หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 160-1 ครอบครัวหวานชื่น ความท้าทาย
ตอนที่ 160-1 ครอบครัวหวานชื่น ความท้าทาย
ศิษย์น้องหญิงเล็กกลับจวนไท่ซือไปพร้อมน้ำตา นางโตมาจนถึงป่านนี้ นางไม่เคยโดนต่อว่าเช่นนนี้มาก่อน บิดานางเป็นเจ้าสำนักซู่ซินจง มารดาของนางเป็นคุณหนูจวนไท่ซือ ทุกคนไม่ว่าใครมีแต่คนเอ็นดูนาง ยอมให้นางทั้งสิ้น เคยมีคนกล้าชี้หน้าต่อว่านางเมื่อไรกัน
นางไม่เหมือนกับคุณหนูผู้สูงศักดิ์อย่างเฉียวอวี้ซี นางเป็นคนจิตใจดี ไม่วางท่าวางทาง และไม่ได้โตมาอย่างประคบประหงม เรื่องลำบากยากเข็นอย่างการฝึกวรยุทธ์นางก็ยืนหยัดมาจนได้แล้ว นางพยายามเพียงนี้ เหตุใดถึงยังมีคนทำใจต่อว่านางได้อีก
“ลูกแม่ เจ้าเป็นอะไรหรือ” สวี่ฮูหยินได้พบบุตรสาวร้องไห้น้ำตาเป็นเผาเต่าอยู่ในสวนจวนไท่ซือ
ศิษย์น้อยหญิงร้องไห้สะอึกสะอื้น
พวกศิษย์พี่หญิงทั้งหลายบอกเล่าคำพูดของเฉียวเวยพร้อมใส่สีตีไข่ให้อีกฝ่ายฟัง บอกว่าเฉียวเวยอาศัยว่าตนมีศิษย์พี่สี่คอยให้ท้าย จึงไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา ซ้ำยังไล่พวกนางออกมากันหมด พวกนางตั้งใจจะไปเยี่ยมไข้ศิษย์พี่สี่ แต่กลายเป็นว่าแม้แต่ธรณีประตูก็ยังไม่ได้ข้ามเข้าไป
สวี่ฮูหยินได้ฟังก็เดือดดาลขึ้นทันที สตรีนางนั้นเป็นเพียงแม่หม้ายคนหนึ่ง กล้าอาศัยบารมีผู้อื่นมารังแกคนของซู่ซินจงเชียวหรือ ในช่วงเวลาเช่นนี้ แค่คู่รักคนหนึ่งก็กล้าหยิ่งผยองเพียงนี้แล้ว?
สวี่ฮูหยินให้ศิษย์ชายหญิงกลับเรือนไปเป็นเพื่อนบุตรสาว ส่วนตนมุ่งหน้าไปหาสามีที่ห้องหนังสือแล้วเล่าเรื่องที่ถูกใส่สีตีไข่มาแล้ว ใส่สีตีไข่เพิ่มเข้าไปอีกให้สามีของตนฟัง “…เจ้าคิดดูสิๆ นี่มันคำพูดอะไรกัน นางถึงขั้นกล้าไล่ตะเพิดบุตรสาวของพวกเราว่าชั่วชีวิตนี้อย่าไปอยู่ขวางหูขวางตาหมิงซิวอีก!”
ในความเป็นจริง สิ่งที่เฉียวเวยพูดแค่เพียงบอกให้ศิษย์น้องหญิงเลิกคิดอะไรกับหมิงซิวเท่านั้น ไม่เคยบอกว่าห้ามทั้งสองพบหน้ากันอีก
เมื่อเห็นสามีไม่มีท่าทีใดๆ นางจึงตีไหล่สามีเบาๆ “เจ้าพูดอะไรหน่อยสิ! ลูกสาวเราถูกคนรังแกถึงเพียงนี้ คนเป็นพ่อเช่นเจ้าจะนิ่งเฉยไม่ทำอะไรเช่นนี้หรือ”
สวี่หย่งชิงขมวดคิ้วเอ่ยว่า “คนเขามีการหมั้นหมายกันอยู่ ถูกต้องตามธรรมเนียมทุกอย่าง เจ้าจะให้ข้าไปออกหน้าแทนเย่ว์เอ๋อร์ได้อย่างไร”
“หมั้นหมาย? หมิงซิวไม่ได้ยกเลิกเรื่องนี้กับตระกูลเฉียว…” สวี่ฮูหยินนึกอะไรได้จึงอึ้งไป “สตรีนางนั้นคือบุตรสาวที่ถูกทอดทิ้งของตระกูลเฉียว?”
สวี่หย่งชิงเงียบไป
เช่นนี้ก็เท่ากับยอมรับแล้ว
คิ้วเรียวของสวี่ฮูหยินขมวดมุ่น “นางไม่ได้ทำเรื่องน่าอับอายขายหน้าจนถูกขับออกจากตระกูลไปแล้วหรือ เหตุใดหมิงซิวถึงยอมรับนางได้”
สวี่หย่งชิงเอ่ยด้วยความหนักใจว่า “จะทำอย่างไรนั้นเป็นเรื่องของหมิงซิว เจ้ากับข้าถึงแม้จะเป็นอาจารย์และอาจารย์หญิง แต่บางเรื่องก็ไม่อาจยื่นมือเข้าไปยุ่งด้วยมากได้ อย่าลืมเสียว่าตระกูลเขายังมีบิดามารดาอยู่เช่นกัน”
หากบิดามารดาเจ้าตัวไม่อยู่แล้ว เรื่องใหญ่อย่างการหมั้นหมายแต่งงานนี้จะมีอาจารย์และอาจารย์หญิงเป็นคนจัดการดูแล แต่บิดาแท้ๆ ของเขายังมีชีวิตอยู่ พวกเราจะเข้าไปยุ่มย่ามอะไรได้
สวี่ฮูหยินถอนหายใจ “ข้ามีหรือจะไม่เข้าใจหลักการนี้ ข้าเพียงแค่สงสารเย่ว์เอ๋อร์”
สวี่หย่งชิงเอ่ยว่า “เย่ว์เอ๋อร์ยังนิสัยเหมือนเด็กน้อย ร้องไห้สักสองวันก็ไม่มีอะไรแล้ว เจ้าก็อย่าเอาแต่ตามใจนาง”
สวี่ฮูหยินยังอยากพูดอะไรอีก แต่เมื่อเห็นสามีดูไม่คิดที่จะพูดเรื่องนี้อีก จึงถอนหายใจด้วยความจนใจ แล้วเดินออกไป
ถึงอย่างไรนางก็ไม่ได้คิดว่าจีหมิงซิวจะมาเป็นบุตรเขยของตนอยู่แล้ว เป็นบิดาของนางที่เอ่ยขึ้นมาว่าเด็กหมิงซิวคนนี้ท่าทางไม่เลว ทั้งยังบอกเลิกการหมั้นหมายกับตระกูลเฉียวไปแล้ว หนำซ้ำยังเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็กของเย่ว์เอ๋อร์ที่เหมาะสมกันพอดี นางถึงได้คิดจะดองกันกับจวนอัครเสนาบดี ถ้าได้ย่อมดีที่สุด แต่ถ้าไม่ได้ นางก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร ถึงอย่างไรบุตรสาวนางก็ดีเลิศเพียงนี้ ไม่กลัวว่าจะหาบุรุษดีๆ ที่เหมาะสมกันไม่ได้ หากลองถอยกลับไปพูด ถ้าหาไม่ได้จริงๆ นางกับสามีก็ยินดีเลี้ยงดูบุตรสาวไปชั่วชีวิต
แต่สถานการณ์ในเวลานี้ต่างออกไป บุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนของนางถูกสตรีที่โดนทอดทิ้งข่มเหงรังแก เช่นนี้จะให้นางยอมได้อย่างไร
…
สุดท้ายศิษย์ของซู่ซินจงไม่ได้รั้งอยู่ที่นั่นต่อ พอศิษย์น้องหญิงวิ่งร้องไห้ออกไป พวกเขาก็พากันกลับไปจากเรือนสี่ประสานกันหมด ทุกคนไปกันหมดแล้ว ศิษย์พี่ห้าจะอยู่ต่อคนเดียวก็กระไรอยู่ จึงตามกลับไปด้วยอีกคน
เสียงเมื่อครู่ดังเอาเรื่องอยู่ ไม่รู้ว่ารบกวนไปถึงเด็กทั้งสองคนหรือไม่ เฉียวเวยจึงเดินไปดูที่ห้องทางตะวันออกก่อน เด็กทั้งสองยังคงนอนฝันหวานหลับสนิท เสี่ยวไป๋กับจูเอ๋อร์นอนเป็นรูปตัวต้า[1]อยู่ตรงกลางเด็กทั้งสอง ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ
เฉียวเวยระบายยิ้มเล็กน้อย แล้วจึงไปที่ห้องของสือชี
จีหมิงซิวลืมตาขึ้นมาแล้ว และกำลังมองไปที่ปากประตูอย่างเบื่อหน่ายเกียจคร้าน เขาถึงกับตกใจเมื่อได้สบกับตาเฉียวเวยเข้าพอดี สายตาเขามีแวบหนึ่งที่ดูไม่รู้จะทำเช่นไร แต่ก็เพียงแวบเดียวเท่านั้น ไม่นานก็กลับมาราบเรียบดังเดิม
ที่โชคร้ายก็คือ สายตาที่แปลกไปเพียงเล็กน้อยของเขา เฉียวเวยมองเห็นเข้าอย่างจัง เฉียวเวยจึงลอบยิ้มขำ ยามปกติเห็นเขาวางท่าเช่นนั้น ยังนึกว่าเป็นคุณชายเจ้าสำราญตัวฉกาจที่เก่งกาจสักเพียงใดเสียอีก แต่พอทะเลาะกันขึ้นมา กลับดูเคอะเขินเป็นเด็กน้อยที่ไม่เคยมีความรักมาก่อนกระนั้น
คงไม่ใช่ว่าไม่เคยผ่านสตรีนางอื่นมาก่อนจริงๆ กระมัง
อายุตั้งยี่สิบแปดปีแล้ว อายุเท่านี้อย่างไรก็ไม่เหมือนเลยนี่
ไม่แน่ว่าแจจะผ่านสมรภูมินับร้อยนับพันมานานแล้ว เพียงแค่แสร้งทำเป็นใสซื่อเท่านั้น
เฉียวเวยเดินเข้าไปพร้อมสายตาประหลาด
จีหมิงซิวยังไม่รู้ตัวว่าตนถูกมองว่า ‘ผ่านสมรภูมิมานับร้อยนับพัน’ แล้ว จึงเอาความรู้สึกประหลาดของตนยัดกลับลงกล่องใหญ่ที่อยู่ในใจ แล้วมองไปทางเฉียวเวยอย่างเปิดเผย
เฉียวเวยประสานสายตากับอีกฝ่าย ใจเต้นแรงอย่างน่าประหลาด นางพยายามเอ่ยด้วยความสงบนิ่งว่า “ท่านตื่นแล้วหรือ ตื่นตั้งแต่เมื่อไร”
จีหมิงซิวอมยิ้มมองนาง “เจ้าออกไปก็ตื่นแล้ว”
เช่นนั้นก็เท่ากับว่าที่พวกนางพูดคุยกันเมื่อครู่ เขาได้ยินหมดแล้วอย่างนั้นสิ เฉียวเวยอยากจะบีบคอตนเองตายนัก มัวแต่สนใจจะต่อสู้เพื่อความรัก นางลืมไปได้อย่างไรว่าข้างหลังมีจิ้งจอกเฒ่ากำลังคอยดูละครอยู่
เฉียวเวยพยายามตั้งสติแล้วเอ่ยว่า “เมื่อครู่ข้าแค่ตั้งใจทำให้นางโกรธ”
“อื้อ” มุมปากจีหมิงซิวยกขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มเขายิ่งดูแฝงความนัยน์ลึกซึ้ง
ใจเฉียวเวยพลันเต้นระรัว อย่ายิ้มเช่นนี้ได้หรือไม่ อยากจะมุดดินหนีไปนักเชียว
“ไม่ใช่ข้าที่ไล่พวกเขาไปนะ ข้าบอกแล้วว่าให้พวกเขาไปรอที่โถงหมิงทิงก่อน พวกเขาไม่รอกันเอง” เบี่ยงประเด็นไปพูดเรื่องอื่น จะได้พาตัวเองออกจากสถานการณ์ประดักประเดิดนี้ด้วย
“อื้อ”
เฉียวเวยดึงติ่งหูตนเองเล็กน้อย “ในเมื่อท่านตื่นแล้ว เหตุใดถึงไม่ออกไปทักทายศิษย์น้อยชายหญิงของท่านเล่า”
จีหมิงซิวดึงมือนางมาจับ เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “กลัวจะกระทบกับบารมีของหัวหน้าพรรคเฉียวน่ะสิ”
เฉียวเวยกลั้นขำไม่ไหว จึงหัวเราะออกมา
จีหมิงซิวพอเห็นนางยิ้มได้ ดวงตาก็โค้งขึ้นเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว ในใจนึกยินดียิ่งนัก
เฉียวเวยพอเห็นเขาอารมณ์ดี ความขุ่นมัวที่พวกซู่ซินจงสร้างเอาไว้ก็พลันมลายหายไปอย่างรวดเร็ว อารมณ์ดูจะแจ่มใสขึ้นทันตา
เมื่อลองคิดถึงเรื่องราวทั้งหมดโดยละเอียดแล้ว เรื่องนี้ก็ไม่ใช่ความผิดของเขาคนเดียว นางเองก็มีส่วนที่ไม่รอบคอบเช่นกัน คนสองคนคบหาดูใจกัน สิ่งสำคัญที่สุดคือความไว้เนื้อเชื่อใจ และสิ่งนี้ก็เป็นสิ่งที่นางให้เขาน้อยเกินไป
ด้วยนิสัยของเขา หากเขาคิดอะไรกับศิษย์น้องหญิงจริงๆ บางทีอาจจะตบแต่งศิษย์น้องหญิงเข้าบ้านไปนานแล้ว ไฉนเลยยังจะสนใจตนอีก ไหนเลยยังจะคิดถึงบุตรทั้งสองอย่างจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูอีก
ระหว่างที่กำลังคิดอยู่นั้น เฉียวเวยก็รับรู้ได้ถึงสายตาที่อีกฝ่ายส่งมาให้
นางไม่ใช่เด็กเสียหน่อย จะไม่เข้าใจความหมายของเขาได้อย่างไร
“ได้หรือไม่ หัวหน้าพรรคเฉียว”
“ท่านยังบาดเจ็บอยู่เลย ท่านทำได้หรือ”
“อ้อ ที่เจ้าพูดก็ถูก ไม่งั้น หัวหน้าพรรคเฉียวจะทำให้”
“ท่าน…” เฉียวเวยถลึงตาใส่อีกฝ่าย
เขาระบายยิ้มอย่างอารมณ์ดี เฉียวเวยถึงได้รู้ว่าตนถูกเขาแกล้งเข้าให้เสียแล้ว อีตาเจ้าแผนการนี้ ระวังแค่ไหนก็ไม่พอจริงๆ!
“ไปลงกลอนประตู?” จีหมิงซิวถาม
เฉียวเวยกระแอมเบาๆ ทีหนึ่งแล้วจึงพยักหน้า
จีหมิงซิวลุกขึ้นนั่ง กำลังจะลงจากเตียงก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังตึกๆๆๆ
สิ่งที่มาพร้อมกับเสียงฝีเท้าคือเสียงใสของเด็กน้อย “ท่านแม่!”
จีหมิงซิวคิดจะปิดประตูก็ไม่ทันเสียแล้ว พายุลูกน้อยๆ ผลักประตูเปิดเข้ามาทันที
จีหมิงซิวกับเฉียวเวยสลับที่กันอย่างรวดเร็ว จีหมิงซิวกลับลงนอนบนเตียงเช่นเดิม ส่วนเฉียวเวยไปนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียง วั่งซูผลักประตูเข้ามาก็ได้พบกับเฉียวเวยตามที่คาดไว้ ใบหน้าน้อยๆ เผยรอยยิ้มแจ่มใส ก้าวขาน้อยๆ แล้ววิ่งตุบๆ เข้าสู่อ้อมแขนของเฉียวเวย “ท่านแม่!”
เฉียวเวยเม้มปากที่ถูกจูบเสียจนบวมแดง เอ่ยกับวั่งซูว่า “เหตุใดวันนี้จึงตื่นเช้านักเล่า”
ยามปกติเรียกยังไม่อยากจะตื่นเลย!
“ข้าตื่นมาทำธุระเบา ก็เลยตื่น!” วั่งซูมองริมฝีปากแดงๆ ของเฉียวเวย “ท่านแม่ ท่านไปกินถังหูลู่มาหรือ”
เฉียวเวยกระแอมเบาๆ “… ใช่แล้ว กินไปลูกหนึ่ง”
วั่งซูทำปากมุ่ยอย่างโอดครวญ “ท่านแม่ ท่านไม่ได้บอกว่าตอนเช้าห้ามกินถังหูลู่หรอกหรือ เหตุใดถึงไปแอบกินเองเล่า”
จีหมิงซิวเอ่ยอย่างมีความนัยลึกซึ้งว่า “ท่านแม่เจ้าอยากกินมาทั้งคืนแล้ว ทนไม่ไหวจริงๆ จึง ‘แอบกิน’ ไปน่ะ”
อีตานี่!
เฉียวเวยหันไปถลึงตาใส่เขา!
จิ่งอวิ๋นขยี้ตา เดินงัวเงียเข้ามา เขาไม่ได้เป็นพวกชอบนอนตื่นสาย แต่เมื่อคืนเล่นสนุกจนดึกดื่นเกินไป วันนี้เลยลุกไม่ค่อยไหว
เขาเดินเข้าไปหาอ้อมแขนของเฉียวเวยพลางหาวหวอดๆ ไม่หยุด
เฉียวเวยลูบใบหน้ารูปไข่ของเขา “นอนต่ออีกหน่อยเถิด ยังเช้าอยู่เลย”
จิ่งอวิ๋นซุกหน้าเล็กๆ เข้ากับหน้าอกของเฉียวเวย “อยากนอนกับท่านแม่”
จีหมิงซิวหน้าบึ้งทันที โตขนาดนี้แล้วยังซุกไซ้หน้าอกมารดาอีก? ปล่อยแม่เจ้าเดี๋ยวนี้! ข้าทำเอง!
วั่งซูหันไปเห็นจีหมิงซิวที่อยู่บนเตียง “ลุงหมิง ท่านดีขึ้นบ้างหรือยัง”
นางกับพี่ชายรู้แล้วว่าอาเยี่ยนพูดถึงผิดคน คนที่บาดเจ็บไม่ใช่พี่สือชี แต่เป็นลุงหมิง เช่นนี้จะทำอย่างไร เมื่อเทียบกับพี่สือชี นางชอบลุงหมิงมากกว่าเสียอีก ลุงหมิงได้รับบาดเจ็บ นางเสียใจยิ่งนัก
อย่างไรลูกสาวก็เอาใจใส่กว่า จีหมิงซิวลูบศีรษะบุตรสาวด้วยความเอ็นดู “ลุงหมิงไม่เป็นอะไรแล้ว”
“จริงหรือ” วั่งซูมองหัวปูดตรงมุมขมับของเขา ตรงส่วนนี้บังเอิญไม่ถูกหน้ากากปิดบังไว้พอดี “ลุงหมิง ตรงนี้ท่านไปโดนอะไรมา”
จีหมิงซิวก็ไม่รู้เช่นกัน ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้ทำอะไรเลย เหตุใดหัวถึงปูดขึ้นมาใหญ่เพียงนี้ได้
เฉียวเวยสายตาพลันเป็นประกาย “คงโดนยุงกัดกระมัง”
ทั้งๆ ที่เหมือนถูกอะไรกระแทก จีหมิงซิวเหลือบมองเฉียวเวยด้วยสายตาประหลาด “คงไม่ใช่ฝีมือเจ้ากระมัง”
เฉียวเวยทำหน้าประหลาดใจ “จะเป็นข้าได้อย่างไร ข้าจะตีหัวท่านไปไยกัน”
จีหมิงซิวหรี่ตาลง “เมื่อครู่เจ้าบอกว่ายุงกัด”
เฉียวเวยเอ่ยด้วยสีหน้าคงเดิมว่า “แวบแรกดูเหมือนถูกยุงกัน แต่ตอนนี้มองดูอีกที… ถูกเหมือนกระแทกถูกอะไรมากกว่า ตอนนอนท่านคงอยู่ไม่สุก เลยตกจากเตียงลงมากระมัง”
“ผีผลัก” จีหมิงซิวเอ่ย
“มี…ผีซนๆ สองตัว!” เฉียวเวยดันซาลาเปาสองลูกเข้าหาอีกฝ่าย “ข้าจะไปทำกับข้าว ท่านดูเด็กๆ นะ!”
นี่มันคนร้อนตัวหนีความผิดชัดๆ!
จิ่งอวิ๋นยังนอนไม่พอ จึงหาวหวอดๆ สองทีขณะอยู่ในอ้อมแขนของจีหมิงซิว บางทีอาจเพราะอ้อมแขนนี้ให้คนรู้สึกปลอดภัยมาก เขาจึงหลับสนิทไปอีกครั้ง
วั่งซูพอเห็นพี่ชายหลับ ตนเองก็หลับตาบ้าง แต่นางนอนไม่หลับ มุมปากยกขึ้นทำมุมสูง
จีหมิงซิววางตัวเด็กทั้งสองลงด้านใน เอาผ้าห่มของตนห่มให้ ผ้าห่มของเขาไม่เคยห่มให้ใครที่ไหนมาก่อน แม้แต่จีหว่านก็ยังไม่เคย เมื่อจู่ๆ มีเจ้าตัวเล็กเพิ่มเข้ามา ใจจึงพองฟูยิ่งนัก
วั่งซูก็ซุกตัวลงในผ้าห่มเช่นเดียวกัน แต่กลับไม่ได้นอนอยู่บนเตียง มาพิงซบอยู่กับอกของจีหมิงซิวแทน
จีหมิงซิวยิ้มอย่างยินดี หน้าอกของลุงหมิงทั้งกว้าง ทั้งอุ่น แล้วยังหอมมากอีกด้วย
ของท่านแม่ก็หอม แต่กลิ่นหอมของท่านแม่ไม่เหมือนกับของท่านลุงหมิง
วั่งซูหอมแก้มจีหมิงซิวทีหนึ่ง
ใจจีหมิงซิวพลันอ่อนยวบ
…
[1] ต้า ตัวอักษรจีน 大 มีความหมายว่าใหญ่