หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 149-2 ชนะอย่างงดงาม
บนรถม้าที่แล่นกลับหมู่บ้าน ซิ่วไฉเฒ่าเตือนเฉียวเวยอย่างเต็มที่ “คุณหนูท่านอย่าเข้าไปดีหรือไม่ พวกเราฟ้องทางการเอาไม่ได้หรือ”
“ทางการยากจะตัดสินคดีในตระกูล ความขัดแย้งภายในตระกูลเช่นนี้ ทางการไม่มีทางสนใจ” เฉียวเวยตอบ “ข้ารู้ว่าพวกเขาตั้งใจจะทำอันใด แต่มีประโยคหนึ่งที่เมิ่งซื่อกล่าวไม่ผิด ผู้ใดจะได้นั่งบนตำแหน่งเจ้าตระกูล ต้องอาศัยความสามารถ อยากให้ข้าตายบนภูเขา ไม่ง่ายเช่นนั้นหรอก อยากแย่งสมุนไพรจากมือข้ายิ่งเป็นไปไม่ได้”
ผู้ใดจะโชคร้ายก็ยังไม่แน่!
เฉียวเวยกลับขึ้นเขา เปิดบันทึกของเฉียวเจิง นางไม่เคยเห็นหญ้าจันทร์ขาว ในตำราแพทย์ก็ไม่มีบอกไว้ ในบันทึกของเฉียวเจิงบันทึกสมุนไพรล้ำค่าอยู่จำนวนหนึ่ง ไม่รู้ว่าจะมีหญ้าจันทร์ขาวหรือไม่
“ท่านแม่ ท่านกำลังอ่านอันใดอยู่หรือเจ้าคะ” วั่งซูเดินเข้ามาถามเสียงนุ่มนิ่ม
เฉียวเวยยิ้มอ่อนโยน “แม่กำลังหาสมุนไพรชนิดหนึ่งอยู่”
“ท่านแม่จะรักษาโรคให้ท่านตาหรือเจ้าคะ” วั่งซูถามต่อ
เฉียวเวยครุ่นคิด “อืม…ก็ไม่เชิง แต่เป็นเรื่องที่จะทำให้ท่านตาดีใจ”
วั่งซุกะพริบตา “ท่านตาดีใจแล้วจะตื่นหรือไม่”
เฉียวเวยพยักหน้า “เรื่องนี้ก็เป็นไปได้”
เฉียวเจิงรักเสิ่นซื่อปานนั้น หากกลับไปยังสถานที่ซึ่งเคยอาศัยอยู่กับเสิ่นซื่อ บางทีเขาอาจจะค่อยๆ ได้สติขึ้นมาก็ได้กระมัง
วันต่อมาเฉียวเวยฝากลูกทั้งสองคนไว้กับป้าหลัว แล้วสะพายตะกร้าสมุนไพรก้าวขึ้นรถม้ามุ่งหน้าไปเมืองหลวงพร้อมกับอี้เชียนอิน ซิ่วไฉเฒ่าก็อยากตามมา แต่เมื่อพิจารณาถึงสภาพร่างกายของซิ่วไฉเฒ่าแล้ว เฉียวเวยจึงปฏิเสธ
ศาลบรรพชนของตระกูลเฉียวตั้งอยู่บนผืนดินอันงดงามแห่งหนึ่งทางเหนือของเมืองหลวง ตอนนี้เฉียวเวยไม่ใช่คนตระกูลเฉียวแล้ว ไม่มีคุณสมบัติเข้าไปในศาลบรรพชน เฉียวเย่ว์ซานเข็นอี้เชียนอินเข้าไปด้านใน จุดธูปบอกบรรพชน หลังจากนั้นจึงเข้าไปในภูเขาด้านหลังภายใต้สายตามองส่งของผู้อาวุโสทั้งหลาย
สิ่งที่ทำให้เฉียวเวยประหลาดใจก็คือเฉียวจ้งชิงก็ตามไปด้วย
เฉียวเวยยิ้ม “ขาของท่านเป็นเช่นนี้ยังจะขึ้นเขาได้ ทำให้ข้านับถือจริงๆ พี่ใหญ่”
เฉียวจ้งชิงอมยิ้มมุมปาก “ท่านลุงใหญ่ออกเดินทางทั้งที่ป่วย ข้าคนนี้เป็นหลานไฉนจะไม่มาเป็นเพื่อนเล่า”
เฉียวเวยรู้อยู่แก่ใจว่าอาการป่วยของ ‘บิดา’ ของตนเป็นเรื่องเสแสร้ง แต่อาการบาดเจ็บของเขาเป็นของจริง จะเทียบกันได้เช่นไรเล่า แต่เมื่อเห็นเด็กรับใช้ที่เข็นรถเข็นให้เฉียวจ้งชิง เฉียวเวยก็เข้าใจว่าเหตุใดเฉียวจ้งชิงจึงดึงดันจะบุกบั่นขึ้นเขามาด้วยแล้ว
เด็กรับใช้คนนี้มิใช่เด็กรับใช้ธรรมดา แต่เป็นยอดฝีมือในยุทธภพคนหนึ่ง กลิ่นอายของเขาไม่เหมือนยอดฝีมือธรรมดาที่เปิดเผยออกมาด้านนอก แต่กลับคล้ายคลึงอย่างยิ่งกับสือชี ไม่มีจิตสังหารแต่อย่างใด ทว่ากลับทำให้คนรู้สึกอันตราย
เฉียวเวยตบรถเข็นของเขา “พี่ใหญ่ระวังด้วย”
เฉียวจ้งชิงยิ้มจางๆ “น้องสาวก็เหมือนกัน”
เฉียวเวยเลิกพูดไร้สาระกับเขา แล้วเข็นอี้เชียนอินเข้าไปในเขตต้องห้าม
กล่าวกันตามความจริง ผู้อาวุโสทั้งหลายรู้สึกว่าพวกคนเหล่านี้ต่างเสียสติกันไปแล้ว เขตต้องห้ามเป็นสถานที่อันตรายปานใด คนธรรมดาเข้าไปยังไม่เหลือชีวิต คนป่วยสองคนดันแย่งกันจะเข้าไป นี่เอาชีวิตมาล้อเล่นกันหรือไร
เมื่อเข้ามาในภูเขาด้านหลังแล้ว ทั้งสองฝ่ายต่างก็เลือกเดินกันไปคนละทาง
เฉียวเวยค้นหาพุ่มไม้ที่มิดชิดอย่างยิ่งจุดหนึ่ง แล้วซ่อนรถเข็นของอี้เชียนอินเข้าไป อี้เชียนอินยืดเหยียดร่างกาย นั่งอยู่บนรถเข็นนานเกินไปจนขาเขาเกือบจะชาเสียแล้ว
หลังจากนั้นเฉียวเวยก็เปิดตะกร้าสมุนไพร ปล่อยเสี่ยวไป๋กับจูเอ๋อร์ออกมา
“เสี่ยวไป๋ งูลูกรักของเจ้าเล่า” เฉียวเวยถาม
เสี่ยวไป๋ อยู่บ้านสิ!
เฉียวเวยจึงบอกมัน “ไปจับมาอีกสักสองสามตัว ยิ่งมากยิ่งดี”
อี้เชียนอินไม่เข้าใจ “ท่านจะทำสิ่งใดหรือ”
เฉียวเวยยิ้มละไม “ใครบางคนนั่งเสพสุขมาจนชิน แล้วยังคิดจะฉกฉวยสิ่งที่คนอื่นทำสำเร็จอีก ต้องให้บทเรียนพวกเขาสักหน่อย”
เสี่ยวไป๋สับขาวิ่งจากไป!
จูเอ๋อร์ก็จะตามไปด้วย แต่ถูกเฉียวเวยจับไว้
เฉียวเวยเปิดบันทึกของเฉียวเจิง แล้วชี้ภาพวาดสมุนไพรชนิดหนึ่งบนนั้น “สมุนไพรชนิดนี้ เจ้าเคยเก็บหรือไม่”
จูเอ๋อร์ผงกหัว
เฉียวเวยจึงสั่งว่า “เจ้าฟังให้ดี นี่ก็คือหญ้าจันทร์ขาว เจ้าไปเก็บมันมา”
จูเอ๋อร์เบ้หน้าอย่างรังเกียจ
เฉียวเวยคว้าหางของมัน หิ้วมันห้อยหัว “จะเก็บหรือไม่เก็บ”
ไม่เก็บ!
“ไม่เก็บข้าจะเอาเจ้าไปทำสมองลิง”
ก็ไม่เก็บ!
“เก็บมาแล้ว ข้าจะให้เจ้านอนบนเตียง ให้เสี่ยวไป๋นอนบนพื้น”
จูเอ๋อร์ยื่นนิ้วน้อยๆ ออกมาเกี่ยวก้อยกับเฉียวเวย
เสี่ยวไป๋ที่กำลังบุกบั่นอย่างกล้าหาญ เหตุใดจึงรู้สึกว่าสันหลังเย็นวาบ…
“ตอนนี้พวกเราจะทำสิ่งใด” อี้เชียนอินถาม
เฉียวเวยไม่ตอบ ล้วงมีดสั้นออกมาจากแขนสื้อกว้างแล้วขว้างมีดไปทางตะวันออกเฉียงใต้!
ฉึก! งูสามเหลี่ยมตัวหนึ่งถูกปักติดอยู่กับต้นไม้
เฉียวเวยบีบท้องของงูสามเหลี่ยม “เนื้อแก่เกินไป ช่างเถิด เอาดีมาสักอันก็แล้วกัน”
อี้เชียนอินหนาวสะท้าน
เฉียวเวยควักดีงู เก็บเข้าไปในขวดแล้วโยนเนื้องูทิ้ง
อี้เชียนอินมองดูแล้วขนลุกซู่อยู่ในใจ นี่ใช่สตรีนางหนึ่งจริงหรือ เหตุไฉนสังหารงูเหมือนทุบปลาไหลเลยเล่า
ภูเขาด้านหลังไม่เสียทีที่ไม่มีผู้ใดมาเยือนนาน สัตว์ในป่าไม่กลัวคนแม้แต่นิด เฉียวเวยจับกระต่ายอ้วนพีตัวหนึ่งได้อย่างง่ายดาย มีดขยับวูบเดียวก็หั่นเสร็จ ทักษะการใช้มีดอันคล่องแคล่วนั่นทำให้หัวใจของอี้เชียนอินสั่นเทา
“เจ้ารอประเดี๋ยว ข้าจะไปหาแหล่งน้ำ” เฉียวเวยถือกระต่ายที่นางควักเครื่องในออกจนสะอาดแล้วลุกขึ้นยืน
อี้เชียนอินมึนกลิ่นเลือดอยู่หน่อยๆ เขามองเนื้อกระต่ายโชกเลือดนั่นแล้วพลันรู้สึกว่าหายใจไม่ค่อยออก “ฮูหยิน พวกเรา…พวกเราไม่ต้องตามหาสมุนไพรหรือ”
“จูเอ๋อร์ไปหาแล้วนี่”
อี้เชียนอินตกตะลึง “เรื่องสำคัญเช่นนี้ ท่านจะมอบให้ลิงตัวหนึ่งทำจริงหรือ”
เฉียวเวยยิ้ม “ยังมีเสี่ยวไป๋ของบ้านข้าด้วย”
เสี่ยวไป๋สะพายตะกร้าใบเล็กของมัน กระโดดเผ่นแผล็วอยู่ภายในป่า ซ้ายตัวหนึ่ง ขวาตัวหนึ่ง บนตัวหนึ่ง ล่างตัวหนึ่ง จับอย่างเบิกบานใจยิ่งนัก
…
ใต้ต้นไหว เฉียวเย่ว์ซานกับบุตรชายและเด็กรับใช้นั่งอยู่บนพื้น
“ชิงเอ๋อร์ ข้ายังรู้สึกว่าทำเช่นนี้ไม่เหมาะนัก เจ้าให้เขาไปเรียกยัยหนูมา แล้วบอกว่าข้ายอมให้นางกลับมาตระกูลเฉียว คืนกิจการของบิดามารดานางให้นางก็ได้ นางกับท่านลุงใหญ่ของเจ้าอย่าเอาตัวไปเสี่ยงอันตรายอีกเลย”
แต่เดิมเฉียวเย่ว์ซานก็ไม่ได้สนใจเงินทองมากนัก เขาสนใจความก้าวหน้าในเส้นทางขุนนางของตนมากกว่า ตอนนี้เขากำลังรุ่งโรจน์ในสำนักหมอหลวง แล้วยังได้รับแต่งตั้งจากฮ่องเต้ให้เป็นท่านโหว กิจการของเรือนใหญ่จะมอบให้หรือไม่มอบให้เขาไม่สนใจจริงๆ
เฉียวจ้งชิงเข้าใจความคิดของบิดา ตอนแรกที่บิดาขับไล่เฉียวซื่อออกจากตระกูล เขาก็ไม่มีความคิดที่จะฮุบสมบัติของเรือนใหญ่ บิดากลัวจริงๆ ว่าจะล่วงเกินจวนยิ่นอ๋องจึงปล่อยให้เฉียวซื่อแบกรับความผิดไว้คนเดียว แต่หากจะพูดว่าบิดาไม่ละโมบต่อสิ่งของที่เป็นของเรือนใหญ่เลยก็ไม่ใช่เสียทีเดียว อย่างน้อยสูตรยากับสมุนไพรทั้งหลาย บิดาก็คิดจะยึดเอามาเป็นของตนมาตลอด
ยามนี้บิดาได้สิ่งที่แม้แต่ฝันก็มิอาจครอบครองมาแล้ว แต่บิดาจะไม่สนความเป็นความตายของผู้อื่นเพราะสิ่งนี้ไม่ได้
บิดาไม่สนใจเรื่องในจวน เขาจึงไม่รู้ว่าสมบัติของเรือนใหญ่ถูกใช้ไปเท่าใดแล้ว หากจะให้คืนออกมาจริงๆ เรือนรองคงต้องรากเลือด
แน่นอนว่า ‘ความเมตตา’ ของบิดาเกรงว่าจะไม่ใช่เพราะเขาไม่สนใจเงินทองเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะตลอดมาในหัวใจเขายังไม่เคยลืมเลือนสตรีนางนั้น
พูดไปแล้วก็น่าขำยิ่ง แต่บิดาของเขาตกหลุมรักพี่สะใภ้ใหญ่ของตนเองจริงๆ
เขาเคยเห็นบิดาลอบมองป้าสะใภ้ใหญ่ยามอยู่ในจวนไม่ใช่เพียงหนเดียว ยามป้าสะใภ้ใหญ่ปรากฏตัว แววตาเป็นประกายในดวงตาของบิดาแทบจะไม่มีคำใดพรรณนาได้ แต่เมื่อลุงใหญ่กับป้าสะใภ้ใหญ่จูงมือยิ้มแย้มพูดคุยกัน ความริษยาในดวงตาของบิดากลับประหนึ่งเปลวเพลิงร้อน เขาเพียงมองเห็นก็รู้สึกหวาดกลัว
เหมยอี๋เหนียงที่ได้รับความโปรดปรานคนนั้น หากพิจดูให้ดีก็จะพบว่ารูปคิ้วดวงตาละม้ายคล้ายเสิ่นซื่ออยู่บางส่วน
เพียงแค่บางส่วนก็ทำให้บิดาลุ่มหลงมัวเมาได้แล้ว
เฉียวเวยที่ละม้ายเสิ่นซื่อถึงห้าหกส่วน คงยิ่งทำให้บิดาลงมือโหดเหี้ยมไม่ลง
มิเช่นนั้นตอนนั้นจับเฉียวเวยถ่วงน้ำไปเสียก็คงสิ้นเรื่องแล้ว
เฉียวจ้งชิงเอ่ยขึ้นโดยไม่แสดงสีหน้าสักนิด “ท่านพ่อ ตอนนั้นท่านน่าจะจับนางถ่วงน้ำไปเสีย จะได้ไม่มีเภทภัยตามมาอีก”
เฉียวเย่ว์ซานสีหน้าเคร่งขรึม “จ้งชิง!”
ดูสิ เขาเพียงลองหยั่งเชิงประโยคหนึ่งเท่านั้น ท่านพ่อก็โกรธเสียแล้ว
โชคดีที่ตนเองตามมาด้วย มิเช่นนั้นถึงเวลาสำคัญตอนสุดท้าย ท่านพ่อเกิดตัดใจแย่งชิงสมุนไพรของเฉียวเวยไม่ลงขึ้นมา เรือนรองไยมิจบสิ้นแล้ว
เฉียวจ้งชิงส่งสายตาให้เด็กรับใช้ เด็กรับใช้ล้วงจอบเหล็กด้ามหนึ่งออกมาจากใต้รถเข็น
เฉียวเย่ว์ซานขมวดคิ้ว “ชิงเอ๋อร์ เขาจะทำสิ่งใด”
เฉียวจ้งชิงยิ้มอ่อนโยน “ไม่มีอะไรขอรับ ไปขุดกับดักสักหน่อย ป้องกันหากมีสัตว์ร้ายมาแล้วพวกเราหนีไม่ทัน”
เฉียวเย่ว์ซานมองเขาอย่างคลางแคลง “ที่นี่ไม่มีสัตว์ร้ายเสียหน่อย เจ้าคิดจะจัดการผู้ใดกันแน่”
ไม่ทันที่เฉียวจ้งชิงจะเอ่ยปาก เขาก็รู้สึกว่ามีบางสิ่งเรียบลื่นเลื้อยขึ้นมาบนลำคอของเขา เขายกมือขึ้นจับ ก็พบว่าเป็นงูสามเหลี่ยมหนึ่งตัว!
เขาขนลุกชัน!
เด็กรับใช้ชักมีดสั้นออกมา ฟันหัวของงูสามเหลี่ยมในฉับเดียว
แต่ไม่นานก็มีงูสามเหลี่ยมอีกหนึ่งตัว สองตัว สามตัว…งูสามเหลี่ยมนับไม่ถ้วนประหนึ่งคลื่นสมุทรโถมเข้ามาทางด้านนี้
นี่เป็นชายป่าของภูเขาด้านหลัง เหตุไฉนจึงมีงูพิษรวมตัวกันเป็นฝูงมากมายเช่นนี้ได้
นี่เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่!
เฉียวจ้งชิงนั่งอยู่บนรถเข็นขยับไม่ได้ ได้แต่มองงูพิษตัวแล้วตัวเล่าเลื้อยเข้ามาหา หวาดกลัวจนหน้าซีด
“ข้าพกกำมะถันแดงมาด้วย พกกำมะถันแดงมาด้วย...” เฉียวเย่ว์ซานรื้อผงกำมะถันแดงออกมาจากในตะกร้าสมุนไพร เพิ่งจะหยิบขึ้นมาไว้ในมือ แสงสีขาวสายหนึ่งก็พลันโฉบผ่านคาบผงกำมะถันแดงจากไป
แสงสีขาวสายนั้นเร็วเหลือเกิน เฉียวเย่ว์ซานคิดว่าตนเองตาลาย เขาขยี้ตา แล้วมองมือที่ว่างเปล่า ผงกำมะถันแดงหายไปแล้วจริงๆ!
เสี่ยวไป๋โยนผงกำมะถันแดงเข้าไปในตะกร้าบนหลังของตนเอง
เด็กรับใช้ฝีมือค่อนข้างดี ตวัดมีดหนึ่งหนก็กำจัดหนึ่งตัว งูพิษเข้าใกล้ร่างเขาไม่ได้แม้แต่น้อย
เสี่ยวไป๋แยกเขี้ยว จับงูสามเหลี่ยมตัวน้อยตัวหนึ่งโยนไปไว้บนขาของเฉียวจ้งชิง!
เฉียวจ้งชิงหน้าถอดสีทันควัน “ท่านพ่อ!”
เฉียวเย่ว์ซานใช้กิ่งไม้โยนงูสามเหลี่ยมออกไป
เสี่ยวไป๋ก็โยนมาอีก หนนี้โยนไว้บนศีรษะของเฉียวจ้งชิง
เฉียวจ้งชิงใกล้จะสติแตกแล้ว!
เคยได้ยินแต่ฝนตกจากฟ้า งูตกจากฟ้าได้ตั้งแต่เมื่อใด!
นี่มันสถานที่บัดซบอันใดกันแน่!
เสี่ยวไป๋ยืนอยู่บนที่สูง ซ้ายตัวหนึ่ง ขวาตัวหนึ่ง บนหัว บนไหล่ บนแขน บนขา บนเท้า…งูพิษถูกโยนเข้าใส่เฉียวจ้งชิง เฉียวจ้งชิงกับเฉียวเย่ว์ซานมือไม้ขยับเป็นพัลวัน
เฉียวจ้งชิงเข้ามาเพื่อรับประกันว่าในห้วงเวลาสำคัญบิดาจะไม่ใจอ่อนเท่านั้น เขาไม่ได้เข้ามาเก็บสมุนไพรจริงๆ ! หรือมาต่อสู้กับงูพิษและสัตว์ร้ายเสียหน่อย!
อยู่ที่นี่ต่อไม่ได้แล้ว!
เฉียวเย่ว์ซานก็มีความคิดแบบเดียวกัน เขาแบกบุตรชายขึ้นหลังวิ่งไปยังทางอีกเส้นหนึ่งอย่างลนลาน!
เฉียวเวยล้างกระต่ายเสร็จแล้ว นางจุดกองไฟแล้วร้อยเนื้อกระต่ายไว้กับลวดเหล็ก จากนั้นพาดบนราวย่างอันเล็กที่สร้างขึ้นมาชั่วคราว
“ท่านพกลวดเหล็กมาด้วยหรือ” อี้เชียนอินมองเฉียวเวยอย่างประหลาดใจ
เฉียวเวยเลิกคิ้ว หยิบกล่องอาหารใบหนึ่งออกมาจากในตะกร้าสมุนไพร แล้วเปิดออก น้ำมัน เกลือ ซีอิ๋ว น้ำส้ม ผงพริกป่น…
อี้เชียนอินตาโตอ้าปากค้าง ท่านมาเก็บสมุนไพรจริงหรือไม่ ท่านมาท่องป่าเสียมากกว่ากระมัง!
เฉียวเวยทาน้ำมันบนเนื้อกระต่าย รสชาติของเนื้อกระต่ายอร่อยอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องปรุงมากเกินไป โรยเกลือกับผงพริกป่นเล็กน้อยก็พอแล้ว แน่นอนว่าจะขาดต้นหอมกับงาขาวไปไม่ได้
กลิ่นหอมของกระต่ายป่าลอยออกไปอย่างเชื่องช้า
ตอนเช้าอี้เชียนอินทานอาหารมาไม่น้อย แต่เมื่อได้กลิ่นหอมนี้ ท้องก็ส่งเสียงร้องโครกคราก
เฉียวเวยสุมกองไฟให้ใหญ่ขึ้นอีกนิด จากนั้นหมุนเนื้อกระต่ายที่อยู่บนราวเหนือกองไฟ “กระต่ายชนิดนี้สุกง่ายอย่างยิ่ง ย่างนานเกินไปไม่ได้ มิเช่นนั้นจะเหนียวง่ายนัก ตอนเจ้ากิน หากกัดเข้าไปคำหนึ่งแล้วมีน้ำทะลักออกมา นั่นจึงจะเป็นเนื้อดี!”
อี้เชียนอินกลืนน้ำลาย
เฉียวเวยฉีกขากระต่ายข้างหนึ่งให้เขา
อี้เชียนอินอ้าปากกำลังจะกัด ทันใดนั้นสองหูก็ได้ยินเสียง “มีคนมา!”
เขาวางขากระต่ายลง แล้วปกป้องเฉียวเวยไว้ด้านหลัง
เฉียวเวยซาบซึ้งกับการกระทำของเขาอย่างยิ่ง แต่จัดการเจ้าสองคนนั้น ไม่จำเป็นต้องให้เขาลงมือ
เฉียวเวยใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดมือ “เจ้ากินก่อน ประเดี๋ยวข้าก็กลับมาแล้ว”
เฉียวเย่ว์ซานแบกบุตรชายวิ่งเตลิดมาพักหนึ่ง เขาเป็นขุนนางบุ๋น ไม่เคยฝึกวรยุทธ์ ร่างกายสู้ยอดฝีมือเหล่านั้นไม่ได้ วิ่งไม่นานก็รู้สึกว่าเรี่ยวแรงไหลหายไปอย่างรวดเร็ว แต่เขาไม่กล้าหยุด งูพิษด้านหลังเหมือนกับมีดวงตางอกอยู่ ไล่ตามพวกเขาไม่เลิกรา
เขาวิ่งแล้วก็วิ่ง จนได้กลิ่นหอมของเนื้อย่างโชยมา มีคนอยู่ใกล้ๆ!
เขาวิ่งรี่ไปทางที่กลิ่นหอมลอยมา แต่ไม่ทันระวังเหยียบถูกไม้ท่อนหนึ่ง เท้าลื่นไถล คนถลาลงไปที่พื้นทั้งตัว เฉียวจ้งชิงที่ถูกแบกอยู่บนหลังก็ร่วงลงไปกระแทกพื้นอย่างแรงด้วย!
เฉียวเย่ว์ซานเจ็บจนตัวสั่นไปทั้งร่าง เขาดิ้นรนอย่างยากลำบากกว่าจะลุกขึ้นมาได้ แต่เมื่อเพ่งสายตามองก็พบว่าบนพื้นไม่มีเงาของลูกชายอยู่แล้ว!
“จ้งชิง!”
“จ้งชิง!”
“จ้งชิง!”
เฉียวเย่ว์ซานตามหารอบๆ เมื่อหมุนตัวกลับมา โป้ก! ศีรษะก็ถูกฟาดเข้าทีหนึ่งจนสลบไป
เฉียวเวยทิ้งท่อนไม้ แล้วนั่งยองๆ ลงไปล้วงตั๋วเงินกับถุงเงินบนตัวเขาออกมา จากนั้นใส่เข้าไปในกระเป๋าข้างเอวของตนเอง “พวกท่านจะทำอะไรไม่ทำ ดันจะขึ้นเขามาหาสมุนไพร ไม่รู้หรือว่านายหญิงคนนี้อาศัยอยู่บนเขา บนเขาก็เหมือนบ้านของข้า จะแข่งกับข้า ไม่มีทางชนะเสียหรอก!”
เสี่ยวไป๋เผ่นแผล็วเข้ามาหา
เฉียวเวยถามขึ้นว่า “จัดการเรียบร้อยแล้วหรือ”
เสี่ยวไป๋ยืดอกน้อยๆ เบ่งกล้ามเนื้อไบเซ็ปส์อวดอย่างภาคภูมิใจ