หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 143-1 กรรมตามสนอง สาแก่ใจยิ่งนัก
เย็นวันนั้นองค์ชายแห่งเผ่าซยงหนีว์กลับไปถึงพระราชวังก็ขอร้องฮ่องเต้ว่าต้องการเปลี่ยนตัวคนที่จะแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ เมื่อได้ยินว่าเขาไม่ต้องการคุณหนูจวนแม่ทัพ แต่กลับยืนกรานจะตบแต่งกับคุณหนูตระกูลเฉียวผู้ฐานะไม่สูงคนหนึ่ง พริบตานั้นฮ่องเต้คิดว่าพระองค์หูฝาด
สายตาไม่อยากจะเชื่อของฮ่องเต้ทอดพระเนตรบนร่างองค์ชายรอง แต่กลับตรัสกับฝูกงกงที่อยู่ด้านข้างว่า “ฝูกงกง เจ้าได้ยินองค์ชายรองพูดว่าอันใด”
ฝูกงกงยิ้มเจื่อนกราบทูลว่า “องค์ชายรองทูลว่าเขาต้องการยกเลิกการแต่งงานกับคุณหนูตัวหลัว เปลี่ยนมาตบแต่งกับคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียวพ่ะย่ะค่ะ”
“อา” ฮ่องเต้ยังคงเรียกสติกลับมาไม่ได้ เขามององค์ชายรองด้วยความแปลกใจ แล้วมองทูตจากเผ่าซยงหนีว์ที่ทำสีหน้าประหลาดยิ่งกว่าพระองค์ ผ่านไปครู่หนึ่ง พระองค์จึงตั้งสติได้ตรัสว่า “องค์ชายรองไม่พอใจคุณหนูตัวหลัวตรงที่ใดหรือ”
เหมือนจะไม่ใช่ความไม่พอใจธรรมดา แต่เหมือนจู่ๆ เกิดเรื่องอันใดขึ้นทำให้เขาเกิดสนใจในตัวคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียวขึ้นมากะทันหันมากกว่า
แต่ตอนนี้ฮ่องเต้ไม่อยากเปิดโปงออกมา ระหว่างอยู่ในต้าเหลียงองค์ชายรองเผ่าซยงหนีว์ล้วนไปมาได้อิสระ ต่อให้เขาคิดหาหนทางไปพบหน้าคุณหนูตระกูลเฉียวคนนั้นมาจริง พระองค์ก็ไม่มีสิ่งใดจะตำหนิเขาได้
สีหน้าขององค์ชายรองจริงจังอย่างงที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ฝ่าบาท ท่านถูก หลอกแล้ว วันนี้ข้า ได้พบ คุณหนูตัวหลัว นางช่าง ไม่ เข้าท่า”
ฮ่องเต้ฟังภาษาฮั่นกระท่อนกระแท่นที่เขาพูดแล้วรู้สึกขบขันพอสมควร แต่กลั้นรอยยิ้มเอาไว้
ฝูกงกงกระแอม
ฮ่องเต้เก็บรอยยิ้ม ทำหน้าขึงขัง “ท่านไปพบนางได้อย่างไร”
องค์ชายรองย่อมบอกไม่ได้ว่ายิ่นอ๋องตั้งใจนัดตนไปให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของอีกฝ่าย ยิ่นอ๋องยอมเสี่ยงตายเพื่อเขา เขาจะขายยิ่นอ๋องไม่ได้ เขาคิดครู่หนึ่งก็ตอบว่า “ก็ พบ โดยบังเอิญ นางดื่ม สุรามากมายนัก ไม่เข้าท่า ผู้หญิงที่ดื่มสุรา ข้าไม่ ชอบ”
จะบอกว่าหน้าตาอัปลักษณ์ไม่ได้ มิฉะนั้นจะดูเหมือนตนไม่มีคุณธรรมมากเกินไป
สตรีแห่งราชวงศ์ต้าเหลียงให้ความสำคัญกับชื่อเสียงและการครองตน ยามปกติแม้แต่การออกจากบ้านยังถูกจำกัด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการทำตัวขี้เมาต่อหน้าธารกำนัล มีอย่างที่ไหนจริงๆ เพียงเรื่องนี้เรื่องเดียวก็ไม่มีคุณสมบัติแต่งออกไปนอกแคว้นแล้ว
ฮ่องเต้เงียบงัน พระองค์รู้จักเด็กสามคนของตระกูลตัวหลัว คนโตอ่อนโยนรู้จักอ่านสถานการณ์ คนรองอ่อนแอป่วยออดแอด คนที่สามซุกซนมาตั้งแต่เล็กเหมือนลิงน้อยจอมซนตัวหนึ่ง เหตุที่เลือกนางมาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ ประการที่หนึ่งเพราะฐานะของนางสูงศักดิ์พอ เพียงพอเป็นเคื่องแสดงความจริงใจให้ต้าเหลียงกับซยงหนีว์สมานฉันท์กันตลอดไป ประการที่สองนางมีรูปโฉมไม่ธรรมดา งามดั่งนางสวรรค์ ไม่ต้องกังวลว่าจะครองหัวใจขององค์ชายรองไม่ได้ ประการที่สามก็เพราะนิสัยนี้ของนาง สตรีที่อ่อนโยนบอบบางเกินไปหากแต่งไปยังดินแดนป่าเถื่อนของเผ่าซยงหนีว์น่ากลัวว่าคงอยู่ไม่รอด มีแต่เจ้าลิงซุกซนเช่นนางจึงจะเบ่งบานเป็นบุปผาแห่งต้าเหลียงอันงดงามบนทุ่งหญ้ากว้างได้
แต่ตอนนี้ไม่ทันระวังเพียงนิดเดียว นิสัยที่พระองค์ตั้งใจจะใช้ประโยชน์ประการนี้กลับสร้างเรื่องมาให้แล้ว
พิสูจน์ได้ว่าประโยค ‘ทุกเรื่องล้วนเป็นดาบสองคม’ เป็นความจริง
พอความคิดแล่นจบ ฮ่องเต้ก็ขมวดคิ้วอย่างไม่ตั้งใจ พระองค์มองไปทางองค์ชายรอง แล้วเผยรอยสรวลอันอ่อนโยน “หากเพียงไม่ชอบที่นางดื่มสุรา ข้าจะกำชับให้นางเปลี่ยนนิสัยเสียประการนี้ เด็กคนนี้ยามปกติก็ค่อนข้างเชื่อฟัง บางทีอาจเป็นเพราะตนเองได้รับสมรสพระราชทานจึงดีใจเกินไป ทนไม่ไหวต้องไปฉลองสักหน่อย”
ความสามารถในการกลับดำเป็นขาวของนายท่านนี้ ฝูกงกงก็ยอมแพ้
องค์ชายรองไม่ได้อยากจะถอนหมั้นเพียงเพราะนางเป็นคนขี้เมา เหตุผลสำคัญก็คือใบหน้าที่แม้แต่คนตายยังสะพรึงจนลุกขึ้นจากหลุมนั่นของนาง น่ากลัวเกินไปแล้วจริงๆ เขาเพียงหวนนึกครู่เดียวก็รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องกินอาหารเย็นวันนี้แล้ว “ฝ่าบาท ข้าได้ยินว่า จงหยวนของพวกท่าน มีคำโบราณคำหนึ่ง แผ่นดิน เปลี่ยนง่าย สันดาน เปลี่ยนยาก อยู่ต่อหน้าท่าน นางเปลี่ยน พอตามข้า กลับไป นางก็ ไม่เปลี่ยนอีก ถึงตอนนั้น ข้าควรทำเช่นไรเล่า”
องค์ชายรองผู้มีความสามารถในการสื่อสารภาษาฮั่นไม่ผ่านมาตรฐาน ดันขนเหตุผลอันลึกซึ้งเช่นนี้ออกมา ฮ่องเต้หมดถ้อยคำจะตอบโต้
“ในเมื่อของข้า ภรรยา ข้าจะ เลือก เอง” องค์ชายรองเอ่ยอย่างไม่ยอมแพ้ เรื่องเกี่ยวพันกับความสุขอีกครึ่งชีวิตต่อจากนี้ของตน เขามั่นใจว่าตนเองมีความแน่วแน่พอสำหรับเรื่องนี้
หากให้พูดอย่างเป็นกลาง สำหรับฮ่องเต้แล้ว จะเป็นตัวหลัวหมิงจูแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์หรือเฉียวอวี้ซีแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ล้วนไม่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดล้วนไม่ใช่ธิดาของพระองค์ แต่เรื่องเกี่ยวพันถึงหน้าตาของแว่นแคว้น พระองค์จึงหวังว่าคุณหนูที่ส่งไปจะเป็นคุณหนูที่ฐานะสูงศักดิ์สักคนจากตระกูลใหญ่โตที่เป็นใหญ่ในทิศหนึ่ง มิฉะนั้นหากเลือกคุณหนูจากตระกูลไม่มีระดับสักตระกูล แล้วเผ่าซยงหนีว์กล่าวหาว่าพระองค์ไม่จริงจัง หลอกลวงเผ่าซยงหนีว์อย่างขอไปที พระองค์พูดอย่างไรก็อธิบายไม่ได้แล้ว
บรรดาทูตต่างพากันกล่อมองค์ชายของตนเองว่าอย่าให้เรื่องเล็กทำให้เสียการใหญ่ แม่ทัพตัวหลัวเป็นยอดแม่ทัพที่เผ่าซยงหนีว์หวั่นเกรงที่สุด ในมือกุมกำลังทหารมากมาย อำนาจมากเทียมฟ้า หากตบแต่งบุตรสาวของเขา วันใดภายหน้าเกิดทำสงครามขึ้นมา แม่ทัพตัวหลัวยังต้องเห็นแก่หน้าของบุตรสาวคิดทบทวนหลายตลบก่อนลงมือ นี่จึงเป็นสาเหตุที่พวกเขายินดีขอคุณหนูตัวหลัวแต่ไม่ขอองค์หญิง
ทว่าองค์ชายรองถูกรูปโฉมของตัวหลัวหมิงจูทำให้ขวัญผวาแล้ว แล้วเขายังถูกรูปโฉมอันงดงามของเฉียวอวี้ซีทำให้ลุ่มหลงอย่างหนัก ตอนนี้เขาฟังคำเกลี้ยกล่อมใดไม่เข้าหูทั้งสิ้น คิดแต่จะรีบถอนหมั้นกับตัวอัปลักษณ์คนนั้น แล้วสู่ขอคนงามตัวน้อยกลับบ้านของตน
ฮ่องเต้เกลี้ยกล่อมองค์ชายรองอย่างเสแสร้งเป็นคนดีอีกสองสามประโยค องค์ชายรองก็ยังยืนกรานจะสู่ขอเฉียวอวี้ซีอย่างมิยอมเปลี่ยนใจ บรรดาทูตทั้งหลายต่างคุกเข่าให้เขา บอกว่านี่คือการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ ไม่ใช่เรื่องเด็กเล่น เหตุไฉนจึงเลือกสตรีชาติกำเนิดไร้อำนาจเช่นนี้
องค์ชายรองจึงขนสุภาษิตบุญคุณเท่าหยดน้ำ ตอบแทนเท่าสายนทีออกมา กล่าวว่าหากมิใช่เพราะหย่งเอินโหว เขาก็คงไปปรโลกแล้ว การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์หนนี้ย่อมมิต้องพูดถึง ชีวิตของเขา หย่งเอินโหวเป็นผู้มอบให้ การตอบแทนหย่งเอินโหวเป็นเรื่องสมควร
มุมพระโอษฐ์ของฮ่องเต้กระตุก เจ้าหนู ที่เจ้าทำนี่ไม่ใช่ตอบแทนบุญคุณ แต่เรียกเนรคุณ…
การโต้วาทีอันคมกริบหลังจากนั้น องค์ชายรองเปลี่ยนกลับไปพูดภาษาของเผ่าซยงหนีว์ ฮ่องเต้ฟังไม่เข้าใจสักคำ แต่เห็นองค์ชายรองทุบอกกระทืบเท้า ทูตหลายคนโกรธจนควันแทบลอยออกจากเจ็ดทวาร สุดท้ายของท้ายที่สุดทูตทั้งหลายก็ล้วนหุบปาก ใบหน้าขององค์ชายรองเผยความภาคภูมิใจในชัยชนะ
ฮ่องเต้เข้าพระทัยว่าองค์ชายรองเป็นฝ่ายชนะแล้ว คิดไม่ถึงว่าเจ้าโง่ผู้พูดภาษาฮั่นได้ไม่ถึงเกณฑ์มาตรฐานคนนี้กลับพูดภาษาแม่ได้ถึงระดับสิบ หนึ่งคนสู้สิบคนอย่างไม่มีแรงกดดันสักนิด
ฮ่องเต้แสร้งทำสีหน้าทำนองว่า ‘ข้าจนปัญญายิ่งนัก เหตุใดข้าจึงมาเจอบุรุษพูดแล้วกลับคำเช่นเจ้า ข้าพระราชทานงานสมรสให้เจ้า เจ้ากลับไม่ต้องการ เจ้าตบหน้าของข้าแล้ว แต่ข้าเมตตายิ่งนักดังนั้นข้าจึงตัดสินใจให้อภัยเจ้า’ แล้วถอนหายใจตรัสว่า “ในเมื่อองค์ชายรองยืนกรานเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะให้องค์ชายรองสมใจก็แล้วกัน!”
ข่าวตัวเลือกในการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ถูกเปลี่ยนถูกส่งไปยังจวนแม่ทักกับจวนเอินปั๋วภายในคืนนั้น
ผู้หญิงในจวนแม่ทัพต่างยินดีจนน้ำตาไหล แม่ทัพตัวหลัวก็ถอนหายใจยาว ตอนฮ่องเต้พระราชทานสมรสให้แก่บุตรสาวคนเล็กของเขา ปากเขาตอบรับอย่างฉับไว แต่ในใจกลับทำใจไม่ได้อย่างยิ่ง แต่เขาเองก็จนหนทาง หากเสียสละบุตรสาวคนหนึ่งแลกกับชีวิตของทหารนับพันหมื่นและประชาชนทั้งหลายได้ เขาคิดว่า เขาคงต้องยอมเป็นบิดาใจอำมหิต
เขาเตรียมตัวเผชิญความรู้สึกผิดไปชั่วชีวิตแล้ว ผู้ใดจะคาดคิดว่าการแต่งงานกลับถูกยกเลิก นี่เหนือคาดเหลือเกิน น่ายินดีปรีดาเหลือเกินจริงๆ!
หากเป็นความบังเอิญก็แล้วไปเถิด แต่หากเป็นฝีมือของคน ถ้าเช่นนั้นเขาตัวหลัวเจวี๋ยก็ติดค้างบุญคุณคนผู้นั้นครั้งใหญ่หลวง
ตรงกันข้ามกับจวนแม่ทัพที่ราวกับปลดภาระหนักอึ้งลงจากบ่า พริบตาที่จวนเอินปั๋วได้รับข่าวว่าเฉียวอวี้ซีถูกเลือกให้แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ไปยังเผ่าซยงหนีว์ บ้านก็แตกทันที
สวีซื่อเผลอทุ่มแจกันฝังเส้นทองลงถมยาสีที่รักที่สุดจนแตก
บุตรชายคนโตเพิ่งเกิดเรื่องร้ายเช่นนี้ จิตใจของนางก็ใกล้พังทลายอยู่แล้ว วันนี้บุตรสาวยังพบเรื่องไม่คาดฝันเช่นนี้อีก นางใกล้จะเสียสติแล้ว!
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ เหตุใดจึงเป็นซีเอ๋อร์ ไม่ได้กำหนดแล้วว่าเป็นคุณหนูของตระกูลตัวหลัวหรือ เหตุใดจู่ๆ จึงเปลี่ยน” นางหน้าซีดเผือด ทรุดนั่งบนเก้าอี้
เฉียวเย่ว์ซานก็งุนงงเช่นเดียวกัน ฮ่องเต้ทรงคิดสิ่งใดอยู่กันแน่ การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์สำคัญยิ่งนัก จะเลือกคุณหนูสักคนมาส่งๆ ได้เช่นไร ตามหลักแล้วคุณหนูของจวนตระกูลตัวหลัวก็ยังนับว่าคุณสมบัติไม่พออยู่หน่อยเสียด้วยซ้ำ ต้องส่งองค์หญิง ท่านหญิงจากเชื้อพระวงศ์ออกจากด่านไปจึงจะแสดงความจริงใจของราชวงศ์ต้าเหลียงได้ เพียงแต่ว่าตระกูลัวหลัวกุมอำนาจทหารอยู่ คุณค่าของคุณหนูตระกูลตัวหลัวจึงไม่แพ้องค์หญิง ด้วยเหตุนี้จึงเลือกนาง แต่…เหตุใดจึงเปลี่ยนมาเป็นบุตรสาวของตนเล่า
เขาไม่คิดว่าบุตรสาวตระกูลเฉียวสำคัญจนถึงขั้นเป็นหน้าเป็นตาให้ราชวงศ์ได้หรอกนะ
ระหว่างนี้ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
สวีซื่อร่ำไห้ปานใจสลาย “นายท่าน ท่านคิดหาวิธีเข้าสิ! จะส่งซีเอ๋อร์ไปแต่งงานกับเผ่าซยงหนีว์ไม่ได้นะเจ้าคะ! สถานที่เช่นนั้น บุรุษเดินทางไปยังอยู่ได้ไม่นาน แล้วนับประสาอะไรกับซีเอ๋อร์ที่บอบบางถึงเพียงนี้ ตั้งแต่คลอดออกจากท้องแม่นางก็ร่างกายอ่อนแอ รักษาตัวในอารามเต๋าตั้งหลายปีกว่าจะแข็งแรง…หากส่งนางไปยังทะเลทราย นางคงไม่เหลือชีวิต…”
เฉียวเย่ว์ซานขมวดคิ้ว “เจ้าคิดว่าข้ายินดีจะส่งซีเอ๋อร์ไปแต่งงานในที่เช่นนั้นหรือ แต่ข้ามีหนทางอะไรเล่า นี่เป็นราชโองการที่ฮ่องเต้สั่งลงมาเอง!”
สวีซื่อร่ำไห้ว่า “ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้พระราชทานราชโองการให้ตระกูลตัวหลัว ก็ยังเปลี่ยนเลยมิใช่หรือ เปลี่ยนอีกครั้งจะไปยากอันใด”
เฉียวเย่ว์ซานตอบอย่างอารมณ์เสีย “เจ้าก็พูดง่าย! ตระกูลเฉียวเทียบกับตระกูลตัวหลัวได้หรือ”
สามีภรรยาสองคนโยนหนี้แค้นหนนี้ไปไว้บนศีรษะของจวนแม่ทัพอย่างชัดเจน พวกเขาคิดว่าจวนแม่ทัพคงเล่นลูกไม้อะไรต่อหน้าพระพักตร์ของฮ่องเต้ จึงทำให้ฮ่องเต้เปลี่ยนตัวคนที่จะแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์
ความผิดหนนี้จวนแม่ทัพต้องเป็นผู้แบกแน่แล้ว แต่จวนแม่ทัพก็ไม่ใช่ว่าแบกอย่างอยุติธรรมเสียทีเดียว ถึงอย่างไรผู้ที่ได้ผลประโยชน์ก็คือคุณหนูของจวนแม่ทัพ ไม่ยอมเสียสิ่งใดเลยแต่จะรับผลประโยชน์ก้อนใหญ่อย่างง่ายๆ ก็คงไม่ได้กระมัง บนโลกใบนี้มีเรื่องดีงามเช่นนั้นเสียที่ไหน
แต่ถึงแม้จวนแม่ทัพต้องแบกความผิดนี้แล้วก็ไม่เห็นเป็นอะไร ตระกูลเฉียวเป็นตระกูลระดับใด จวนแม่ทัพเป็นตระกูลระดับใด กระต่ายกล้าหาเรื่องพยัคฆ์หรือ ต่อให้ในใจตระกูลเฉียวโกรธอีกเท่าใดก็มิกล้าวิ่งมาหาเรื่องที่จวนแม่ทัพ
ความทุกข์หนที่สองนี้ ตระกูลเฉียวก็ถูกลิขิตให้ต้องกล้ำกลืนไว้อีกแล้ว
ระหว่างเฉียวอวี้ซีกับตัวหลัวหมิงจูเคยมีเรื่องไม่พอใจกันอยู่ ตอนแรกนางบิดเบือนเรื่องจริง ส่งเฉียวเวยกับลูกๆ เข้าไปในคุก ตัวหลัวหมิงจูมาระบายโทสะแทนพี่รองจึงปรี่เข้ามาในคุก ลงไม้ลงมือกับเฉียวเวย ผลสุดท้ายกลับถูกเฉียวเวยจัดการ ต่อมาตัวหลัวหมิงจูทราบความจริงจึงสาดโทสะทั้งหมดใส่ศีรษะของเฉียวอวี้ซี นางถูกคนทำให้อับอายต่อหน้าอัครมหาเสนาบดี รสชาตินั้น เฉียวอวี้ซีจดจำได้ชั่วชีวิต!
หนนี้เมื่อได้ยินว่าตัวหลัวหมิงจูถูกพระราชทานให้องค์ชายเผ่าซยงหนีว์ อย่าให้พูดว่าในใจเฉียวอวี้ซีว่ารื่นเริงมากเพียงใด นางยังขอให้ท่านพ่อวาดภาพเหมือนขององค์ชายเผ่าซยงหนีว์ให้ดูรูปหนึ่ง เมื่อเห็นใบหน้าสามเหลี่ยมที่พอจะขับไล่สิ่งชั่วร้ายได้ดวงนั้น นางก็หัวเราะออกมาทันที!
ต้องแต่งงานกับตัวอัปลักษณ์เช่นนี้ ตัวหลัวหมิงจูกคงร่ำไห้ขาดใจตายไปแล้วกระมัง
เพียงแต่เฉียวอวี้ซีหัวเราะได้ไม่นานก็ได้ยินสาวใช้เข้ามาแจ้งว่า วังหลวงมีราชโองการมาแจ้งว่าคนที่ต้องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กลับกลายเป็นตัวนางเอง
รอยยิ้มของเฉียวอวี้ซีแข็งค้างอยู่บนใบหน้า…
…
ข่าวในเมืองหลวงแพร่ไปเร็วยิ่งนัก เพียงคืนเดียวหลังจากฮ่องเต้ออกราชโองการ วันต่อมาเรื่องก็กระจายไปทั่วทุกถนนตรอกซอกซอยของเมืองหลวง เฉียวเวยต้องการทราบว่าเรื่องที่ตนเอง ‘ทุ่มเทวางแผน’ สำเร็จผลแล้วหรือไม่จึงตื่นแต่เช้าตรู่มาสืบข่าวที่หรงจี้
เมื่อถึงเที่ยงวันก็มีพ่อค้าจากเมืองหลวงมาหลายคน เฉียวเวยยกไข่นกกระทาเยี่ยวม้าที่เพิ่งทำมาใหม่ๆ ถาดหนึ่งออกมาให้ แล้วถามพ่อค้าว่าอาหารจานใหม่ที่เหลาสุราทำออกมารสชาติเป็นอย่างไร พร้อมกับเลียบเคียงถามถึงข่าวใหญ่ในเมืองหลวงอีกเล็กน้อย
พ่อค้าตัวสูงผอมคนนั้นหัวเราะพูดว่า “อยากฟังข่าวใหญ่ ย่อมหนีไม่พ้นเรื่องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์ต้าเหลียงของเรากับเผ่าซยงหนีว์!”
เฉียวเวยแสร้งทำสีหน้าประหลาดใจ “เอ๋ ผู้ใดต้องไปแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์หรือ ใช่องค์หญิงของต้าเหลียงของพวกเราหรือไม่”
“ไม่ใช่” พ่อค้าหัวเราะ “คุณหนูตระกูลขุนนางคนหนึ่งต่างหาก ได้ยินว่าองค์ชายเผ่าซยงหนีว์ต้องตาต้องใจเอง บิดาของคุณหนูผู้นั้นรักษาโรคขององค์ชายเผ่าซยงหนีว์จนหายดี องค์ชายเผ่าซยงหนีว์ได้รับผลท้อจึงต้องการตอบแทนด้วยสาลี่ ตัดสินใจสู่ขอบุตรสาวของเขาเป็นพระชายา”
นี่ก็เฉียวอวี้ซีไม่ใช่หรือ
เฉียวเวยกดมุมปากที่ยกโค้งขึ้นสูงโดยไม่ทันระวังลงไป แล้วเดินขึ้นชั้นบนไปอย่างอารมณ์ดี
แม้ว่าเมื่อวานจะหลอกลวงได้อย่างแนบเนียนไร้ช่องโหว่ แต่เฉียวเวยก็ยังกังวลอยู่บ้างว่าเมื่อออกจากเหลาสุรา องค์ชายรองจะได้สติ เห็นการใหญ่ของแว่นแคว้นเป็นเรื่องสำคัญ หากเป็นเช่นนี้ ฐานะของเฉียวอวี้ซีย่อมเทียบกับตัวหลัวหมิงจูไม่ได้อย่างสิ้นเชิง
คิดไม่ถึงว่าเขาจะทำให้เรื่องนี้สำเร็จจริงๆ
วีรบุรุษยากจะเอาชนะหญิงงามจริงๆ
ดี ดีแท้!
สมควรฉลอง!
เฉียวเวยยิ้มตาหยีเดินลงจากชั้นสอง ตัดสินใจไปซื้ออาหารที่ตลาดสักหน่อยแล้วกลับบ้านไปทำอาหารดีๆ เต็มโต๊ะ แต่เพิ่งก้าวออกจากประตูใหญ่ก็ถูกเงาร่างสูงใหญ่กำยำขวางทางไว้อย่างจัง
บนร่างของคนผู้นั้นมีกลิ่นหอมกำยานอ่อนๆ สายหนึ่งผสมกับกลิ่นอายความเป็นบุรุษของเขขา ความจริงแล้วมันเป็นกลิ่นที่น่าดมดอมยิ่งนัก แต่เฉียวเวยกลับขมวดคิ้ว ขยับไปด้านข้างหนึ่งก้าวดึงระยะห่างจากเขาทันที
คนผู้นั้นก็ขยับหนึ่งก้าว มาขวางไว้อีกหน
เฉียวเวยขยับไปทางขวาอีกหนึ่งก้าว เขาก็ขยับมาอีกหน
เฉียวเวยถอนหายใจ “มีธุระใดหรือเพคะ ยิ่นอ๋อง”
หน้าประตูใหญ่ คนมากมาย สายตาก็มาก ยิ่นอ๋องจับข้อมือของนางแล้วลากนางเข้ายังตรอกเล็กด้านข้าง หลังจากนั้นจึงมองนางด้วยสายตาเย็นยะเยือกดั่งน้ำแข็ง จิตสังหารที่ไม่ปิดบังแม้แต่น้อยในดวงตาคู่นั้นแทบจะท่วมฟ้ากลบดิน “เจ้าทำใช่หรือไม่”
“อะไรใช่หรือไม่” เฉียวเวยแกล้งโง่
ยิ่นอ๋องกำหมัด อดกลั้นความต้องการที่จะต่อยนางให้ตาย แล้วเอ่ยทีละคำ “อย่ามาเสแสร้งแกล้งโง่ต่อหน้าข้า!”
ดวงตาของเฉียวเวยไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย นางสบสายตาเหมือนจะกินคนของเขาแล้วกล่าวว่า “ผู้ใดเสแสร้งแกล้งโง่ก่อนกันแน่ ตอนข้าพบองค์ชายรองเผ่าซยงหนีว์ข้าไม่ได้ปิดบังตัวตนของตนเองเลยสักนิด ข้าไม่เพียงบอเขาว่าข้าเป็นเถ้าแก่รองของหรงจี้ ยังบอกอีกว่าจวนเอินปั๋วของนางเป็นตระกูลฝ่ายแม่ของข้า อะไรกัน นี่ยังไม่ชัดเจนพออีกหรือ ท่านอ๋องจึงยังมาถามว่าใช่ข้าหรือไม่”
สิ่งที่ยิ่นอ๋องต้องการพูดย่อมไม่ใช่เรื่อนี้ “เจ้าหลอกเขาว่าเจ้าเป็นผู้หญิงของข้า!”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “จุดที่ท่านอ๋องให้ความสำคัญคือเรื่องนี้หรอกหรือ ท่านอ๋องเหมือนจะสูญเสียพันธมิตรผู้แข็งแกร่งไปคนหนึ่งแล้ว ไม่สมควรขบคิดว่าจะกอบกู้สิ่งที่ขาดทุนไปกลับมาอย่างไรหรือ เหตุใดจึงวิ่งมาตรงหน้าข้า ตั้งคำถามว่าข้ายอมรับว่าตนเป็นผู้หญิงของท่านอ๋องหรือไม่”
พุดพลาง เฉียวเวยก็ยิ้มน้อยๆ “ท่านอ๋อง ท่านคงไม่ได้ต้องตาต้องใจข้าจริงๆ หรอกกระมัง”
ยิ่นอ๋องเอ่ยอย่างโมโห “เจ้าอย่าฝันไปเลย! ต่อให้เจ้าเปลื้องผ้าจนล่อนจ้อนต่อหน้าข้า ข้าก็ไม่มีทางคิดอะไรกับเจ้า!”
เฉียวเวยม้วนผมเปียที่พาดอยู่ตรงหน้าอก “หากกล่าวเช่นนี้ เรื่องเมื่อห้าปีก่อนที่ข้าปีนเตียงของท่านอ๋องก็น่าจะไม่เกิดขึ้นสิ เมื่อครู่ท่านอ๋องบอกเองไม่ใช่หรือว่าต่อให้ข้าเปลือยเปล่าก็ยั่วยวนท่านไม่ได้”
“เจ้า…” ยิ่นอ๋องสะอึก
เฉียวเวยยิ้ม “ข้าจะขอชี้แจงกับยิ่นอ๋องสักหน่อย ตั้งแต่ต้นจนจบข้าไม่ได้ยอมรับกับองค์ชายเผ่าซยงหนีว์เลยว่าข้าเป็นผู้หญิงของท่าน ข้าเพียงพูดว่า ‘ข้าเป็น…ของท่านอ๋อง’ ส่วนที่เว้นไว้ไม่ได้พูด ทุกสิ่งล้วนเป็นตัวเขาคาดเดาไปเอง ความจริงสิ่งที่ข้าต้องการพูดคือ ข้าเป็นคู่แค้นของท่านอ๋องต่างหาก แต่ก็นะ เรื่องน่าเกลียดของแว่นแคว้นย่อมเล่าต่อให้คนนอกฟังไม่ได้ พวกเราอย่าเสียหน้าเรื่องนี้ต่อหน้าเผ่าซยงหนีว์เลย”
ยิ่นอ๋องโกรธจนเกือบจะพูดไม่ออก เห็นชัดว่าสตรีนางนี้ตั้งใจชักจูงองค์ชายรองให้เข้าใจผิด แล้วยังจงใจแอบอ้างตัวตนของเขาทำให้เข้าใจผิด แต่สุดท้ายกลับมาพูดคำเดียวว่าเขาคาดเดาไปเอง ปัดความผิดได้อย่างหมดจด!
“เฉียวซื่อ เหตุใดเจ้าจึงตั้งตัวเป็นอริกับข้าครั้งแล้วครั้งเล่าไม่จบสิ้น”
“ท่านอยากรู้เหตุผลจริงหรือ ถ้าเช่นนั้นก็ได้ข้าจะบอกท่าน” เฉียวเวยเก็บรอยยิ้มบนใบหน้า แล้วมองเขาอย่างจริงจัง “ท่านแทงข้าหนึ่งกระบี่โดยที่ยังไม่ทันสืบสถานการณ์ให้ชัดแต่อย่างใด จนทำให้ข้าเกือบสิ้นชีวิต เพื่อปกป้องตนเองท่านผลักความผิดมาไว้บนศีรษะของข้าคนเดียว ทำให้ข้าถูกขับไล่ออกจากตระกูล ทั้งที่ท่านทราบดีว่าข้าอาจตั้งท้องลูกของท่าน ท่านก็ยังไม่สนใจไม่ถามไถ่ข้า ห้าปีที่ผ่านมาข้าทุกข์ยากอย่างที่สุด สุดท้ายชีวิตก็ปลิดปลิว ท่านว่า ข้าสมควรแค้นท่านหรือไม่เล่า”
ยิ่นอ๋องขมวดคิ้ว “ชีวิตปลิดปลิวอะไรกัน เจ้าก็ยังมีชีวิตอยู่ดีไม่ใช่หรือ”
เฉียวเวยเอ่ยเสียงเรียบเฉย “ไม่ต้องเสแสร้งแกล้งโง่ ท่อนหน้าต่างหากที่เป็นใจความสำคัญ”
ยิ่นอ๋องสะอึกอีกหน ผ่านไปครู่หนึ่งจึงหน้าแดงกล่าวขึ้นว่า “เจ้าล่วงเกินข้า ข้าไม่สมควรสังหารเจ้าหรือ”
เฉียวเวยตอบอย่างเฉยชา “ท่านมั่นใจปานนั้นเชียวว่าคนที่ล่วงเกินท่านคือข้า ทำไมจะมีผู้อื่นกินเต้าหู้ท่านแล้วเอาข้ามาเป็นแพะรับบาปไม่ได้”
ยิ่นอ๋องตอบอย่างไม่คิดแม้แต่น้อย “เรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้!”
เฉียวเวยมองเขา “เป็นไปไม่ได้ หรือท่านหวังให้มันเป็นไปไม่ได้ เรื่องในตอนนั้น ข้าไม่เชื่อหรอกว่าท่านไม่ฉุกใจสงสัยแม้แต่นิดเดียว แต่ตัวท่านต้องการหลอกตนเอง!”
ยิ่นอ๋องโกรธจัด “อย่าได้ใส่ร้ายป้ายสีข้า!”
“กินปูนร้อนท้องล่ะสิ” เฉียวเวยยิ้มหยัน
ยิ่นอ๋องคว้าข้อมือของเฉียวเวย เรี่ยวแรงของเขามากมายจนเกือบจะบีบกระดูกข้อมือของเฉียวเวยหัก “เจ้าเข้าใจข้าผิดเช่นนี้ แล้วยังเป็นอริกับข้าหนแล้วหนเล่าอย่างไม่กลัวเกรง! ดูท่าข้าคงดีต่อเจ้ามากเกินไปแล้ว เจ้าจึงลืมฐานะของตนเอง!”
เฉียวเวยตอบอย่างสบายๆ “ฐานะของข้า ข้ารู้ชัดเจนยิ่งนัก แต่ท่านอ๋องต่างหากที่ไม่รู้ฐานะของตนเอง ท่านอ๋องไม่ลองคิดดูบ้างว่าความโปรดปรานในยามนี้ได้มาด้วยเหตุใด วันหน้าหากเผ่าซยงหนีว์แตกหักกับต้าเหลียง ผู้ที่ฝ่าบาทจะพาลพิโรธคนแรกเกรงว่าคงจะเป็นท่านอ๋อง หากข้าเป็นท่านอ๋อง คงจะปิดประตูจวนเตรียมซ่อมหลังคาก่อนฝนมาแล้ว ไหนเลยจะมีกะจิตกะใจมาสนใจเรื่องเล็กน้อยอย่างการคิดแค้นกับสตรีนางหนึ่ง”
ยิ่นอ๋องพูดพร้อมกับสายตาเย็นยะเยือก “เจ้ารู้หรือไม่ว่าการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างองค์ชายรองกับตระกูลตัวหลัวมีความหมายกับข้าเช่นไร”
รู้สิ ดังนั้นนางถึงทำให้ล่มไม่เป็นท่าอย่างไรเล่า!
เฉียวเวยมองเขาอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว
ยิ่นอ๋องดันนางไปชิดกำแพงเย็นเฉียบ “เฉียวเวย อย่าคิดว่าเจ้าให้กำเนิดเลือดเนื้อของข้าแล้วจะทำตามอำเภอใจกับข้าได้ ข้าขอเตือนเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย หากกล้าเป็นศัตรูกับข้าอีก ข้าจะสังหารเจ้าเสีย!”
เฉียวเวยยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้าน “ข้าจะรอก็แล้วกัน”
ยิ่นอ๋องสะบัดมือของนางทิ้งอย่างเย็นชา แล้วเดินจากไปโดยไม่หันศีรษะกลับมาแม้แต่หนเดียว
เมื่อแน่ใจว่าคนเดินจากไปไกลแล้ว เฉียวเวยก็เลิกปั้นหน้า นางกุมข้อมมือที่เจ็บปวด แล้วสูดลมหายใจเย็นเฉียบเข้าปอดสองเฮือก “เจ้าคนสารเลว! แรงเยอะปานนี้! สมควรแล้วที่ไม่มีสตรีชมชอบเจ้า!”
…