หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 160-2 ครอบครัวหวานชื่น ความท้าทาย
ตอนที่ 160-2 ครอบครัวหวานชื่น ความท้าทาย
เฉียวเวยบอกจะไปทำอาหาร ก็ย่อมต้องทำจริงๆ ตอนแรกพ่อครัวหยางไม่ยอมให้นางเข้าห้องครัว แต่นางยืนกรานหัวชนฝา จึงจำต้องยอมให้นางเข้าไป
พ่อครัวหยางคอยเป็นลูกมือให้นาง
เฉียวเวยต้มข้าวต้มลำไยพุทธาจีนหม้อเล็กๆ นึ่งซาลาเปาไข่ปูกับกุ้งหนึ่งเข่ง ซาลาเปาเนื้อแพะแคร์รอตอีกหนึ่งเข่ง จากนั้นก็ทำบะหมี่หมูเส้นกับผัก ต้มพะโล้ถั่ว หั่นแตงกวาหนึ่งจานแล้วต้มไข่อีกจำนวนหนึ่ง
นึกถึงที่เมื่อวานเสี่ยวไป๋ต้องสละเลือดไป เฉียวเวยจึงตั้งใจให้พ่อครัวหยางไปตลาดเพื่อหาซื้อนมแพะมาอีกหนึ่งกา
ตอนกินข้าว จิ่งอวิ๋นหลับเต็มอิ่มแล้ว เขาแต่งกายเรียบร้อย กำลังนั่งอยู่ตรงเก้าอี้กับน้องสาว
เก้าอี้สองตัวนี้ จีหมิงซิวตั้งใจสั่งให้นายช่างทำมาเป็นพิเศษ มีความสูงมากกว่าเก้าอี้ทั่วไปอยู่เล็กน้อย ตัวเก้าอี้ค่อนข้างแคบ เหมาะให้เด็กๆ นั่ง
จีหมิงซิวนั่งข้างวั่งซู สองคนพ่อลูกซุบซิบบางอะไรบางอย่างกันอยู่ จีหมิงซิวก้มหน้าลง ยื่นหูไปให้บุตรสาว วั่งซูก็ไม่รู้บอกอะไรอีกฝ่าย นางยิ้มอย่างมีลับลมคมใน จีหมิงซิวก็ยิ้มออกมาเช่นกัน
ช่วงนี้จิ่งอวิ๋นฟันหลุดอีกแล้ว ฟันที่หลุดยังเป็นฟันหน้าเสียด้วย เวลาพูดอะไรมักมีลมลอดออกมา อย่าว่าแต่จะหัวเราะเลย เอาแต่ปิดปากแน่นอย่างเดียว
เฉียวเวยวางชามใส่ไข่ใบสุดท้ายลงบนโต๊ะ แล้วนั่งลงข้างจิ่งอวิ๋น “กินข้าวได้แล้ว”
ซาลาเปาไข่ปูกับเนื้อกุ้งสำหรับเฉียวเวยกับวั่งซู ซาลาเปาแคร์รอตกับเนื้อแพะสำหรับจีหมิงซิวกับจิ่งอวิ๋น
สองคนแม่ลูกชอบกินไข่แดง ส่วนสองคนพ่อลูกชอบกินไข่ขาว ไข่ไก่จึงถูกแบ่งอย่างชัดเจน
เสี่ยวไป๋กอดขวด (ถุง) นม (น้ำ) เล็กๆ ของตน แล้วยกดื่มอั้กๆๆ
จูเอ๋อร์เห็นอีกฝ่ายดื่มเสียเอร็ดอร่อย สายตาพลันวิบวับเป็นประกาย สะกิดเรียกเสี่ยวไป๋แล้วชี้ไปที่หน้าต่าง
เสี่ยวไป๋วางขวดนมลง แล้วมองตามไปนอกหน้าต่าง
จูเอ๋อร์ฉวยเอานมของอีกฝ่ายมาทันที แล้วซัดอั๊กๆ ไปอึกใหญ่ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงอาเจียน อุ้งมือน้อยๆ จับที่หน้าอก โก่งคอแลบลิ้นออกมา
ไม่อร่อยสักนิด!
อาหารมือนี้ ทุกคนกินกันอย่างอิ่มหมีพีมัน ตอนลี่ว์จูเข้ามาเก็บจานชาม ได้เห็นว่าจีหมิงซิวถึงขั้นกินข้างต้มลำไยพุทธาจีนทั้งชามจนหมดเกลี้ยง ซาลาเปาในถาดก็ไม่มีเหลือ นางจึงอดลอบตกใจไม่ได้ ต้องรู้ก่อนว่าจีหมิงซิวกินอะไร ‘ยากมาก’ ต่อให้เป็นอาหารรสเลิศเพียงใด แค่ชิมคำสองคำก็ดันไปไว้ข้างๆ แล้ว ไหนเลยจะเหมือนวันนี้ ของที่อยู่ในชามเขาไม่มีเหลือเลยสักอย่างเดียว
เฉียวเวย กว่าจะได้ข้าวแต่ละเม็ดล้วนยากเข็น กินข้าวเหลือนางทนไม่ได้!
เฉียวเวยไปเก็บของที่ห้องตะวันออก
จีหมิงซิวเดิมตามไปไม่ห่าง เขามองซาลาเปาน้อยที่เล่นดีดลูกแก้วอยู่ในลานแล้วเอ่ยกับเฉียวเวยว่า “เจ้ากับลูกอยู่ที่นี่กันอีกสักสองสามวันสิ”
เฉียวเวยตอบว่า “พ่อข้ายังอยู่บนเขาอยู่เลย ข้าทิ้งเขาไว้ที่นั่นคนเดียวไม่ได้”
ปี้เอ๋อร์กับป้าหลัวช่วยดูแลกันได้ทั้งคู่ แต่อย่างไรนางก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี
จีหมิงซิวอยากบอกว่าให้รับมาอยู่ด้วยกัน แต่เมื่อคิดอะไรได้ จึงกลืนสิ่งที่อยากจะพูดลงไป ‘ข้าไปส่ง’
“ข้าชนะแล้ว!” มีเสียงร้องตะโกนด้วยความตื่นเต้นยินดีของวั่งซูดังลอยมาจากในลาน
จีหมิงซิวปล่อยตัวนางออก นิ้วหัวแม่มือไล้ไปตามกลีบปากที่บวมแดงและฉ่ำวาวก่อนจะกดลงไปเบาๆ
เฉียวเวยหน้าแดง หมุนตัวไปจะเปิดประตูตู้ คิดจะเอาเสื้อผ้าที่ไม่ได้ใส่ออกมา แต่สิ่งแรกที่เห็นวางอยากลับเป็นกางเกงตัวในสีขาวตัวใหญ่
กางเกงของเขาทั้งหมดไม่ได้พับอยู่ข้างใต้หรอกหรือ เอามาแขวนไว้ข้างหน้าตั้งแต่เมื่อไร
เฉียวเวยเอากางเกงของเขาลงมาพับ
จีหมิงซิวเลิกคิ้ว ใจร้ายใจดำ ในที่สุดก็เริ่มขโมยเสื้อผ้าเขาแล้ว
เพื่อความยุติธรรม เขาก็ควร “ขโมย” ตู้โตว[1]ของนางเหมือนกัน
จีหมิงซิวมือไวคว้าเอาตู้โตวที่ลงไปอยู่ในห่อผ้าแล้วออกมา แล้วยัดเข้าไปตรงอกเสื้อประหนึ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เฉียวเวยย่อตัวลงไปดึงลิ้นชักออกมา แล้วเอากางเกงตัวในของจีหมิงซิววางลงไป
จีหมิงซิวไม่ทันเห็นตอนนี้ ยังคงเก็บตู้โตวไว้แล้วเดินผิวปากออกไป
เฉียวเวยไปทำธุระส่วนตัว
ลี่ว์จูลอยเข้าไปในห้อง หยิบเอากางเกงตัวในที่เฉียวเวยพับเก็บลงในลิ้นชักออกมาใส่ลงไปในห่อผ้าของเฉียวเวย
เมื่อเป็นเช่นนี้ ใต้เท้าอัครเสนาบดีกับหัวหน้าพรรคเฉียวก็มีของแทนใจกันแล้ว – คนหนึ่งเป็นตู้โตว อีกคนเป็นกางเกงตัวใน
อันที่จริงร่างกายของจีหมิงซิวยังไม่ได้ฟื้นตัวสมบูรณ์สักทีเดียว แต่คนเมื่อมีเรื่องน่ายินดีมักมีกำลังวังชา หลังจากดื่มยาของจีอู๋ซวงเสร็จ เขาก็ไม่สนใจคำทัดทานของจีอู๋ซวง ก้าวขึ้นรถม้าไปส่งภรรยากลับบ้าน
รถม้ากว้างขวางมาก พื้นปูพรมหนังเสือผืนหนา วั่งซูกับจิ่งอวิ๋นนอนเล่นกันอยู่บนหนังเสือ แบ่งปันของเชลยที่ต่างฝ่ายต่างเล่นชนะมาได้
จีหมิงซิวกับเฉียวเวยนั่งอยู่บนม้ายาว ภายใต้เสื้อแขนกว้างที่บดบังอยู่ สิบนิ้วของทั้งสองประสานอยู่ด้วยกัน
“เทศกาลไว้พระจันทร์จะฉลองที่ไหน” จีหมิงซิวถาม
เฉียวเวยตอบว่า “หากท่านพ่อข้าฟื้นแล้ว ก็จะกลับไปฉลองที่จวนเอินปั๋ว แต่หากยังไม่ฟื้น ก็ฉลองบนเขา”
“อ้อ” จีหมิงซิวบีบนวดนิ้วมือของนาง “เช่นนั้นเขาก็อย่าเพิ่งฟื้นเลย”
เฉียวเวย “!”
“ข้าอยากฉลองกับเจ้า” จีหมิงซิวบอก
เฉียวเวยกระแอมให้ลำคอโล่ง “ไม่ไป…บ้านตระกูลเฉียว ก็ได้”
จีหมิงซิวจึงยิ้มออก
รถม้าเคลื่อนตัวโยกๆ คลอนๆ ไปตามถนนใหญ่ในเมืองหลวง ก่อนขึ้นรถ ลี่ว์จูขนของดีมาให้หีบใหญ่ จีหมิงซิวยังรู้สึกว่าไม่พอ จึงให้เยี่ยนเฟยเจวี๋ยจอดรถม้าที่ทุกหน้าร้านค้าใหญ่ ถังหูลู่ซื้อไปห้าสิบไม้ ขนมเปี๊ยะไข่ปูซื้อไปห้าสิบห่อ ไข่มุกทองคำซื้อไปห้าสิบเม็ด
เฉียวเวย ดีดลูกแก้วใช้ไข่มุกทองคำ เชื่อหรือไม่พอเล่นเสร็จเม็ดพวกนี้คงหายไปหมดแล้ว!
รถม้าเคลื่อนตัวเข้าไปในหมู่บ้านซีหนิว
คนในหมู่บ้านพอเห็นรถม้าคันโตหน้าตาหรูหราเคลื่อนเข้ามา ก็เดาได้ทันทีว่าเสี่ยวเฉียวกลับมาแล้ว ต่อให้ไม่ใช่ตัวนางเอง ก็ต้องเป็นชนชั้นสูงสักคนที่มาหานาง
ให้ตายสิ ช่างน่าอิจฉาเหลือเกิน รุ่งโรจน์แค่ปีเดียว ก็ร่ำรวยถึงเพียงนี้แล้ว
หากพวกเขาเก่งได้สักครึ่งหนึ่งของนาง ชีวิตที่เหลือคงไม่ต้องกังวลเรื่องกินอยู่อีก
โมงยามนี้ บ้านตระกูลหลัวไม่มีใครอยู่ ทุกคนลงไปที่ไร่ทำนากันหมด
รถม้าแล่นตรงเข้าไปหยุดอยู่ที่ตีนเนิน
เสี่ยวเว่ยเห็นรถม้ามาแต่ไกล เดาว่าฮูหยินคงกลับมาแล้ว จึงวางงานในมือลงแล้ววิ่งลงเนินไป
“จอมยุทธ์เยี่ยน!” เสี่ยวเว่ยยิ้มกว้างพลางเอ่ยทักทาย
“เสี่ยวเว่ยนี่เอง” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเปิดประตูด้านหลัง แล้วยกหีบใบใหญ่ออกมา “เอ้า!”
“ฮูหยินของข้าเล่า” เสี่ยวเว่ยรับหีบมาแบกไว้ข้างหลังแล้วเอ่ยถาม
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยชี้ไปที่รถม้าพลางส่งสายตาให้อีกฝ่าย
เสี่ยวเว่ยทำหน้าทำตาบอกว่า อ๋อ ข้าเข้าใจ ข้าเข้าใจ!
ทั้งสองแบกหีบขึ้นเนินไปอย่างรู้กัน พร้อมทั้งเรียกให้เด็กทั้งสองเดินขึ้นเนินไปด้วย
พ่อแม่เด็กทำอะไรกันก็ไม่รู้อยู่บนรถม้า
…
เฉียวเวยกลับไปถึงบ้าน ต้มน้ำไส้เม็ดบัวสองถ้วยใหญ่ ขมจนถึงกับลิ้นชา นับว่าสงบจิตสงบใจได้เสียที
นางไปตรวจชีพจรของเฉียวเจิงก่อน ชีพจรของเขามั่นคงกว่าก่อนหน้านี้ไม่น้อย ทั้งยังแข็งแรงขึ้นประมาณหนึ่ง นี่เป็นสัญญาณที่ดี ผลสองภพให้ผลที่น่าอัศจรรย์จริงๆ เสียด้วย
จากนั้นเฉียวเวยก็เรียกชีเหนียงมา ถามสถานการณ์โดยทั่วไปที่โรงผลิต
การทำงานในโรงผลิตเป็นไปตามปกติ มีแค่เถ้าแก่หรงมาครั้งหนึ่ง ธุระเป็นการเป็นงานไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ให้ชีเหนียงช่วยบอกเฉียวเวยว่า หากนางกลับมาถึงหมู่บ้านแล้ว ให้ไปที่หรงจี้สักหน่อย
เฉียวเวยเดาว่าเป็นเรื่องเลือกสถานที่ตั้งโรงงาน ไม่รู้ว่าเขาหาที่ตั้งโรงงานได้ใหม่แล้ว หรือว่าทางด้านสวีซื่อนั่นยอมตกลงขายแล้ว
“ขอโทษที ไม่ทราบว่าแม่นางเฉียวอยู่หรือไม่”
ระหว่างที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน ก็มีเสียงแม่นางน้อยดังมาจากด้านนอก แค่ได้ยินก็รู้สึกคุ้นหู
“ข้าจะไปดูเอง” ชีเหนียงลุกขึ้นเดินออกจากบ้านไป
ผู้ที่มาเป็นสตรีสาวคนหนึ่งกับชายหนุ่มหน้าตาสะอาดสะอ้านหมดจด สตรีสาวงดงามจนพระจันทร์เห็นเป็นต้องหลบ ดอกไม้เห็นเป็นต้องอาย ทั้งสองแต่งกายในชุดแบบเดียวกัน ชุดผ้าโปร่งพลิ้ว ช่างน่าประหลาด ในยุคนี้ เหตุใดถึงมีบุรุษสตรีที่แต่งกายเหมือนกันได้
“พวกเจ้าเป็นใครกัน” ชีเหนียงถาม
หญิงสาวตอบว่า “พวกเราเป็นศิษย์ของซู่ซินจง มีธุระอยากพบแม่นางเฉียว ไม่ทราบว่าแม่นางเฉียวอยู่หรือไม่”
“โปรดรอสักครู่” ชีเหนียงเข้าไปในห้อง รายงานให้เฉียวเวยฟัง
เฉียวเวยระบายยิ้มน้อยๆ ซู่ซินจงช่างมีความสามารถเสียจริง แค่วันเดียว แม้แต่ที่อยู่ของนางก็ยังสืบจนรู้แล้ว
ชีเหนียงรู้สึกว่าอีกฝ่ายดูจะไม่ได้มาพร้อมจุดประสงค์ที่ดี “ฮูหยิน จะให้บ่าวไปไล่พวกเขากลับไปหรือไม่”
เฉียวเวยเอ่ยเรียบๆ ว่า “ไม่ต้อง ผู้ที่มาเป็นแขก เชิญพวกเขาเข้ามาเถอะ”
ชีเหนียงเชิญศิษย์ทั้งสองคนเข้ามา
เฉียวเวยเคยพบหน้าพวกเขาตอนอยู่บนเรือ เป็นศิษย์น้องแปดกับศิษย์พี่หญิงห้าที่ไม่ได้มีบทบาทมากนัก และก็เป็นเพียงสองคนที่ไม่ได้พูดจาต่อว่านางเสียๆ หายๆ “ศิษย์น้องแปดกับศิษย์พี่หญิงห้ามาหาข้าถึงที่นี่ ด้วยเพราะธุระของศิษย์น้องหญิง หรือธุระของอาจารย์กับอาจารย์หญิงหรือ”
ทั้งสองหันไปสบตากัน เห็นได้ชัดว่าคาดไม่ถึงว่าเฉียวเวยจะอ่านจุดประสงค์ในการมาของพวกเขาออกได้ในวาจาเดียว
ศิษย์พี่หญิงห้าเอ่ยว่า “ขอไม่ปิดบังแม่นางเฉียว เป็นท่านอาจารย์หญิงที่อยากพบเจ้า”
เฉียวเวยยิ้มสบายๆ “จะพบข้าไปไยกัน อยากจะกู้หน้าให้บุตรีของนางหรือ”
ศิษย์พี่หญิงห้าเหลือบมองศิษย์น้องแปด ศิษย์น้องแปดยังหนุ่ม อารมณ์ร้อน ทนรับการกระตุ้นอารมณ์ไม่ไหว จึงเอ่ยออกมาทันทีว่า “ท่านอาจารย์หญิงบอกแล้วว่า เรื่องระหว่างเจ้ากับศิษย์น้องหญิงเป็นเรื่องส่วนตัวของพวกเจ้าเอง และเป็นเรื่องในบ้านของศิษย์พี่สี่ นางจะไม่เข้ามาก้าวก่าย แต่เจ้าทำร้ายศิษย์พี่หญิงรองของพวกเราจนบาดเจ็บ เรื่องนี้ไม่ว่าอย่างไรจะปล่อยผ่านไปง่ายๆ ไม่ได้”
เฉียวเวยตอบอ้อคำหนึ่ง “นางไม่ได้ถามหรือว่าข้าไปทำร้ายศิษย์พี่หญิงรองของพวกเจ้าได้อย่างไร หรือว่าพวกเจ้าไม่ได้บอกนาง ศิษย์พี่หญิงรองของพวกเจ้าทำร้ายข้าจนเจ็บหนัก ข้าถึงได้แทงนางคืนไปทีหนึ่งอย่างไร”
ไม่รอให้ทั้งสองได้ตอบโต้ เฉียวเวยเอ่ยต่อว่า “อาจารย์ของพวกเจ้ายังบอกแล้วว่าเรื่องนี้ให้ถือว่าผ่านไป แต่อาจารย์หญิงของเจ้ากลับกัดข้าไม่ปล่อย คงเพราะเรื่องศิษย์น้องหญิงของพวกเจ้ากระมัง เหตุใดถึงต้องหาข้ออ้างเสียใหญ่โตเช่นนี้ด้วย”
ศิษย์น้องแปดพึมพำว่า “ดูเอาเถอะศิษย์พี่หญิง ข้าบอกแล้วว่าพูดเช่นนี้ไม่ได้การ”
ศิษย์พี่หญิงห้าเริ่มรักษาสีหน้าไม่อยู่ คำพูดเดิมของอาจารย์หญิงคือต้องการกู้หน้าให้ศิษย์น้องหญิง แต่นางกลัวว่าอีกฝ่ายจะปฏิเสธถึงได้เปลี่ยนเป็นบอกว่าจะชำระแค้นให้ศิษย์พี่หญิงรองแทน “เอาเถิด ก็เพราะเรื่องศิษย์น้องหญิงนั่นแหละ อาจารย์หญิงส่งเทียบประชันมาให้เจ้า ไม่รู้ว่าเจ้าจะกล้ารับหรือไม่”
เฉียวเวยถามว่า “รับแล้วอย่างไร ไม่รับแล้วอย่างไร”
ศิษย์พี่หญิงห้าเอ่ยด้วยสีหน้าเป็นการเป็นงานว่า “เมื่อรับแล้ว ก็จะจัดการด้วยวิธีของยุทธภพ เมื่อผ่านวันนี้ไป ไม่ว่าผลจะเป็นเช่นไร ความแค้นระหว่างเจ้ากับซู่ซินจงจะเป็นอันหายกัน แต่หากไม่รับ เช่นนั้นซู่ซินจงก็จะใช้กฎของซู่ซินจงมาจัดการคนที่ล่วงเกินคนของซู่ซินจง!”
เฉียวเวยเอ่ยประชดว่า “เดิมทีเรื่องนี้เป็นพวกเจ้าซู่ซินจงที่ท้าทายกันก่อน หากจะส่งเทียบประชันจริง ก็ควรเป็นข้าที่ส่งให้พวกเจ้า”
ศิษย์พี่หญิงห้าตาพลันเป็นประกาย “พูดเช่นนี้ก็หมายความว่าเจ้าตกลงแล้ว”
เฉียวเวยยกชาขึ้นดื่มช้าๆ “จะให้ข้าตกลงก็ย่อมได้ แต่ข้ามีเงื่อนไขข้อหนึ่ง”
“เงื่อนไขอะไร” ศิษย์พี่หญิงห้าถาม
เฉียวเวยยิ้ม “ถ้าข้าแพ้ จะฆ่าจะแกงก็ตามแต่ใจพวกเจ้า แต่หากข้าชนะ ซู่ซินจงจะเป็นของข้า”
ศิษย์พี่ห้าหญิงถึงกับสะอึก “เจ้า…”
“ลูกจ๋า!”
จิ่งอวิ๋นได้ยินเสียงมารดาเรียก จึงวิ่งออกมาจากลานเล็ก “ท่านแม่!”
เฉียวเวยระบายยิ้มเอ่ยว่า “ตัวอักษรของเจ้าช่างเขียนได้ดีนัก เจ้ามาช่วยเขียนที”
“เขียนอะไร” จิ่งอวิ๋นถามด้วยความประหลาดใจ
เฉียวเวยหยิบเอาเครื่องเขียนทั้งสี่ออกมา “ส่งเทียบประชันให้ซู่ซินจง!”
[1] ตู้โตว คือเสื้อบังทรงของสตรีในสมัยโบราณ