หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 162-2 ชนะอย่างใสสะอาด
ตอนที่ 162-2 ชนะอย่างใสสะอาด
ตั้งแต่ศิษย์น้องหญิงเรียกเฉียวเวยไปขึ้นเรือ ตั้งแต่ศิษย์พี่หญิงรองทำร้ายร่างกายเฉียวเวย? หรือตั้งแต่ศิษย์พี่ห้าหลอกทุกคนว่าจะไปเยี่ยมจีหมิงซิว อันที่จริงทั้งหมดทำไปเพียงเพื่อจะสั่งสอนเฉียวซื่อ หรือว่าเป็นตอนที่พวกเขาใส่สีตีไข่ บิดเบือนเรื่องที่เฉียวซื่อสั่งสอนศิษย์น้องหญิง หรือเป็นตอนที่สวี่ฮูหยินไม่สนใจการห้ามปรามของสวี่หย่งชิง ส่งคนไปท้าทายเฉียวซื่อถึงที่บ้าน
เมื่อผิดหนึ่งก้าว ก็จะผิดต่อไปเรื่อยๆ จนล้มเหลวหมดทั้งกระดาน
“ซู่ซินจงพูดคำไหนคำนั้น” สวี่หย่งชิงควักตราคำสั่งนกชิงเชวี่ยออกมาจากอกเสื้อ “นี่เป็นตราคำสั่งของเจ้าสำนักซู่ซินจง แม่นางเฉียวโปรดรับไว้เถิด”
“อาจารย์! ไม่ได้นะขอรับอาจารย์!” ศิษย์พี่ห้าห้ามสวี่หย่งชิงไว้ เขาหันไปหาเฉียเวย กัดฟันเอ่ยว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าซู่ซินจงเป็นสถานที่เช่นไร เจ้ากลับรับไว้หรือ ต่อให้เจ้าได้ป้ายคำสั่งเจ้าสำนักไปแล้วอย่างไร คิดจริงๆ หรือว่าทุกคนจะยอมก้มหัวให้เจ้า เจ้าสำนักทุกรุ่นที่ผ่านมา ล้วนต้องเอาชนะศิษย์อาวุโสทั้งห้าของสำนักเสียก่อนถึงจะมีสิทธิ์สืบต่อตำแหน่ง ต่อให้เจ้ามีตราชิงเชวี่ย แต่หากยังไม่ผ่านบททดสอบ ก็ไม่ถือว่าเจ้าเป็นเจ้าสำนักซู่ซินจงโดยแท้จริง!”
จีหมิงซิวดันเฉียวเวยไปด้านหลังอยากปกป้องเต็มที “ต้องอีกหนึ่งปีกว่าศิษย์อาวุโสทุกท่านจะออกจากด่านมาได้ หลังจากนี้หนึ่งปี เฉียวซื่อจะไปยังซู่ซินจงเพื่อรับการทดสอบของศิษย์อาวุโสทั้งหลาย เรื่องนี้ ศิษย์พี่ห้าไม่ต้องเป็นกังวลไป”
เฉียวเวยที่ยืนอยู่ข้างหลังแอบหยิกคนข้างหน้า แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ยังต้องสู้กับศิษย์อาวุโสของท่านอีกหรือ ข้าชนะไม่ได้จะทำอย่างไร”
จีหมิงซิวกระซิบบอกว่า “เรื่องในวันหน้า ไว้วันหน้าค่อยว่ากัน เอาตราชิงเชวี่ยมาให้ได้ก่อน”
เฉียวเวยคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงเอ่ยต่อว่า “หากข้าตายไป อาจารย์ของท่านยังสามารถสืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักได้หรือไม่”
“ไม่ได้แล้ว” จีหมิงซิวตอบ
เช่นนั้น สวี่หย่งชิงก็ไม่มีอะไรน่าหวาดกลัวแล้ว
เฉียวเวยเลิกคิ้ว กระโดดลงจากเวที เดินช้าๆ เข้าไปตรงหน้าคนอื่นๆ แล้วยื่นมือออกมา “เอามาให้ข้าเถอะ ศิษย์น้องห้า”
ศิษย์พี่ห้าไม่ยินยอม
สวี่หย่งชิงไอเลือดสดๆ ออกมาอีกครั้ง “ส่งตราคำสั่งให้แม่นางเฉียว”
“เจ้าสำนักเฉียว” เฉียวเวยเอ่ยแก้ให้
ศิษย์พี่ห้าวางป้ายคำสั่งลงบนมืออีกฝ่ายอย่างกระแทกกระทั้น “วรยุทธ์ของศิษย์อาวุโสทกุคนไม่เป็นรองท่านอาจารย์ของข้าเลย ข้าจะคอยดูว่าหลังจากนี้หนึ่งปี เจ้าจะถูกศิษย์อาวุโสทั้งห้าเล่นงานจนตายในสภาพไหน!”
เฉียวเวยระบายยิ้ม “บางคนน่ะนะ แม้แต่โอกาสจะได้สู้กับศิษย์อาวุโสก็ยังไม่มีเลย ใช่หรือไม่หนอ ศิษย์น้องห้า? เจ้าคงอยากได้ตรานี้มากกระมัง แต่ขอโทษด้วยนะ ข้าไม่ยอมถอยให้เจ้าหรอก”
ศิษย์พี่ห้ากัดฟันกรอดด้วยความโกรธจนฟันเกือบแตก!
ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รองและศิษย์พี่สามล้วนเป็นเชื้อพระวงศ์หนานฉู่ ศิษย์พี่สี่เป็นขุนนางผู้มีอำนาจของต้าเหลียง พวกเขาเหล่านี้เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าไม่อาจสืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักได้ เขาเป็นคนที่มีคุณสมบัติและประสบการณ์มากที่สุดในบรรดาลูกศิษย์พี่เหลือ หากไม่เกินความคาดหมาย เขาก็คือเจ้าสำนักรุ่นต่อไป เวลานี้เมื่อจู่ๆ มีตาอยู่โผล่เข้ามา สิ่งที่เขาพยายามเอาไว้ก็ล้วนเปล่าประโยชน์หมดน่ะสิ!
เฉียวเวยไม่สนใจคนใจคอคับแคบอย่างศิษย์พี่ห้าคนนี้อีก นางหันไปเอ่ยกับสวี่หย่งชิงว่า “ตราเจ้าสำนักซู่ซินจงข้ารับไว้แล้ว หลังจากนี้หนึ่งปี ข้าจะเดินทางไปยังซู่ซินจงเพื่อให้ได้รับการยอมรับจากศิษย์อาวุโสทั้งห้า แต่ก่อนหน้านั้น ยังขอมอบซู่ซินจงให้ใต้เท้าสวี่ดูแลต่อไปก่อน แต่ตราคำสั่งนี้ ใต้เท้าสวี่เป็นคนมอบให้ข้าเองกับมือ ใต้เท้าสวี่อย่าแม้แต่ตนเองก็ยังไม่ยอมรับคนที่ตนเลือกมา”
เมื่อสวี่หย่งชิงก้าวลงจากตำแหน่งนี้ ก็หมายความว่าไม่ว่าใครเอาชนะศิษย์อาวุโสทั้งห้าและได้ขึ้นนั่งเป็นเจ้าสำนักคนต่อไป คนผู้นั้นก็ไม่มีทางเป็นเขาอีกแล้ว เขากล้ำกลืนความขมขื่นนี้ลงไป “ตัวข้า ขอติดตามรับใช้เจ้าสำนักเฉียว”
เจ้าสำนักเฉียว สีหน้าเฉียวเวยพลันยินดี คำเรียกขานนี้ถูกใจนางนัก!
ทั้งสองบาดเจ็บกันค่อนข้างสาหัส สวี่ฮูหยินรีบเรียกคนให้มายกตัวสวี่หย่งชิงกลับไปยังบ้านพัก แล้วเรียกหมอหลวงมาตรวจชีพจรให้กับเขา
เฉียวเวยเองก็ประคองจีหมิงซิวเดินออกจากสวนหมู่ตันไป
นายท่านหกกับผู้ดูแลฉิวยังแสร้งทำเป็นไม่รู้จักทั้งสองคนต่อไป เดินอาดๆ ไปขึ้นรถม้าของตนเอง
รถม้าไม่ได้เล่นกลับไปตามทางเดิมที่มา แต่กลับเลี้ยวออกไปทางซ้าย เข้าไปยังตรอกดำมืดตรอกหนึ่ง
จีหมิงซิวกับเฉียวเวยก้าวขึ้นรถม้าที่จอดรออยู่ด้านข้าง เยี่ยนเฟยเจวี๋ยคาบหญ้าต้นหนึ่งเอาไว้ในปาก เมื่อเห็นนายท่านที่กลับมาพร้อมสภาพร่อแร่ก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “โอ้ ยังมีชีวิตอยู่นี่”
เฉียวเวยถลึงตาใส่อีกฝ่าย หมิงซิวบาดเจ็บถึงปานนี้แล้ว เขาดันยังมีอารมณ์จะล้อเล่นอีก ตาลุงแก่ปากร้าย ไม่น่ารักเอาเสียเลย!
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยฮัมเพลงเบาๆ คว้าเอาเชือกมาด้วยความไม่พอใจ “จะไปไหนล่ะ”
“บ้านสี่ประสาน” เฉียวเวยบอก
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยหวดแส้ลงบนหลังม้าพันธุ์ดี ม้าจึงเริ่มวิ่งออกไปด้วยความเจ็บ
เฉียวเวยประคองจีหมิงซิวให้นั่งลง หยิบเอาหมอนใบนุ่มมารองให้เขาทางด้านหลัง ก่อนจะจับข้อมืออีกฝ่ายขึ้นมาตรวจชีพจรให้
จีหมิงซิวเหลือบมองนางทีหนึ่ง “ข้าไม่เป็นอะไร”
เฉียวเวยขมวดคิ้ว “จะไม่เป็นอะไรได้อย่างไร ชีพจรสับสนวุ่นวายเพียงนี้”
จีหมิงซิวดูท่าทางร้อนใจของนางแล้วอดยิ้มออกมาไม่ได้ “เป็นห่วงข้าเพียงนี้เชียวหรือ”
เฉียวเวยจึงบอกว่า “ก็ใช่น่ะสิ? เวลานี้ข้าเป็นเจ้าสำนักของท่าน ท่านเป็นศิษย์ในสำนักของข้า การรักและดูแลลูกศิษย์เป็นภาระหน้าที่ที่เจ้าสำนักทุกคนพึงกระทำ”
ช่างจริงจังกับการพูดจาเหลวไหลเก่งเหลือเกิน!
มุมปากจีหมิงซิวยกขึ้นเล็กน้อย “เจ้าสำนักคิดจะรักและดูและศิษย์ผู้นี้อย่างไรหรือ”
เฉียวเวยเม้มปาก “เช่นนี้”
พูดจบ นางก็หอมแก้มอีกฝ่ายเร็วๆ ทีหนึ่ง
แล้วยังจะเรียกให้ท่านมาอยู่เฝ้ายามดึกทุกคน กฎเกณฑ์ระเบียบวินัยอะไรที่เป็นอันรู้กัน ช่างมีมาดของความเป็นเจ้าสำนักจริงๆ!
ในใจเฉียวเวยลอบกระหยิ่มยิ้มย่อง แต่กลับไม่กล้าให้เผยออกมาทางสีหน้าสักนิด นางนั่งหน้าแดงอยู่ด้านข้าง ประหนึ่งกุ้งตัวงอที่นึ่งสุกแล้ว
หากให้ศิษย์สำนักซู่ซินจงเห็นท่าทางนางในตอนนี้ น่ากลัวว่าเขาจะไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง ปีศาจหญิงที่เอามีดแทบมือศิษย์พี่หญิงรอง ทั้งยังยิงธนูใส่ศิษย์พี่หญิงรองจนไปติดต้นไม้ผู้นั้น จะมีด้านที่ออดอ้อนเช่นนี้ได้อย่างไร
ช่างน่างหลงใหลนัก
จีหมิงซิวเกือบจะลืมความเจ็บปวดข้างในร่างกายไปแล้ว ใจเขากำลังหวานล้ำ ยกมือขึ้นหยิกแก้มนาง แต่กลับสะเทือนไปถึงหน้าอก จนทำให้ปวดจี๊ดขึ้นมาทันที
เฉียวเวยสังเกตท่าทีแปลกๆ ของอีกฝ่ายได้อย่างรวดเร็ว นางจับหัวไหล่เขาเอาไว้ “ท่านได้รับบาดเจ็บใช่หรือไม่ ดูท่านสิ เจ็บถึงเพียงนี้แล้วยังบอกว่าไม่เป็นอะไรอีก”
“ไม่เป็นอะไรจริงๆ” จีหมิงซิวพูดพลางเริ่มแหวกเสื้อเปิดสายคาดเอว
เฉียวเวยพลันเบิกตาโต “ท่านจะทำอะไร บาดเจ็บขนาดนี้แล้วยังจะ…อสุจิขึ้นสมองอีกหรือ!”
“คิดไปถึงไหนกัน?” จีหมิงซิวมองนางด้วยความขบขัน เขาถอดเสื้อออก ด้านในเป็นเสื้อเกราะตัวเล็กสีเหลืองทอง จีหมิงซิวถอดเสื้อเกราะออกมาวางลงด้านข้าง จากนั้นจึงสวมเสื้อให้ตนเองใหม่
เฉียวเวยมองเสื้อเกราะที่เขาถอดออกมา “นี่คืออะไรหรือ”
จีหมิงซิวเอ่ยว่า “เกราะอ่อนทอจากทอง ของหลี่อวี้”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “ชื่อฟังดูใหญ่โตไม่หยอก”
“ใหญ่โตไม่หยอก?” หมิงซิวไม่เข้าใจ
“ความหมายก็คือดูเก่งกาจมาก” เฉียวเวยหยิบเกราะอ่อนทองขึ้นมาไว้ในมือ บนตัวเกราะยังมีไออุ่นและกลิ่นหอมจากตัวจีหมิงซิวอยู่ พอลองเอามือลูบดูยังมีไอร้อนอยู่เล็กน้อยด้วย “ดูไม่เหมือนเสื้อเกราะทั่วไป ทำจากวัสดุอะไรหรือ”
จีหมิงซิวอธิบายว่า “ไหมทองของดินแดนตะวันตก เส้นไหมประเภทนี้แข็งแรงยิ่งนัก ตัดเหล็กได้ราวกับตัดดิน เมื่อนำมาทำเป็นเสื้อผ้าเลยทำให้ฟันแทงไม่เข้า น้ำไฟทำอะไรไม่ได้ ทั้งยังสามารถลดแรงของกำลังภายในได้บางส่วนอีกด้วย”
เฉียวเวยดูคล้ายกระจ่างใจ “ดังนั้นเมื่อครู่ท่านก็อาศัยคุณสมบัติของมัน ถึงได้ต้านทานฝ่ามือทั้งสามของอาจารย์ท่านได้”
“อื้อ” จีหมิงซิวพยักหน้าเล็กน้อย หากไม่ได้เสื้อเกราะตัวนี้ เกรงว่าเขาคงสิ้นใจตายอยู่บนเวทีนั้นแล้ว แต่ต่อให้เสื้อเกราะต้านทานกำลังภายในเอาไว้ได้เกือบครึ่ง แต่เขาก็ยังบาดเจ็บไม่น้อยอยู่ดี
“ข้าต้องไปสู้กับพวกศิษย์อาวุโสเหล่านี้จริงๆ หรือ…” เฉียวเวยยังคงขบคิดเรื่องนี้อยู่ วันนี้นางได้เห็นวรยุทธ์ของสวี่หย่งชิงแล้ว รู้สึกว่าสวี่หย่งชิงคนเดียวยังมีพลังทำลายล้างกล้าแข็งเช่นนี้ หากมีศิษย์อาวุโสที่ฝีไม้ลายมือไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันโผล่เข้ามาอีก น่ากลัวว่านางคงได้ตายศพไม่สวยแน่…
จีหมิงซิวจับมือนางไว้ “มีข้าอยู่”
แค่คำง่ายๆ เพียงสามค่ำ กลับทำให้ใจของเฉียวเวยได้รับการปลอบประโลม
จีหมิงซิวเอ่ยเสียงเบาว่า “สถานการณ์ของซู่ซินจงซับซ้อนวกว่าที่เจ้าคิดเอาไว้ อีกเดี๋ยวข้าจะค่อยๆ อธิบายให้เจ้าฟัง แต่การได้สำนักนี้มา นับว่ามีประโยชน์มากนัก”
แค่ได้ยินว่าซับซ้อนมาก เฉียวเวยก็ใจไม่นิ่งขึ้นมาอีกครั้งแล้ว “แต่ว่า ต่อให้ประโยชน์มากเพียงใด ก็ต้องมีชีวิตเสียก่อนถึงได้ดื่มด่ำ หากซับซ้อนมากเพียงนั้นจริงๆ ข้าว่า สู้ข้า…”
จีหมิงซิวยกมือขึ้นมาทำท่าให้ดู “เหมืองทองสามเหมือง”
เฉียวเวยพลันตบเข่าฉาด “ก็ต้องเอาสิ!”
รถม้าโยกๆ คลอนๆ เข้าไปในตรอกแห่งหนึ่ง เมืองหลวงนั้นมีตรอกซอกซอยมาก เลี้ยวซ้ายมีซอยหนึ่ง เลี้ยวขวามีอีกตรอกหนึ่ง จำต้องจำทางเก่งมากๆ ไม่อย่างนั้นหากเป็นพวกจำทางไม่ได้อย่างเฉินต้าเตา มากี่ครั้งก็เป็นต้องหลงทุกครั้งไป
“นี่ไม่ใช่ทางกลับบ้านสีประสาน” เฉียวเวยเผอิญเป็นคนรู้ทิศรู้ทางราวกับเป็นเข็มทิศพอดี ถึงแม้จะเป็นทางที่นางไม่เคยผ่าน ก็ยังรู้ว่าทางนี้ไม่ถูกต้อง
“ไปพบใครคนหนึ่งก่อน” จีหมิงซิวบอก
เฉียวเวยร้องอ้อทีหนึ่ง ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่าจะพบใครก่อน เหตุใดเมื่อถึงยังถามว่านางจะไปที่ใดอีก ลุงเยี่ยนนี่แสบไม่เบาเลยนะนี่
รถม้าจอดลงตรงปากซอย ที่นี่มีรถม้าอีกคันหนึ่งจอดรออยู่แล้ว มีคนสองคนลงมาจากรถม้าคันนั้น ซึ่งก็คือนายท่านหกกับผู้ดูแลฉิวที่เข้ามาแทรกตอนอยู่ที่สวนหมู่ตันนั่นเอง
นายท่านหกยิ้มกริ่มขณะเดินไปที่รถม้าของหมิงซิว เขายืนอยู่ตรงหน้าต่าง เริ่มด้วยการเอ่ยทักทายกับจีหมิงซิว จากนั้นก็ประสานมือให้อีกฝ่ายอย่างอารมณ์ดียิ่ง “ยินดีกับเจ้าสำนักเฉียว ยินดีกับเจ้าสำนักเฉียว”
เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ “โชคดีที่ได้นายท่านหกช่วยเหลือ ไม่อย่างนั้นเกรงว่าซู่ซินจงคงจะฆ่าข้าปิดปากไปแล้ว”
หลังจากเสี่ยวเวยชนะติดต่อกันสองยกนิด ซู่ซินจงมีความคิดที่จะสังหารนางเสีย แต่ก็จนใจเพราะมีศิษย์สมาคมกระบี่คอยชมอยู่ด้านข้าง ซู่ซินจงหากคิดอยากปิดข่าว ก็ต้องสังหารไปถึงนายท่านหกด้วย แต่นายท่านหกไม่ใช่ศิษย์สมาคมกระบี่ธรรมดาทั่วไป เขาเป็นญาติลูกพี่ลูกต้องกับศิษย์อาวุโสของสมาคมกระบี่ หากเขาเกิดเป็นอะไรไปจริงๆ สมาคมกระบี่จะไล่บี้เรื่องนี้ไม่ปล่อยหรือไม่ สมาคมกระบี่แม้แต่แผนที่ผลสองภพก็ยังหามาได้ การจะสืบหาคนร้ายที่ทำร้ายศิษย์สำนักตนจนตายจะไปยากอะไร
ถึงเวลานั้นปัญหาคงไม่ได้อยู่ที่ว่าซู่ซินจงเปลี่ยนเจ้าสำนักหรือไม่แล้ว เกรงว่าคนทั้งสำนักคงต้องเผชิญกับการโจมตีอย่างบ้าคลั่งของเจี้ยนเหมิงเป็นแน่
ซู่ซินจงมีประวัติความเป็นมาที่ลึกซึ้ง สมาคมกระบี่มีความสามารถอันกล้าแกร่ง เมื่อทั้งสองต้องฟาดฟันกัน ใครจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ก็ยังไม่รู้
ไม่มีใครกล้าเป็นคนร้ายที่ยั่วยุให้เกิดการปะทะกันระหว่างสองสำนัก
ถึงอย่างไรจะมีใครกล้ารับประกันว่าเพื่อให้สมาคมกระบี่บรรเทาโทสะของสมาคมกระบี่ลง ซู่ซินจงจะไม่ผลัก “คนร้าย” ออกไปรับผิดกันเล่า
ดังนั้นเฉียวเวยจึงเป็นผู้รอดชีวิตจากการไล่สังหารมาได้
นายท่านหกเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ทั้งหมดนี้เป็นความตั้งใจของใต้เท้าทั้งสิ้น ข้าแค่เพียงไปแสดงละครเล็กน้อยเท่านั้น! คนที่ฮูหยินต้องขอบคุณ คือใต้เท้าต่างหาก!”
เฉียวเวยเอ่ยเสียงหวานอย่างหาฟังได้ยากว่า “ข้าย่อมต้องขอบคุณเขาแน่”
ผู้ดูแลฉิวหันไปมองเฉียวเวยคล้ายอยากพูดอะไรบางอย่าง
เฉียวเวยเอ่ยอย่างเข้าใจดีว่า “ผู้ดูแลฉิว รายการบัญชีคราก่อนดูเหมือนจะมีบางจุดที่ไม่ถูกต้อง ออกไปพูดคุยกันสักหน่อยได้หรือไม่”
นายท่านหลิวขมวดคิ้ว เตะผู้ดูแลฉิวให้ทีหนึ่ง แค่ไม่ได้ลงแรงมากนัก “เหตุใดบัญชีของฮูหยินเจ้าถึงคำนวณผิดได้”
“ข้าคำนวณไม่ดีเอง” เฉียวเวยรีบบอก
นายท่านหกส่งเสียงเหอะๆ
เฉียวเวยเดินลงจากรถม้า เดินไปอีกด้านหนึ่งพร้อมกับผู้ดูแลฉิว “ผู้ดูแลฉิวมีอะไรอยากพูดกับข้าหรือ”
ผู้ดูแลฉิวกระซิบบอกว่า “ข้าขอไม่ปิดบัง เมื่อวานชีเหนียงมาหาข้า”
“เมื่อคืน?” เฉียวเวยงุนงง เมื่อคืนชีเหนียงไม่ได้เปิดใจพูดคุยอยู่กับนางที่บ้านหรอกหรือ
ผู้ดูแลฉิวพยักหน้า “ใช่แล้ว กว่าจะไปหาข้าก็ดึกดื่นค่อนคืนแล้ว นางบอกกับข้าว่าท่านอาจเจอเรื่องยุ่งยากเล็กน้อย ไม่รู้ว่าข้าพอจะมีวิธีหรือไม่ ข้าไม่เคยได้ยินชื่อซู่ซินจงมาก่อน แต่ก็รู้สึกว่าเรื่องราวดูไม่ธรรมดา พอฟ้าสว่างข้าเลยไปหานายท่านหก คิดอยากเชิญให้เขามาช่วยออกหน้า แต่ตอนนั้น นายท่านหกได้ทราบข่าวมาจากใต้เท้าแล้ว ข้าจึงไม่ได้พูดอะไรอีก บอกเพียงว่าอยากร่วมชมเรื่องสนุกด้วย จึงตามนายท่านหกมาที่นี่ด้วย”
เฉียวเวยเข้าใจทันที “ข้าก็ว่าอยู่ว่าเหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ด้วย ตามปกตินายท่านหกไม่พาเจ้ามายุ่งกับเรื่องพวกนี้”
ผู้ดูแลฉิวเหลือบมองนายท่านหกที่รอจนเริ่มจะหมดความอดทน แล้วกระซิบเอ่ยว่า “ชีเหนียงนางเป็นห่วงท่านมากจริงๆ”
เฉียวเวยถอนหายใจ “เจ้าเด็กโง่นั่น ออกไปดึกๆ ดื่นๆ ช่างไม่กลัวว่าจะเจอขโมยขโจรบ้างเลย”
ผู้ดูแลฉิวเอ่ยอีกว่า “นี่ก็เป็นสิ่งที่ข้าอยากบอกท่าน ไม่ว่าชีเหนียงมาหาข้าด้วยเรื่องอะไร ข้าล้วนยินดีเป็นธุระให้ทั้งสิ้น แต่มายามกลางค่ำกลางคืนนั้นออกจะอันตรายเกินไปสักหน่อยจริงๆ ขอฮูหยินได้โปรดดูแลชีเหนียงด้วย”
เฉียวเวยพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว เรื่องในครั้งนี้ ขอบคุณเจ้ามาก”
ผู้ดูแลฉิวเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ฮูหยินกล่าวเกินไปแล้ว ข้าไม่ได้ช่วยอะไรเลย”
“พิรี้พิไรอยู่นั่น บัญชียังทำไม่เสร็จเลยนะ?” นายท่านหกบ่นไม่หยุด
“ข้าไปก่อนล่ะ วันหน้าพบกันใหม่” ผู้ดูแลฉิวประสานมือ
เฉียวเวยมองส่งเขากับนายท่านหกขึ้นรถม้าแล้วขับออกจากเรือนไป จากนั้นตนก็ไปขึ้นรถม้าบ้าง
เมื่อกลับไปถึงเรือนสี่ประสาน จีอู๋ซวงเข้ามาต้อนรับ พอจับชีพจรของจีหมิงซิว สีหน้าก็ดูย่ำแย่ทันที เขาหันไปกรอกตาใส่เฉียวเวย “ออกไปกับเจ้าทีไร ไม่เคยมีเรื่องดีเลยจริงๆ!”
เฉียวส่งเสียงเหอะๆ ประคองแขนจีหมิงซิวเดินเข้าห้องไป
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยพิงอยู่กับเสาระเบียงทางเดิน กัดแอปเปิ้ลไปคำหนึ่งแล้วถามว่า “จะตายหรือไม่”
จีอู๋ซวงขมวดคิ้วมุ่น “มีเลือดพังพอนวิเศษ ไม่ตายหรอก”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเอ่ยอย่างไม่สนใจว่า “อ้อ เช่นนั้นก็ไม่เป็นอะไร”
“เจ้าไม่โกรธแล้วหรือ” จีอู๋ซวงหน้าบึ้ง
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยผายมือออก “เหตุใดข้าถึงต้องโกรธด้วย บุรุษตามเกี้ยวสตรี หากไม่ลงทุนอะไรเลยจะได้มาได้อย่างไร”
ขีดจำกัดของเยี่ยนเฟยเจวี๋ยคือความอยู่รอดของจีหมิงซิว ส่วนว่าจะอยู่รอดอย่างไรนั้นเขาไม่ได้สนใจ อีกอย่างตามที่เขาบอก เจ้าเด็กนั่นก็น่าตียิ่งนัก ขอเพียงไม่ตาย ถูกทรมานหน่อยเขาก็ยินดีที่จะได้เห็น
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยตบบ่าจีอู๋ซวง “เจ้าก็พอได้แล้ว อย่าไปมีความเห็นอะไรกับแม่นางน้อยนักเลย ที่เจ้าได้ปล่อยตัวออกมาจากสระเยือกแข็ง ล้วนเป็นเพราะนางทั้งสิ้น เจ้าอย่าได้ไม่รู้จักดีชั่ว เดี๋ยวนายน้อยก็จับเจ้ากลับไปขังอีกรอบหรอก ข้าจะดูว่าเจ้าจะไปร้องไห้กับใคร”
สระเยือกแข็งจีอู๋ซวงไม่อยากเข้าไปอีกแล้วตลอดชีวิตนี้ แต่จะให้เขาเลิกมีความเห็นกับเฉียวเวย เขาก็ทำไม่ได้เช่นกัน เขาเดินเอาเข็มเงินเข้าไปในห้องของจีหมิงซิวอย่างไม่สบอารมณ์ ฝังเข็มให้เขาเพื่อควบคุมกำลังภายในร่างกายที่ปั่นป่วนให้กลับมามั่นคง
จากนั้นเขาก็ไปอุ่นยาที่ห้องครัว
เฉียวเวยเดินตามไป แล้วเอาเลือดของเสี่ยวไป๋ส่งไปให้เขา
สีหน้าของเขาถึงได้ดูดีขึ้นเล็กน้อย
เฉียวเวยถามว่า “ต้องใช้เลือดเสี่ยวไป๋อีกมากน้อยเพียงใดถึงจะหายดี”
จีอู๋ซวงตอบว่า “เลือดพังพอนวิเศษดีกว่ายาที่เคยใช้ก่อนหน้านี้หลายเท่านัก แต่ก็เพียงควบคุมไว้ได้ดีกว่าเท่านั้น”
เฉียวเวยสัมผัสได้ถึงฤทธิ์การกดของมันแล้วเช่นกัน เมื่อก่อนหมิงซิวจะสลบไปหลายวันหรืออาจถึงขั้นสิบวันกว่าจะตื่นขึ้นมาได้ แต่พอได้เลือดเสี่ยวไป๋ไปคืนหนึ่งก็เห็นผลแล้ว นางยังคิดว่าหากใช้หลายๆ ครั้งเข้า จะสามารถรักษาอาการของหมิงซิวให้หายดีได้เสียอีก “เช่นนั้นต้องทำอย่างไรถึงจะรักษาให้หายได้”
จีอู๋ซวงยิ้มเย็น “บางที… กินพังพอนตัวนั้นของเจ้าเสีย”
เฉียวเวยถลึงตาใส่เขา “เจ้ากล้าหรือ”
จีอู๋ซวงหัวเราะหึๆ “ในใจเจ้า นายน้อยยังสำคัญสู้พังพอนไม่ได้เลย”
เดิมทีเฉียวเวยไม่พอใจมาก แต่พอได้ยินคำพูดนี้กลับยิ้มออกมา “อย่ามายั่วยุในความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับหมิงซิวเลย ในมือเจ้าเวลานี้ไม่มีสูตรยาที่จะรักษาหมิงซิวให้หายได้ด้วยด้วยซ้ำ ต่อให้ข้าเอาเสี่ยวไป๋ให้ท่าน ก็ยังไม่แน่ว่าท่านจะรักษาหมิงซิวได้”
จีอู๋ซวงถูกทิ่มถูกตาปลา หน้าหูเลยแดงก่ำ
เฉียวเวยมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้าพูดจี้ถูกใจดำเข้าล่ะสิ เจ้าน่ะนะ อย่ามาเสียเวลาคิดเรื่องไม่เป็นเรื่องเหล่านี้เลย สู้เอาเวลาไปศึกษาดูว่าต้องทำอย่างไรถึงจะรักษาหมิงซิวให้หายได้จะดีกว่า ข้าได้ยินมาว่า เมื่อใดก็ตามที่เขาเป็นอะไรขึ้นมา พวกเจ้าทั้งเจ็ดก็จะไม่รอดด้วยเช่นกัน”
จีอู๋ซวงโกรธใหญ่ ความลับเช่นนี้ คนชั่วที่ไหนมันเอาไปบอกนางกัน!