเสียงหัวเราะ แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ไม่ต้องถามแล้ว เขาเสียสติ”
“เขาเสียสติ แล้วเขายังจะมารักษาท่านอีก!” ชีเหนียงตกตะลึงยกมือขึ้นปิดปาก
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “เหมือนจะไม่ได้เสียวิชาแพทย์ไปด้วย เอาล่ะ เห็นแก่ที่รักษาข้าจนหายดี เอาเงินสักหน่อยให้เขาไปเถิด แล้วก็ถามเขาว่าจะไปที่ใด ให้อากุ้ยไปส่งสักหน่อย”
“เจ้าค่ะ” ชีเหนียงขานรับ
ซิ่วไฉเฒ่าอ้าปากกว้างอย่างตกตะลึง “จะส่งเขาจากไปหรือขอรับ คุณหนูท่านจำไม่ได้หรือว่าเขาคือผู้ใด”
เฉียวเวยเอ่ยอย่างไม่แยแส “ไม่ใช่…หมอบ้าคนหนึ่งหรือไร”
ซิ่วไฉเฒ่าบอกด้วยสีหน้าจริงจัง “เขาคือบิดาของท่าน”
เฉียวเวยประหนึ่งถูกสายฟ้าฟาดทั้งตัว เส้นผมไหม้เกรียมหมดแล้ว “บิดาของข้า? เขาน่ะหรือ”
ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้าอย่างตื่นเต้น “ใช่แล้วขอรับคุณหนู เขานามว่าเฉียวเจิง เป็นนายท่านใหญ่แห่งตระกูลเฉียว แล้วก็เป็นบิดาของท่าน!”
เฉียวเวยอึ้งเป็นอย่างแรก จากนั้นก็ยกมือปิดปากด้วยความตกตะลึง “เขาคือบิดาของข้าหรือ จริงหรือไม่ สวรรค์ ข้ามีบิดาแล้ว! ในที่สุดบิดาของข้าก็กลับมาแล้ว! ข้าดีใจเหลือเกินวั่งไฉ ขอบคุณเจ้า!” เฉียวเวยกุมมือของซิ่วไฉเฒ่าอย่างซาบซึ้ง หลังจากนั้นจึงโถมเข้าไปในอ้อมแขนของหมอพเนจร ยินดีจนร่ำไห้ น้ำตาพรั่งพรูดุจน้ำพุ “ท่านพ่อ! ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว! ในที่สุดพวกเราพ่อลูกก็ได้อยู่พร้อมหน้ากันแล้ว! ท่านรู้หรือไม่ว่าหลายปีที่ผ่านมาลูกลำบากมากนัก ท่านกลับมาได้ช่างดีเหลือเกินจริงๆ นับจากนี้ลูกก็มีที่พึ่งแล้ว ลูกไม่ต้องกังวลว่าจะถูกคนรังแกอีกต่อไปแล้ว ท่านพ่อ…ท่านพ่อ…”
เหตุการณ์ด้านบนเป็นภาพจินตนาการในสมองของซิ่วไฉเฒ่า ทว่าความเป็นจริงกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น
เฉียวเวยกวาดสายตามองหมอพเนจรอย่างเฉยชา “บิดาของข้าตายไปแล้วไม่ใช่หรือ”
น้ำเย็นอ่างหนึ่งราดลงมาใส่ ซิ่วไฉเฒ่าก็ได้สติกลับมา เขามองเฉียวเวยนิ่งๆ อยู่พักหนึ่งก็เอ่ยอย่างฉงน “ท่านรู้ได้อย่างไร ท่านไม่ได้จดจำเรื่องราวก่อนหน้านี้ไม่ได้หรือ”
เฉียวเวยมองซิ่วไฉเฒ่า “ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าจำเรื่องราวก่อนหน้านี้ไม่ได้ ข้าเคยบอกท่านหรือ” นางเหมือนจะไม่เคยป่าวประกาศข้างนอกว่าตนเอง ‘สูญเสียความทรงจำ’
“อะแฮ่ม” ซิ่วไฉเฒ่ากระแอมให้คอโล่ง “ข้าเคยถามป้าหลัว”
“ท่านสืบเรื่องของข้าหรือ” ใบหน้าเล็กๆ ของเฉียวเวยดำทะมึน
ซิ่วไฉเฒ่ารีบบอกว่า “ไม่นับว่าสืบ เพียงแต่อยากรู้ว่าแท้จริงเกิดเรื่องอันใดกับท่านกันแน่”
เหตุใดจึงออกมาจากตระกูลเฉียว เหตุใดจึงมีลูกแล้ว บิดาของเด็กคือผู้ใด แล้วร่ำเรียนทักษะการทำงานมากมายปานนั้นมาจากที่ใด หลายปีที่อยู่ในตระกูลเฉียวใช้ชีวิตมาเช่นไรกันแน่
แน่นอนว่าเขาเลียบๆ เคียงๆ ถาม ไม่ปล่อยให้ป้าหลัวรู้ตัวว่าตนกำลังสืบถามเรื่องอันใด
ป้าหลัวไม่ทันระวังก็หลุดปากบอกว่า ‘ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าในครอบครัวของนางยังมีคนเหลืออยู่หรือไม่ ลูกสาวแสนดีเช่นนี้บอกจะขับไล่ก็ขับไล่ได้เช่นไร แต่ตัวนางเองยังจดจำไม่ได้ ข้าจะมีหนทางใดกันเล่า’
“หลังจากนั้นข้าจึงทราบว่าท่านจดจำเรื่องราวก่อนหน้านี้ไม่ได้แล้ว ต่อมาข้าก็แอบไปสืบข่าวในตัวเมืองอย่างเงียบๆ ท่านยังจำตาเฒ่าหลี่ได้หรือไม่”
เหมือนจะจำได้ลางๆ เขาคือตาเฒ่าที่บางครั้งขอทานอยู่หน้าประตูของหรงจี้ วันแรกที่นางมาตั้งแผงขายของ เขาก็บังเอิญอยู่ตรงนั้นเหมือนกัน ครั้งนั้นเฉียวอวี้ซีกับฝังมามาจะบังคับซื้อเสี่ยวไป๋ จนตบป้าหลัวไปหนึ่งฉาด นางจึงสั่งสอนฝังมามาไปหนึ่งยก
วันนั้นเป็นวันแรกที่นางพบหมิงซิวอีกด้วย
ตอนนี้เมื่อนึกดูแล้วทุกสิ่งก็มีเงื่อนงำเกี่ยวพันกัน เหตุใดหมิงซิวจึงจ่ายหนึ่งเหรียญทองแดงเพื่อฟังเรื่องราวของจวนเอินปั๋วจากตาเฒ่าหลี่ นั่นก็เพราะเขามีสัญญาหมั้นหมายที่ตัดไม่ขาดกับจวนเอินปั๋ว
ซิ่วไฉเฒ่าเล่าต่อ “ตาเฒ่าหลี่อยู่เมืองหลวงมาพักหนึ่ง รู้เรื่องราวมาไม่น้อย ข้าทราบจากปากเขาว่าท่านทำความผิดจึงถูกขับไล่ออกจากตระกูล แต่ทำผิดเรื่องใด ตาเฒ่าหลี่ก็ไม่รู้ แต่ข้าเดาว่าคงเป็นเด็กสองคนนี้กระมัง ข้าใคร่ครวญแล้วว่าเป็นเช่นทุกวันนี้ก็ไม่เลว อาศัยอยู่ในหมู่บ้านอย่างสงบสุข ชีวิตเหน็ดเหนื่อยบ้าง แต่ก็มีเรื่องวุ่นวายใจพวกนั้นน้อยลง”
“มิน่าท่านจึงดีกับข้าเช่นนี้” เฉียวเวยถอนหายใจ นางคิดว่านางมอบของขวัญให้มาก ซิ่วไฉเฒ่าจึงดูแลลูกของตนมากเป็นพิเศษเสียอีก
ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มเจื่อน แล้วเอ่ยต่อว่า “จริงสิ คุณหนู ท่านลืมไปสิ้นแล้วไม่ใช่หรือ เหตุไฉนทราบว่านายท่านไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว หรือว่าท่านจดจำสิ่งใดขึ้นมาได้แล้ว”
“เพราะคนของจวนเอินปั๋วบุกมาหาถึงบ้าน” เฉียวเวยเล่าเรื่องที่เซวียมามาบุกมาเรียกร้องเอาเงินอย่างสั้นกระชับรอบหนึ่ง แต่ไม่เอ่ยถึงสวีซื่อกับเฉียวอวี้ซี เรื่องราวระหว่างแม่ลูกคู่นั้นกับนางน่าตื่นตาตื่นใจมากเกินไป ชั่วครู่ชั่วยามคงเล่าไม่หมด
ซิ่วไฉเฒ่าได้ยินว่าเมิ่งซื่อกล้าให้เซวียมามามาเรียกร้องเอาเงินถึงบ้านก็โมโหโทโส “สตรีหน้าไม่อาย! ตอนที่ข้าทำงานอยู่ในจวนเอินปั๋ว เมิ่งซื่อคนนั้นเป็นเพียงอนุภรรยาคนหนึ่ง! คิดไม่ถึงว่านางจะอาศัยตอนที่นายท่านกับฮูหยินไม่อยู่ ขึ้นมาเป็นเหล่าไท่ไท่ของจวน!”
เป็นเมียน้อยนี่เอง แล้วยังจะทำตัวยิ่งใหญ่เช่นนี้อีก! บุกมาเรียกร้องเอาเงินจากนางอย่างสง่าผ่าเผย! นางเกือบจะคิดว่าอีกฝ่ายเป็นเหล่าไท่ไท่ตัวจริงของจวนเอินปั๋วแล้วแหนะ จริงดังคำโบราณว่าสิ่งที่คล้ายกันมักอยู่ด้วยกัน คนพวกเดียวกันก็ย่อมอยู่ด้วยกัน คนทั้งตระกูลล้วนไม่มียางอายสักคน!
ซิ่วไฉเฒ่าปวดใจยิ่งนัก “ท่านย่าของท่านอายุมากแล้ว คงจะจากไปแล้วเป็นแน่ มิเช่นนั้นนางคงไม่ยอมให้อนุภรรยาคนหนึ่งขึ้นมาปกครองบ้าน หากเล่าลือออกไปคงขายขี้หน้าคนนัก!”
เฉียวเวยไม่รู้สึกอันใด
คนที่ไม่เคยเกี่ยวข้องกันย่อมไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองความรู้สึกให้
ซิ่วไฉเฒ่ามองหมอพเนจรด้านข้างที่กำลังจมดิ่งอยู่ในโลกของตนเองอย่างสิ้นเชิง แล้วคลี่ยิ้มกล่าวว่า “ตอนนี้นายท่านกลับมาแล้ว คนพวกนั้นโอหังได้อีกไม่กี่วัน รอนายท่านพาท่านกลับจวน…”
เฉียวเวยเอ่ยขัดเขา “ผู้ใดจะกลับจวนกับเขา เขาจะกลับก็กลับไปเอง อย่าลากข้าไปด้วย!” นางอยู่ที่นี่อาหารดี น้ำดี บ้านดี ทั้งยังสุขสำราญและเป็นอิสระเสรี ดีกว่าไปอยู่ใต้กฎระเบียบของจวนหลังใหญ่ที่ไม่คุ้นเคยแห่งหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นหากทั้งวันต้องเผชิญหน้ากับเฉียวอวี้ซีคนนั้น เกรงว่านางคงจะสะอิดสะเอียนจนกินข้าวไม่ลง
ซิ่วไฉเฒ่าตกตะลึง “คุณหนู…”
เฉียวเวยกลับบอกว่า “ท่านเรียกข้าว่าเสี่ยวเฉียวเถิด นายท่านของท่านยังเป็นนายท่านของท่าน แต่ข้าก็คือข้า ยามนี้ข้ามีชีวิตของตนเองแล้ว ไม่ต้องการถูกผู้ใดพาไป ‘ผูกติด’ กับวงศาคณาญาติอะไรอีก เขาจะทำเช่นไรก็เป็นอิสระของเขา ข้าไม่ยุ่งเกี่ยว แต่พวกท่านก็อย่าคิดจะลากข้าไปเอี่ยวด้วย”
นางจดจำเรื่องราวก่อนหน้านี้ไม่ได้ ทั้งยังไม่เคยข้องเกี่ยวกับเขา แค่เขามาบอกว่าเขาเป็นบิดาของนาง นางก็จะนับถือเขาเป็นบิดาจริงๆ ได้หรือ
ชาติก่อนคนที่นางเกลียดชังที่สุดก็คือบิดามารดาของนางเอง ชาตินี้มีบิดาก็หายหน้าไปสิบห้าปี นางซาบซึ้งถึงจะแปลก
หากไม่ใช่เห็นแก่ที่เขาเป็นบ้าจึงหายตัวไปนานขนาดนี้ นางคงไล่เขาออกไปแล้ว
ปฏิกิริยาของเฉียวเวยผิดจากที่ซิ่วไฉเฒ่าคาดไว้อยู่บ้าง คนทั่วไปเมื่อพบบิดาของตนล้วนดีใจจนน้ำตานองหน้า แต่คุณหนูที่อยู่ตรงนี้กลับทำเหมือนเห็นคนแปลกหน้า อารมณ์ไม่สั่นไหวสักนิด เหตุไฉนจึงเป็นเช่นนี้เล่า
ซิ่วไฉเฒ่าไม่เข้าใจประสบการณ์ที่เฉียวเวยเผชิญมาในวัยเด็ก แต่เขาก็พยายามขบคิด แล้วก็คิดว่าปฏิกิริยาของคุณหนูความจริงก็นับว่าปกติ อย่างไรเสียตอนนายท่านเกิดเรื่องคุณหนูก็เพิ่งอายุห้าขวบ เด็กห้าขวบจะจดจำสิ่งใดได้เล่า เวลาผ่านไปเนิ่นนานเช่นนี้ น่ากลัวว่าในใจแม้แต่เงาเลือนรางสักนิดก็คงไม่เหลือ สำหรับคุณหนู นายท่านในตอนนี้คงเป็นคนแปลกหน้าคนหนึ่งจริงๆ
วันเวลายังอีกยาวไกล เลือดข้นกว่าน้ำ หากได้อยู่ด้วยกันนานเข้า คุณหนูย่อมยอมรับนายท่านเอง
ซิ่วไฉเฒ่าเริ่มภารกิจสื่อสารกับนายท่านของตนอีกครั้ง แต่สิ่งที่ทำให้ซิ่วไฉเฒ่าแทบสิ้นหวังก็คือความคิดของนายท่านของตนประหลาดยิ่งนัก!
เขาจดจำได้อย่างชัดเจนว่าตนเองอายุยี่สิบห้าปี แล้วก็ทราบชัดเจนว่าตามหาฮูหยินมาสิบห้าปีแล้ว แต่เขากลับไม่สามารถบวกเลขจำนวนนี้เข้าด้วยกันได้ เขาคิดว่ามีแต่ผู้อื่นแก่ชราลงหรืออย่างไร
แล้วก็คุณหนูหน้าตาเหมือนฮูหยินปานนั้น นายท่านกลับไม่รู้สึกว่าเหมือน
พอให้นายท่านนึกหน้าตาของฮูหยิน นายท่านก็ทำหน้ามึนงง…
หากจะบอกว่านายท่านลืมเลือนหน้าตาของฮูหยินไปแล้ว เขาก็ยังหลงคิดว่าวั่งซูคือคุณหนูเมื่อตอนยังเล็ก นั่นไม่ใช่เพราะวั่งซูเหมือนคุณหนู แล้วคุณหนูเหมือนฮูหยินหรือไร
ความคิดของคนบ้า คนธรรมดาไม่อาจเข้าใจได้จริงๆ
ซิ่วไฉเฒ่าพูดจนเหงื่อท่วมตัว ในที่สุดก็ใช้ฝีปากอันยอดเยี่ยมของเขาทำให้หมอพเนจรตระหนักได้ว่าตนเองอายุสี่สิบปี ไม่ใช่ยี่สิบห้าปี วั่งซูไม่ใช่ลูกสาวของเขา เสี่ยวเฉียวต่างหาก
“นางคือยัยหนูหรือ” หมอพเนจรมองเฉียวเวยที่นั่งกินองุ่นอยู่บนโต๊ะแวบหนึ่ง สีหน้างุนงง
ซิ่วไฉเฒ่ายิ้ม “ใช่แล้วขอรับ ท่านตามหาฮูหยินมาสิบห้าปี คุณหนูจึงเติบใหญ่ขึ้นสิบห้าปีด้วย นางโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว!”
หมอพเนจรมองสำรวจเฉียวเวย “แต่นางอัปลักษณ์ จะเป็นลูกของชิงเหยาได้เช่นไร”
องุ่นติดคอเฉียวเวยทันควัน!
ซิ่วไฉเฒ่าก็งงงันไปไม่เป็นเช่นกัน คุณหนูอัปลักษณ์ที่ใด นางเป็นคนงามอันดับหนึ่งจากแปดหมู่บ้านในระยะสิบลี้ สูสีคู่คี่กับฮูหยินชัดๆ
ไม่นานหมอพเนจรก็มองเฉียวเวยอีกหน แล้วเอ่ยพร้อมกับดวงตาเปี่ยมความรัก “แม้จะอัปลักษณ์ยิ่งนัก แต่ในเมื่อนางเป็นเลือดเนื้อของชิงเหยา ข้าก็จะรักนางให้มาก”
เฉียวเวยเคี้ยวเนื้อองุ่น ผู้ใดต้องการความรักของท่าน!
กล่าวถึงเฝิงซื่อ หลังจาก ‘เผ่นหนี’ ออกมาจากคฤหาสน์ นางก็วิ่งกลับไปยังห้องของปี้เอ๋อร์ แล้วไม่พูดพร่ำคำใดทั้งสิ้นเริ่มเก็บข้าวของทันที
บิดาของปี้เอ๋อร์เอนหลังพิงหัวเตียงเคี้ยวเนื้อตากแห้งอยู่ บนเขาไม่มีอะไรดีสักอย่าง ทั้งว่างเปล่า ทั้งน่าเบื่อ แต่มีของอร่อยกิน ล้วนเป็นของที่ก่อนหน้านี้ยามอยู่จวนตระกูลเฉียวได้แต่มองตาวาวไม่อาจกินได้ ไม่ต้องพูดถึงว่ามารดาของลูกเขาไม่ยินดีย้ายออก ความจริงเขาเองก็ไม่ยินดีเช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้นเขาคิดไว้เรียบร้อยแล้ว โรงงานมีคนมากมาย แอบเปิดโต๊ะพนันสักสองสามโต๊ะไม่เป็นปัญหา รายได้ย่อมมีแน่นอน
เขาเห็นเฝิงซื่อรีบร้อนเก็บของก็เอ่ยทัก “แม่ เจ้าทำอะไร จะซักเสื้อผ้าอีกแล้วหรือ พวกนั้นไม่ใช่เพิ่งซักไปหรือไร ที่นี่ไม่ใช่จวนปั๋วเสียหน่อย เจ้าทำตัวสะอาดปานนั้นไปทำอะไร มีแต่พวกเท้าเปื้อนโคลน เจ้าจะได้พบผู้สูงศักดิ์หรือ”
เฝิงซื่อหวาดกลัวจนตัวสั่น “ข้าก็บอกตั้งนานแล้วว่าที่แห่งนี้ไม่บริสุทธิ์ ผู้หญิงครองเรือน ครองไหวเสียที่ไหน”
บิดาของปี้เอ๋อร์ลุกขึ้นนั่ง “กลางวันแสกๆ เจ้าเห็นผีมาหรือไร”
เฝิงซื่อนึกถึงสภาพทรุดโทรมของคนผู้นั้นเมื่อครู่ก็อกสั่นขวัญผวา “เขาอยู่ลำบาก เขาเลยจะมาเอาชีวิตคน…เจ้าอึ้งทำอันใดอยู่ รีบเก็บข้าวของสิ! หากเขามาพบเข้า เจ้าอยากถูกลากลงปรโลกไปด้วยหรือไร”
บิดาของปี้เอ๋อร์ถูกภรรยาของตนขู่จนตะลึง “เจ้าไปเห็นสิ่งใดมากันแน่”
เฝิงซื่อตวาดดุดัน “ไม่ต้องพูดจามากมายปานนั้นแล้ว! รีบเก็บของ!”
บิดาของปี้เอ๋อร์ไม่เคยเห็นภรรยาของตนตกใจกลัวเช่นนี้มาก่อน “เจ้า…”
“เลิกเจ้าๆ ข้าๆ เสียที จะเก็บหรือไม่เก็บ ไม่เก็บเจ้าก็อยู่ที่นี่ไปคนเดียว! ข้าจะไปแล้ว! ข้าจะพาลูกชายไปด้วย!” เฝิงซื่อไม่มีเวลาเก็บข้าวของมากมายปานนั้น นางจึงห่อแต่เสื้อผ้าของตนเองกับบุตรชาย
ปี้เอ๋อร์จากโรงงานเข้ามาในเรือนหลังเล็กก็เห็นมารดาของตนมือหนึ่งหิ้วห่อผ้า มือหนึ่งลากน้องชาย ไม่รู้ว่ารีบร้อนจะไปที่ใด “ท่านแม่ ท่านทำอะไร”
เฝิงซื่อตอบเสียงเข้ม “บ้านหลังนั้นเมื่อครั้งก่อน เจ้าซื้อหรือยัง”
“ยัง ทำไมหรือ” ปี้เอ๋อร์ถาม
เฝิงซื่อตวาด “ถ้าเช่นนั้นเจ้าไปซื้อเดี๋ยวนี้!”
“ตอนนี้หรือ” ปี้เอ๋อร์เอ่ยอย่างลำบากใจ “ข้ากำลังเข้างานอยู่นะ”
เข้างานเป็นคำเรียกแบบของเฉียวเวย ตอนนี้ทุกคนล้วนเรียกเช่นนี้
เฝิงซื่อโวยวายเอาแต่ใจ “ข้าไม่สน! เจ้าต้องไปซื้อให้ข้าเดี๋ยวนี้! ไม่เช่นนั้นข้าจะไม่ไป! ข้าจะดื้อด้านอยู่บนเขาชั่วชีวิต!”
ปี้เอ๋อร์ไม่รู้ว่ามารดาของตนเองเล่นอะไรอยู่ แต่ในที่สุดก็ส่งคนจากไปได้ย่อมเป็นเรื่องดี “ท่านรอก่อนประเดี๋ยวเดียว ข้าจะไปบอกฮูหยินสักคำ”
“เจ้าอย่า…” เฝิงซื่อคิดจะเรียกลูกสาวไว้ แต่ก็นึกได้ว่าตอนที่คนผู้นั้นเกิดเรื่องลูกสาวเพิ่งอายุสองสามขวบ ไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ ผีก็คงมีกฎของผีกระมัง แค้นมีต้นตอ หนี้มีเจ้าของ ถึงอย่างไรก็คงไม่ทำร้ายเด็กบริสุทธิ์คนหนึ่ง “ไปเถิด!”
ปี้เอ๋อร์เดินจากไปทั้งที่รู้สึกแปลกใจ
[1]วั่งไฉ แปลว่ามีโชคเรื่องเงินทอง แต่ก็เป็นชื่อเล่นสำหรับเรียกสุนัขด้วย