หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 148-1 ตำแหน่งเจ้าตระกูล
เฉียวเวยเพิ่งได้เห็นวิชาแปลงโฉมที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้เป็นหนแรก แต่การเลียนเสียง นางไม่รู้สึกว่าแปลกตานัก มีคนที่เลียนแบบเสียงได้สารพัดสิ่ง ทั้งเสียงคน เสียงนก เสียงสัตว์…เหมือนของจริงจนใช้ของปลอมลวงของจริงได้ แต่การแปลงโฉม นางไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต
ความอยากรู้อยากเห็นในใจของเฉียวเวยถูกปลุกขึ้นมา นางอยากลูบใบหน้าของอี้เชียนอินสักหน่อย ดูซิว่าที่แท้มีเคล็ดลับประการใด แต่จนปัญญาที่คุณชายใหญ่หมิงไม่ยอม
ที่แท้คุณชายใหญ่หมิงก็เป็นไหน้ำสัมน้อย!
เฉียวเวยคิดอย่างอารมณ์ดี
อี้เชียนอินยิ้ม “ฮูหยินดูใบหน้าของข้าไปก็มิพบสิ่งใดหรอกขอรับ”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “เจ้า…ไม่ได้ใช้หน้ากากหนังมนุษย์อะไรพรรค์นั้นหรือ”
อี้เชียนอินยิ้มพลางคิดครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “ใช่แล้วก็ไม่ใช่ ข้าปั้นใบหน้าขึ้นมาตามบิดาของท่านก็จริง แต่มิใช่หน้ากากธรรมดา รายละเอียดเป็นเพราะอะไร ขออภัยที่ตอนนี้เชียนอินเปิดเผยไม่ได้”
แววตาของเฉียวเวยฉายแววเข้าใจในพริบตา “เข้าใจแล้ว วิชาหากินของเจ้า คงจะเผยเคล็ดลับให้ผู้อื่นฟังง่ายๆ ไม่ได้”
อี้เชียนอินไม่ยอมรับแล้วก็ไม่ปฏิเสธ
ดวงตาของเฉียวเวยฉายแววอิจฉาวูบหนึ่ง “วิชาแปลงโฉมของเจ้าร้ายกาจเช่นนี้ อยากปลอมเป็นผู้ใดก็ได้ทั้งนั้นใช่หรือไม่”
อี้เชียนอินยิ้มอ่อนโยน “ไม่ใช่ขอรับ หากแปลงเป็นผู้ใดก็ได้ตามใจ นั่นคงเป็นเทพเซียนแล้ว วิชาแปลงโฉมมีความยอดเยี่ยมของมัน แต่ก็มีข้อจำกัดของมันด้วย ตัวอย่างเช่นข้อจำกัดเรื่องความสูงกับรูปร่าง ปรับเปลี่ยนได้จำกัด แม้รูปลักษณ์ภายนอกอาจใช้วิชาหดกระดูกปรับเปลี่ยนได้ แต่ยิ่งใช้ลมปราณมาก เวลาที่ผลจะคงอยู่ก็ยิ่งสั้น”
ยุคโบราณมีวิชาหดกระดูกจริงๆ เสียด้วย คิดว่าแต่งเรื่องขึ้นมาเสียอีก ดวงตาของเฉียวเวยกลอกไปมาอย่างรวดเร็ว “ถ้าเช่นนั้นใบหน้าดวงนี้ของเจ้าคงไว้ได้นานเท่าใด”
อี้เชียนอินตอบตามความจริง “ข้ารูปร่างคล้ายกับบิดาของท่าน หากไม่มีเรื่องอื่นที่ต้องเสียกำลังภายใน ใบหน้านี้ก็น่าจะอยู่ได้ราวสิบวัน”
“ข้าเคยคิดว่าวิชาแปลงโฉมคือการทำใบหน้าที่เหมือนกันทุกประการมาแปะเข้าไป คงสภาพไว้ได้ทุกวันเสียอีก!” ในนิยายก็เขียนเช่นนี้กันหมด! ละครโทรทัศน์ก็แสดงเช่นนี้ด้วย!
อี้เชียนอินค้นพบว่าคำพูดของฮูหยินน่าขบขันพอสมควร ฟังดูไม่เหมือนคุณหนูตระกูลขุนนางตามปกติสักนิด มิน่าระหวางทางเยี่ยนเฟยเจวี๋ยจึงชมนางไม่ขาดปาก แล้วยังเตือนตนอีกว่าอย่าไปกลั่นแกล้งนางเป็นอันขาด อี้เชียนอินตอบว่า “หน้ากากเช่นนั้นหลุดง่าย สีหน้าก็ไม่เป็นธรรมชาติ”
“เช่นนี้เอง” เฉียวเวยพยักหน้าด้วยใบหน้าที่นิ่งสงบ แต่ความจริงสงสัยใคร่รู้แทบตาย ที่แท้ทำได้อย่างไรกัน เหตุไฉนจึงเปลี่ยนใบหน้าให้เหมือนกันทุกประการได้ อยากจะรู้แทบแย่แล้ว!
จีหมิงซิวเห็นนางจับนิ้วมือก็ทราบว่าใจนางอยากรู้แทบแย่ หากนางอยากเรียนรู้สิ่งอื่น เขาก็จะตามใจนางอยู่หรอก แต่วิชาแปลงโฉมของอี้เชียนอินไม่ใช่วิชาของฝ่ายธรรมะในยุทธภพ บอกว่าเป็นวิชาสายอธรรมก็ยังเบาไป แทบจะเรียกได้ว่าเป็นวิชามารประเภทหนึ่ง คนที่ฝึกฝนวิชานี้จะต้องจ่ายค่าตอบแทนที่คนธรรมดายากจะทนรับได้ การใช้แต่ละหนก็ส่งผลต่อร่างกายมากมายยิ่งนัก
นี่จึงเป็นสาเหตุที่อี้เชียนอินไม่ใช่วิชาแปลงโฉมง่ายๆ ยิ่งกว่านั้นทุกครั้งที่ใช้ก็จะไม่เกินครึ่งเดือน
ก่อนหน้านี้ตนเองบาดเจ็บ อี้เชียนอินต้องใช้วิชาลงไปจัดการชลประทานทางเจียงหนานแทนตนเอง ผลสะท้อนจากหนนั้นยังไม่ทันหายสนิทดี หนนี้จึงคงวิชาไว้ได้ราวสิบวันเท่านั้น
“หัวหน้าพรรคเฉียว เจ้ามีเวลาเพียงสิบวันที่จะยึดตระกูลเฉียว” จีหมิงซิวมองนางอย่างแฝงความนัย
เฉียวเวยกำนิ้วมือ “สิบวันก็สิบวัน!”
จีหมิงซิวยิ้มเหมือนครุ่นคิด “หัวหน้าพรรคเฉียวดูเชื่อมั่นในตนเองมากนะ”
เฉียวเวยตอบอย่างเฉยเมย “’บิดา’ ของข้าออกโรงเอง คนพวกนั้นจะไม่ยอมแต่โดยดีได้หรือ”
“เช่นนั้นหรือ” จีหมิงซิวยกนิ้วเรียวงามดั่งหยกขึ้นมาเคาะบนผิวโต๊ะมันวาวพร้อมกับรอยยิ้มที่ไม่คล้ายรอยยิ้ม ดวงตามองมายังเฉียวเวยด้วยสายตาที่ยากจะตีความ “เชียนอิน”
แววตาของอี้เชียนอินวูบไหวเล็กน้อย แล้วเอ่ยกับเฉียวเวยว่า “ฮูหยิน ข้าไม่เคยได้ยินเสียงบิดาท่าน ดังนั้นข้าจึงมิอาจลอกเลียนคำพูดของเขาได้”
เฉียวเวยมองเขาอย่างเสียใจ “เจ้าไม่พูด ถ้าเช่นนั้นแล้วจะทวงสมบัติคืนมาได้อย่างไร พวกคนใจดำพวกนั้นขับไล่ข้าออกมาจากตระกูลแล้ว พวกเขาไม่มีวันฟังคำพูดของข้า!”
อี้เชียนอินเอ่ยอย่างละอายใจ “เรื่องนี้…เชียนอินก็ไร้ความสามารถ”
ดีใจเสียเปล่าแล้ว เฉียวเวยถอนหายใจอย่างผิดหวัง “ถ้าเช่นนั้นก็ได้ ข้าจะลองคิดดูอีกหน เจ้านั่งเถิด ข้าจะไปหั่นแตงโมมาให้เจ้าสักหน่อย”
อี้เชียนอินประสานมือ “ขอบพระคุณฮูหยิน”
“อืม” เฉียวเวยพยักหน้า อี้เชียนอินผู้นี้นับว่าเป็นลูกน้องที่กิริยาสุภาพเรียบร้อยที่สุดของหมิงซิวแล้ว
เมื่อแน่ใจว่าเฉียวเวยเดินออกไปไกลแล้ว อี้เชียนอินจึงหันไปมองจีหมิงซิวอย่างไม่เข้าใจ “นายน้อย ตอนยังเล็กข้าน้อยเคยพบเจิงปั๋ว จดจำเสียงของเขาได้แท้ๆ เหตุใดนายน้อยจึงไม่ให้ข้าน้อยลอกเลียนเสียงของเขาเล่า”
จีหมิงซิวตอบว่า “ หาก ‘เฉียวเจิง’ ออกโรงจริง แล้วยังต้องใช้นางทำอะไรเล่า”
อี้เชียนอินงุนงงเล็กน้อย “ข้าน้อยไม่เข้าใจ นายน้อยไม่ได้ตั้งใจจะทวงสมบัติคืนมาให้ฮูหยินหรอกหรือ ‘เฉียวเจิง’ ออกหน้า ไม่ใช่ง่ายกว่าฮูหยินออกหน้าหรือ”
สายตาของจีหมิงซิวมองผ่านประตูไปยังทางเดินด้านนอก จับจ้องบนร่างของเฉียวเวยที่กำลังเลือกแตงโมอย่างเงียบๆ “ต่อให้ข้าแย่งตระกูลเฉียวกลับมาให้นางแล้วอย่างไร หากนางมีความสามารถไม่พอ วันหน้าก็ต้องถูกผู้อื่นแย่งไปอีก”
อี้เชียนอินฟังคำพูดนี้จบก็ยิ่งงุนงงแล้ว “มีนายน้อยอยู่ ผู้ใดจะกล้าแย่งชิงของของฮูหยิน”
“แล้วข้าจะอยู่ได้อีกนานเท่าใด”
จีหมิงซิวย้อนประโยคหนึ่งกลับมาอย่างไม่ให้ทันได้ตั้งตัว อี้เชียนอินอับจนคำพูดทันควัน
‘โรค’ ของนายน้อย ที่ผ่านมาก็ยังไม่ดีขึ้นเลยสินะ…
กำลังภายในอันกล้าแข็งสายนั้นเหมือนกับระเบิดเวลาลูกหนึ่ง ผู้ใดก็ไม่รู้ว่าวันใดมันจะระเบิดร่างนายน้อย
จีหมิงซิวพึมพำ “จิ่งอวิ๋นเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของข้า วันใดข้าไม่อยู่แล้ว บุตรย่อมสืบทอดกิจการของบิดา ตระกูลจีย่อมกลายเป็นของเขา หากแม้แต่ตระกูลเฉียวเล็กๆ ตระกูลหนึ่ง มารดาของเขายังแย่งกลับมาไม่ได้ วันหน้าจะครองตระกูลจี ปกป้องวั่งซูกับเขาได้เช่นไร หากนางไม่มีความสามารถนั้น ข้าก็ยินดีให้พวกเขาแม่ลูกปิดแซ่ซ่อนนามไปชั่วชีวิต ไม่ต้องล่วงรู้เรื่องตระกูลจี”
อี้เชียนอินอดไม่ได้นึกถึงเรื่องเมื่อหลายปีก่อนขึ้นมา ยามนั้นเขายังเป็นมารน้อยติดตามอาจารย์ออกท่องไปทั่วอย่างอิสระเสรี เขากำลังตามสะกดรอยจิ้งจอกเพลิงตัวหนึ่งท่ามกลางผืนหิมะ นายน้อยอายุมากกว่าเขาอยู่สองสามปี ตอนนั้นอายุราวสิบเอ็ดสิบสองปี เขาสวมอาภรณ์สีขาวพิสุทธิ์ ห่มทับด้วยผ้าคลุมขนจิ้งจอกเงิน ดวงหน้าดั่งหยก ทั่วร่างมีกลิ่นอายความสูงศักดิ์ กำลังล่าสัตว์อยู่ท่ามกลางผืนหิมะเช่นกัน นายน้อยจับจิ้งจอกเพลิงตัวนั้นได้ก่อนเขาก้าวหนึ่ง นายน้อยรักจิ้งจอกเพลิงตัวนั้นมากอุ้มติดมือไม่ปล่อย บ่าวรับใช้ทั้งหลายพากันบอกให้นายน้อยนำจิ้งจอกเพลิงกลับไปเลี้ยงที่บ้าน แต่นายน้อยกลับปฏิเสธ
แววตาอาลัยอาวรณ์ยามนายน้อยปล่อยจิ้งจอกเพลิงไป จวบจนวันนี้อี้เชียนอินหวนนึกขึ้นมาก็ยังรู้สึกเจ็บปวดหัวใจอยู่เลือนราง
หากฮูหยินกับลูกอยากกลับไปยังตระกูลจีอย่างสง่าผ่าเผย สิ่งที่ต้องมีไม่ใช่เพียงความบริสุทธิ์ในเหตุการณ์ห้าปีก่อน แต่ยังต้องมีความสามารถในการปกป้องตนเองด้วย
เฉียวเวยยกแตงโมถาดหนึ่งเข้ามาในห้อง
อี้เชียนอินกับจีหมิงซิวจบบทสนทนาเมื่อครู่แล้ว สีหน้าของทั้งสองคนมองไม่เห็นความผิดปกติแม้แต่น้อย จีหมิงซิวมองแตงโมที่ถูกนางหั่นเป็นชิ้นบาง แล้วเอ่ยล้อ “วันนี้ไม่กอดแตงโมเอาช้อนจ้วงกินแล้วหรือ”
เฉียวเวยจัดปอยผม เชิดคางตอบว่า “ข้ากอดแตงโมเอาช้อนจ้วงกินตั้งแต่เมื่อใด อย่ามาใส่ความทำลายภาพลักษณ์ของข้า ข้าเป็นกุลสตรีผู้งามสง่า”
จีหมิงซิวยกมุมปากขึ้นอย่างอดกลั้นไม่ไหว
อี้เชียนอินตวัดสายตามองอย่างไม่กล้าเชื่อสายตาตนเองอยู่บ้าง ดวงตาของนายน้อยในความทรงจำเป็นเสมือนทุ่งน้ำแข็ง ว่างเปล่าจนเกือบเปล่าเปลี่ยว แต่เมื่อเงาของสตรีนางนี้สะท้อนอยู่ในดวงตาของเขา ทุ่งน้ำแข็งอันเปล่าเปลี่ยวแห่งนั้นก็พลันสะท้อนแสงหลากสีสัน โลกที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายความตายอันหนักอึ้งแปรเปลี่ยนมามีชีวิต
…
วันต่อมาสำนักศึกษาหยุดหนึ่งวัน มิใช่เพราะอื่นใดแต่เพราะซิ่วไฉเฒ่าต้องตามเฉียวเวยไปเมืองหลวง
เด็กทั้งสองคนถูกฝากไว้กับชีเหนียงกับปี้เอ๋อร์ แต่ป้าหลัวแกรงว่างานของโรงงานจะล่าช้า จึงให้ทั้งสองคนไปทำงาน ส่วนตนดูเด็กๆเอง
มีจงเกอร์อยู่ด้วย เด็กน้อยทั้งสามจึงเล่นกันอย่างมีความสุขยิ่งนัก คอยดูแลง่ายพอสมควร
เฉียวเวยนั่งรถม้าที่จีหมิงซิวเตรียมให้ ม้าสองตัว ไม่หรูหราแต่ก็ไม่ซอมซ่อ ทุกสิ่งพอเหมาะพอดี สารถีเป็นเด็กหนุ่มที่เฉียวเวยไม่เคยเห็นมาก่อน คิดว่าคงเป็นคนที่ตระกูลเฉียวไม่เคยพบหน้าเช่นกัน
ซิ่วไฉเฒ่านั่งอยู่ข้างกายเฉียวเวย เล่าสถานการณ์ของตระกูลเฉียวให้เฉียวเวยฟังอย่างละเอียด “ตระกูลเฉียวมีทั้งหมดสี่เรือน นายท่านใหญ่เป็นบุตรภรรยาเอกที่เกิดมาจากท่านย่าของท่าน ท่านย่าของท่านน่าจะจากโลกไปแล้ว มิเช่นนั้นคงไม่มีทางปล่อยให้เมิ่งซื่อขึ้นมาครองตำแหน่ง นายท่านรองกับนายท่านสามเกิดมาจากท้องของเมิ่งซื่อ นายท่านสี่เกิดมาจากอนุภรรยาถง”
“เรือนสี่ กับเรือนรอง เรือนสามไม่ได้เกิดมาจากแม่คนเดียวกัน ความสัมพันธ์เป็นอย่างไร” เฉียวเวยถาม
ซิ่วไฉเฒ่าตอบว่า “นายท่านสี่กับฮูหยินสี่นิสัยค่อนข้างอ่อนโยน ปรองดองกับทุกคน”
เฉียวเวยชะงัก แล้วถามขึ้นมาว่า “ข้าเป็นคุณหนูของเรือนใหญ่ พวกเขาที่เป็นลูกอนุเหล่านี้ควรจะมีตำแหน่งสูงไม่เท่าข้าสิ เหตุใดจึงมีสิทธิขับไล่ข้าออกจากตระกูลได้”
ซิ่วไฉเฒ่าอธิบาย “การจะเพิ่มชื่อเข้าไปในตระกูลหรือลบชื่อออกจากตระกูลล้วนเป็นเรื่องใหญ่ ก่อนอื่นต้องมีคำสั่งจากเจ้าตระกูล จากนั้นต้องได้รับความยินยอมจากผู้อาวุโสทั้งหลายในตระกูล”
“ต้องเห็นด้วยทั้งหมดหรือ”
“มากกว่าครึ่ง”
เฉียวเวยพยักหน้า “ท่านเล่าเรื่องผู้อาวุโสในตระกูลแต่ละคนให้ข้าฟังหน่อย”
…
“ข้าต้องทำอะไรนะขอรับ ฮูหยิน” อี้เชียนอินที่อยู่ด้านข้างถามหน้าซื่อ
เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ “บิดาของข้าถูกคนทำร้ายที่ศีรษะ แม้จะช่วยชีวิตไว้ได้ แต่ก็จ้งเฟิง ร่างกายครึ่งหนึ่งจึงขยับไม่ได้ ใบหน้าอัมพาต สูญเสียความสามารถในการพูด ทำได้เพียงใช้นิ้วเคาะกระดิ่งบนรถเข็น”
มุมปากของอี้เชียนอินกระตุก แม้จะรู้ว่าเขามาเป็นตัวแถม แต่นี่ก็ออกจะว่างงานเกินไปหน่อยแล้ว เขาเป็นถึงเจ้าสำนักน้อยของสำนักมารเชียวนะ ตกต่ำจนต้องมาแกล้งเป็นชายชราอัมพาตบนรถเข็นแล้วหรือ
“ตอนที่จำเป็นก็ต้องน้ำลายไหลสักหน่อยด้วย” เฉียวเวยแทงซ้ำอีกหนึ่งดาบ
อี้เชียนอินเริ่มคิดอยากตายขึ้นมาแล้ว
เฉียวเวยกำชับอีกว่า “แล้วก็คนพวกนั้นเคยจ้างวานมือสังหารมาลอบสังหารข้ากับพ่อข้าแล้ว หากพวกเขารู้ว่าพ่อของข้ายังไม่ตายคงคิดร้ายอีกอย่างยากจะเลี่ยง หนนี้หากมีคนต้องการสังหารเจ้า เจ้าก็อย่าหลบเล่า”
อะไรนะ!
เฉียวเวยถอนหายใจ “เฮ้อ ข้าไม่วางใจ ข้าใช้ผงสลายกำลังกับเจ้าสักหน่อยก็แล้วกัน”
อี้เชียนอินเกร็งก้น “ข้ารับรองกับฮูหยิน! ต่อให้ดาบเสียบเข้ามาในซี่โครงของข้า ข้าก็จะไม่เผยความลับ!”
เฉียวเวยลูบใบหน้าที่เหมือนเต้าหู้น้ำของเขา “เชื่อฟังจริง” นางเว้นวรรคนิดหนึ่งแล้วทำสีหน้าจริงจัง “ห้ามบอกหมิงซิวเล่า”
…
เล่าถึงเฉียวเย่ว์ซาน หลังจากถูกฮ่องเต้สั่งให้เก็บตัวทบทวนความผิดในบ้าน ทุกวันเขาก็นั่งอยู่ในห้องจริงๆ แต่เขาไม่ได้ทบทวนความผิดของตนเอง แต่กำลังขบคิดว่าเรื่องราวกลับกลายมาเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร ดูเหมือนว่าตั้งแต่บุตรสาวกลับมาที่ตระกูลเฉียวเพื่อเตรียมตัวจะแต่งงานกับอัครมหาเสนาบดี ทุกสิ่งก็หลุดจากการควบคุมทีละนิด
เริ่มแรกคนในครอบครัวสามคนต้องเข้าคุกตามต่อกัน ต่อมาอัครมหาเสนาบดียกเลิกการแต่งงานกับตระกูลเฉียว หลังจากนั้นบุตรชายก็ถูกคนแทงที่ย่านเริงรมย์ แล้วต่อมาบุตรสาวก็ถูกเลือกให้แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์แทนผู้อื่น หลังจากนั้นอีกก็คือตอนนี้ เขาถูกฮ่องเต้ลงโทษ
หลายวันก่อนเขาถูกเกียรติยศของการเป็นโหวมอมเมาสติ วันนี้เมื่อได้สงบใจคิดอย่างละเอียดแล้ว จึงรู้สึกว่าเรื่องราวเหมือนจะไม่ได้เรียบง่ายเช่นนั้นดังที่เห็นภายนอก ราวกับว่ามีฝ่ามือใหญ่ล่องหนข้างหนึ่งกวาดตระกูลเฉียวเข้าไปในน้ำวนสักแห่ง
เมื่อขบคิดอย่างละเอียดก็น่าหวาดกลัวยิ่งนัก
“นายท่าน ได้เวลารับประทานอาหารแล้วเจ้าค่ะ” ตานจวี๋แจ้งจากตรงประตู
“ข้าไม่หิว ยกออกไปเถิด”
“…เจ้าค่ะ”
เฉียวเย่ว์ซานกางกระดาษขาว แล้วเริ่มคัดอักษร
เขาเขียนอักษรได้ดียิ่งนัก ดียิ่งกว่าพี่ใหญ่ แต่น่าเสียดายตอนยังเล็กไม่ว่าเขาจะดีเพียงใดก็สู้พี่ใหญ่ที่เป็นลูกภรรยาเอกไม่ได้
ขนหมาป่าจรดลงบนกระดาษขาวอย่างแผ่วเบา ตวัดหนหนึ่งกลายเป็นตัวอักษร
เป๊าะ!
ทันใดนั้นด้ามพู่กันก็หัก
น้ำหมึกบนปลายพู่กันกระเซ็นเปื้อนมือซ้ายของเฉียวเย่ว์ซาน
เฉียวเย่ว์ซานวางพู่กันที่หักลง แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดมือ แต่ยังไม่ทันเช็ด ผ้าเช็ดหน้าก็ลื่นหลุดจากมือตกลงไปบนพื้น
เฉียวเย่ว์ซานก้มตัวไปเก็บ แต่พริบตาที่ลุกขึ้นมาศีรษะก็โขกเข้ากับโต๊ะ
เฉียวเย่ว์ซานขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด ในตอนนี้เอง เสียงหวาดผวาของพ่อบ้านก็ดังขึ้นในลานบ้าน “นาย นายท่าน! คุณ คุณ คุณ คุณ คุณ…คุณหนูใหญ่กลับมาแล้ว!”
“คุณหนูใหญ่กลับมาแล้วก็กลับมาแล้วสิ ไยต้องตระหนกเช่นนี้” เฉียวเย่ว์ซานที่นั่งอยู่ในห้องเอ่ยตอบ
เสียงของพ่อบ้านหวาดผวาอย่างยิ่ง “ไม่ ไม่ ไม่…ไม่ใช่คุณหนูใหญ่คนนี้ขอรับ แต่…แต่…แต่เป็นคุณหนูใหญ่…คนก่อน!”
คุณหนูใหญ่คนก่อน? ยัยหนูน่ะหรือ
เมื่อคิดขึ้นมาได้ เฉียวเย่ว์ซานก็เปิดม่านเดินออกมาจากเรือนหลัก
…
นี่เป็นครั้งแรกที่เฉียวเวยได้เห็นจวนเอินปั๋วที่พูดกัน กำแพงล้อมสูงตระหง่าน ตัวกำแพงเป็นสีเขียวหม่น ขอบกำแพงปิดด้วยกระเบื้องสีแดงสด ทอดสายยตามองไปราวกับมังกรตัวยาวเลื้อยขดนอนหลับใหล หมุดย้ำบนประตูบานใหญ่ลูกใหญ่ยิ่งกว่าชามข้าว ตัวอักษรตัวใหญ่สีทองสองสามตัวบนแผ่นป้ายเหนือศีรษะทอประกายหรูหรา
เพียงยืนอยู่ที่ประตู เฉียวเวยก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายความหรูหรากับความเก่าแก่ที่โถมเข้ามาใส่ใบหน้า
ซิ่วไฉเฒ่าขอบตาแดงระเรื่อ ภาพนายท่านกับฮูหยินอุ้มคุณหนูหัวเราะคุยเล่นกันระหว่างก้าวข้ามธรณีประตูยังชัดเจนประหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
“นี่ก็คือสถานที่ที่ข้าเคยอยู่หรือ” เฉียวเวยทำหน้ามึนงง
ซิ่วไฉเฒ่าใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตา “ขอรับ ท่านอาศัยอยู่ที่นี่มาสิบห้าปี”
เฉียวเวยยกชายกระโปรงก้าวขึ้นบันได
เด็กรับใช้ขวางนางไว้ แล้วถามอย่างดุร้าย “จะทำอันใด บอกให้เจ้ารอไม่ใช่หรือ ลงไป! ลงไป!”
เฉียวเวยไม่สนใจเขา นางยกมือลูบกำแพงหิน
เฉียวเวย หากวิญญาณเจ้าที่อยู่บนสวรรค์รับรู้ ยังอยากจะกลับมาบ้านสักหนหรือไม่
สายลมพัดเรียวไผ่นอกกำแพง ใบไผ่ส่งเสียดังแสกสากคล้ายเสียงกระซิบของสตรี
เฉียวเย่ว์ซานเห็นเฉียวเวยขณะที่เขายืนอยู่บนทางเดินหินเขียวซึ่งทอดไปยังประตูใหญ่ นี่เป็นหนแรกที่เฉียวเย่ว์ซานพบนางนับตั้งแต่เฉียวเวยถูกขับไล่ออกจากตระกูล เรือนร่างสูง แก้มผอม เครื่องหน้าทั้งห้างามเต็มที่คล้ายมารดาของนาง แม้แต่ความองอาจที่แผ่ออกมาเลือนรางบนสีหน้าก็เหมือนมารดาของนางเมื่อสมัยนั้นไม่มีผิด
“ยัยหนู” เฉียวเย่ว์ซานเรียกเสียงเบา
มือที่กำลังลูบกำแพงอยู่ของเฉียวเวยหยุดชะงัก แล้วเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างเรียบเฉย เขาสวมอาภรณ์ผ้าไหมตัวใหญ่ ท่วงท่าไม่ธรรมดา ไม่ต้องบอกก็เดาได้ว่าเป็นเฉียวเย่ว์ซานน้องชายต่างมารดาของบิดาของนาง
“อารอง” เฉียวเวยกล่าวทักทายอย่างสุขุม
แม้แต่น้ำเสียงของนางก็คล้ายเสิ่นซื่อเข้าไปทุกที หากไม่ใช่เพราะเสิ่นซื่อล่วงลับไปแล้ว เฉียวเย่ว์ซานก็เกือบจะคิดว่าหลายปีที่ผ่านมานางไปอยู่ด้วยกันกับเสิ่นซื่อ
ดวงตาของเฉียวเย่ว์ซานฉายอารมณ์ซับซ้อนออกมาวูบหนึ่ง “เจ้ากลับมาแล้ว”
เฉียวเวยปัดฝุ่นบนมือแล้วยิ้มจางๆ “ท่าทางผูกพันลึกซึ้งนี้ อารองแสร้งทำให้ผู้ใดดูกัน ผู้อาวุโสทั้งหลายในตระกูลล้วนไม่อยู่ อารองเก็บท่าทางเสแสร้งนั่นของท่านไปเสียเถิด ประหยัดแรงเอาไว้อีกประเดี๋ยวค่อยใช้ เพราะหนนี้ข้าคงจะทำให้อารองต้องเสียแรงอีกนานทีเดียว”
เฉียวเย่ว์ซานขมวดคิ้วอย่างคลางแคลง “ยัยหนู เจ้ากำลังพูดจาเหลวไหลอันใด”
เฉียวเวยเอ่ยอย่างขบขัน “ภรรยากับบุตรชายของท่านไม่ได้บอกท่านว่าข้าจะมาหรือไร”
เฉียวเย่ว์ซานมึนงงสับสน
เฉียวเวยมองเขาด้วยสายตาเรียบเฉย “ตระกูลเฉียวของพวกท่านทำอะไรกับข้า ท่านไม่รู้จริงๆ หรือว่าแกล้งไม่รู้เล่า”
เฉียวเย่ว์ซานตอบอย่างจริงใจ “เรื่องในตอนนั้น ข้าเองก็ถูกบีบให้จนหนทางเช่นกัน เจ้าทำความผิดใหญ่หลวง ตามกฎตระกูลต้องถ่วงน้ำ ข้าจนปัญญาจึงต้องใช้วิธีนี้ขับไล่เจ้าออกจากตระกูล มีแต่ไม่ใช่คนตระกูลเฉียวแล้วเท่าอนั้น จึงจะไม่ต้องทำตามกฏตระกูลเฉียว”
เฉียวเวยหุบรอยยิ้ม มองเขาตาไม่กะพริบ แล้วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “กฎตระกูลคือของตาย แต่คนมีชีวิต ข้าถูกใส่ร้ายทั้งที่บริสุทธิ์ หากบิดามารดาของข้ายังอยู่จะทำเช่นไร จะทำเหมือนท่าน ใช้วิธีง่ายที่สุดขับไล่ข้าออกจากตระกูล หรือฝ่าฟันความยากลำบาก เผชิญอันตรายล่วงเกินจวนอ๋องเพื่อสืบหาความจริง ทวงความยุติธรรมให้ข้า
ไม่ต้องพูดว่าท่านทำเพื่อส่วนรวม ในสายตาข้านั่นก็เป็นเพียงการทำตามความปรารถนาส่วนตัวของตัวท่านเองเท่านั้น ทั้งได้เป็นคนดีในสายตาของคนในตระกูล ทั้งได้กำจัดหนามตำตาของเรือนใหญ่ เทียบกับคนเลวที่อ้าปากขย้ำข้าตรงๆ วิญญูชนจอมปลอมเช่นอารองทำให้คนสะอิดสะเอียนยิ่งกว่า! ข้าอายุสิบสี่สิบห้าปีก็ถูกคนทั้งตระกูลทอดทิ้ง ท่านเคยคิดหรือไม่ว่าข้าจะมีชีวิตอยู่อย่างไร”
เฉียวเย่ว์ซานกดโทสะที่อยากจะตวาดด่าทอลงไป แล้วกล่าวขึ้นว่า “ข้ามอบเงินให้เจ้าแล้ว ให้เจ้าไปลงหลักปักฐาน…”
เฉียวเวยยิ้มหยัน “เช่นนั้นหรือ ไหนเงินเล่า”
ด้านหลังเขาจำลอง สวีซื่อหดศีรษะกลับไป ตอนนั้นสามีให้นางมอบตั๋วเงินห้าพันตำลึงแก่คุณหนูใหญ่เฉียว แต่ถูกนางอมไว้สี่พันห้าร้อยตำลึง
นางคนต่ำช้าผู้นี้ไม่ใช่สูญเสียความทรงจำหรือไร เหตุไฉนเหมือนจะจดจำเรื่องราวในตอนนั้นขึ้นมาได้ใหม่แล้ว