หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 164-2 พี่ซิวใจเหี้ยม
ตอนที่ 164-2 พี่ซิวใจเหี้ยม
เฉียวเวยกำลังฆ่าปลาอยู่ นางรู้สึกว่ามีคนกำลังมองตน เลยรีบหันไปมอง จึงเห็นเป็นหลัวหย่งเหนียนที่ยืนหน้าแดงหูแดงก่ำอยู่ แต่แน่นอนว่าเพราะผิวที่ตากแดดจนออกสีน้ำตาล ทำให้ดูไม่ชัดนักว่าหน้าเขาแดง เฉียวเวยพลันตาเป็นประกายขึ้นเล็กน้อย “หย่งเหนียน? เจ้ากลับมาแล้ว!”
“ใช่ ใช่แล้ว ข้ากลับมาแล้ว!” หลัวหย่งเหนียนแทบอยากจะดึงหูตัวเองสักสองที ก็แค่ไม่ได้พบกันไม่กี่เดือนเอง เหตุใดแค่จะพูดจายังติดๆ ขัดๆ น่าอนาจชะมัด!
เฉียวเวยกลับไม่ถือสา มองมีดกับปลาในมือที่ฆ่าไปได้ครึ่งทาง นางยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าเข้าไปนั่งในห้องก่อนเถอะ”
หลัวหย่งเหนียนเอ่ยด้วยความตื่นเต้นว่า “ข้า ข้า ข้า…ข้าไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว นั่งอยู่บนรถม้ามาทั้งเช้า ก้นยังปวดอยู่เลย”
เฉียวเวยยิ้ม “ก็ได้ งั้นเจ้ายืนไปก่อนนะ ข้าฆ่าปลาให้เสร็จก่อน”
หลัวหย่งเหนียนมองมือที่ขาวอวบราวกับน้ำนมทั้งสองข้างของนางที่กำลังหั่นเนื้อปลาไปมา แล้วอดถามไม่ได้ว่า “ให้ข้าทำเถอะ”
“ไม่ต้อง อีกเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว” เฉียวเวยคว้านมีดลงไป เอาเครื่องในออกมาจนหมด
หลัวหย่งเหนียนมองมือที่เต็มไปด้วยเลือด แล้วมองลำคอขาวผ่องที่อยู่ใต้เส้นผมสลวย ลูกกระเดือกพลันขยับ “ข้าเอาของมาให้เจ้านิดหน่อย”
“ของอะไร” เฉียวเวยขอดเกล็ดปลา เอาปลาที่ล้างสะอาดแล้วใส่ลงในข้อง แล้วจับปลาที่ยังไม่ตายอีกตัวขึ้นมาจากกะละมัง
หลัวหย่งเหนียนยกห่อผ้าในมือขึ้นมา “ของกินนิดหน่อย”
เฉียวเวยจึงบอกว่า “เจ้าจะสิ้นเปลืองเช่นนี้ไปไย เจ้ามีค่าแรงเพียงเท่านั้น ใช้เองพอหรือไม่”
หลัวหย่งเหนียนรีบบอกว่า “พอๆๆ พอแน่ล่ะ เวลานี้ข้าเป็นนายช่างแล้ว เบี้ยหวัดมากกว่าพวกพี่ๆ เสียอีก”
เฉียวเวยเหลือบมองเขาทีหนึ่งแล้วเอ่ยออกมาจากใจจริงว่า “หย่งเหนียนของข้าเก่งจริง!”
หลัวหย่งเหนียนถูกชมจนลอยหน่อยๆ เขาเอาของเข้าไปวางในห้อง แล้วเดินกลับมาที่ลานอีกครั้ง หยิบดอกไม้เงินดอกหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ นี่เป็นสิ่งที่เขาใช้เงินเก็บหลายเดือนเอาไปเปลี่ยนไปเงินมา จากนั้นเอาเข้าไปหลอมในเตาแล้วทำขึ้นเองกับมือ เขาทำให้มันบริสุทธิ์แล้ว ความบริสุทธิ์ของมันดีกว่าพวกเครื่องประดับเงินที่ขายอยู่ข้างนอกเสียอีก
เขาทำเป็นรูปดอกเฉียงเวย กลีบดอกสีเงินซ้อนกันเป็นชั้นๆ รอบตามดอกไม้เห็นเป็นลายชัดเจน ตรงกลางเอาไข่มุกเม็ดหนึ่งมาทำเป็นเกสร
ไข่มุกเม็ดนี้ได้มาตอนที่เขาไปซ่อมประตูให้บ้านหลังใหญ่ แล้วถูกประตูกระแทกเข้า คนที่นั่นเลยให้เขามาเป็นรางวัล
เขารู้ว่าเวลานี้พี่สาวเขาไม่ขัดสนเงินทอง แต่บนศีรษะนาบไม่มีเครื่องประดับอะไรเลย ของขวัญของตนชิ้นนี้ ให้ได้ถูกเวลายิ่งนักกระมัง
“พี่”
“หือ” เฉียวเวยฆ่าปลาเสร็จก็ใช้ก้อนสบู่ล้างมือ นางยืดตัวขึ้นมองไปทางเขา “เรื่องอะไร”
หลัวหย่งเหนียนถือดอกไม้เงินอยู่ในมือ “ข้า…”
เฉียวเวยเห็นท่าทางเช่นนั้นของเขาก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ “เจ้าเป็นอะไร อ้ำๆ อึ้งๆ อยู่นั่น? ไปทำอะไรผิดมาหรือ”
หลัวหย่งเหนียนหน้าแดงก่ำ “ไม่ใช่ๆ! ข้าเป็นเด็กดีจะตาย”
“เช่นนั้นมีเรื่องอะไรที่พูดไม่ได้กัน” เฉียวเวยถาม
ก็ใช่น่ะสิ มีอะไรบอกไม่ได้กัน ก็ไม่ใช่แค่ข้าทำดอกไม้มาให้เจ้าดอกหนึ่ง หวังว่าเจ้าจะใส่มันทุกวันหรอกหรือ
หลัวหย่งเหนียนสูดหายใจเข้าออกลึกๆ ในขณะที่กำลังจะเอาดอกไม้ออกมานั้น จู่ๆ ด้านหลังก็มีเสียงทุ้มต่ำที่ฟังดูมีแรงดึงดูดดังขึ้น น้ำเสียงนั้นน่าฟังเสียจนแม้แต่คนที่เป็นผู้ชายอย่างเขายังรู้สึกกระดูกเปราะแทบจะร่วงหล่นลงมา
“เสี่ยวเวย”
เฉียวเวยแค่ได้ยินก็ฟังดูคุ้นหู แต่ที่เรียกว่าเสี่ยวเวยนั่นเกิดเป็นอะไรขึ้นมา
หลัวหย่งเหนียนหันหน้าไปมอง ก็เห็นบุรุษสวมหน้ากากเดินเรื่อยๆ มาจากทางห้องโถง บุรุษผู้นั้นรูปร่างสูงใหญ่ ร่างกายกำยำ แขนเสื้อกว้างถูกลมอ่อนๆ พัดจนปลิวไสว ชายเสื้อโบกพลิ้ว มีรัศมีโดดเด่น หน้ากากบดบังใบหน้าเขาไว้ครึ่งหนึ่ง แต่เห็นดวงตาดำลึกคู่นั้น กับช่วงคางที่สมบูรณ์แบบไม่มีร่องรอยใดๆ สักนิด ก็เดาได้ไม่ยากว่าใต้หน้ากากอันนั้นคือใบหน้าที่คนทั้งหล้าต้องตกใจเพียงใด
ชายผู้นั้นเดินเข้าไปหาพี่สาวของเขา เอ่ยเรียกอีกฝ่ายว่าเสี่ยวเวยเบาๆ ซ้ำยังยื่นหน้าไปแนบหูพี่สาว ไม่รู้ว่ากำลังพูดอะไร พี่สาวของเขาเม้มปากยิ้ม ข้างแก้มพลับซับสีเลือดขึ้นบางๆ
สีหน้าเช่นนี้ หลั่วหย่งเหนียนไม่เคยเห็นบนใบหน้าของเฉียวเวยมาก่อน
ใจของหลัวหย่งเหนียนพลันหดหู่ลงทันที
“นี่คือหย่งเหนียน เคยพักอยู่ที่บ้านสี่ประสาน แต่พวกท่านสองคนไม่เคยพบกันมาก่อน” เฉียวเวยแนะนำให้จีหมิงซิวได้รู้จัก จากนั้นก็เอ่ยกับหย่งเหนียนว่า “หย่งเหนียน นี่คือคุณชายหมิง ก่อนหน้านี้บ้านสี่ประสานที่พวกเราเคยอยู่ เป็นของเขานี่แหละ”
เมื่อปีที่แล้วไปพักมาครั้งหนึ่ง ที่แท้ครั้งนั้นก็เป็นบ้านของเขานี่เอง พวกเขารู้จักกันมานานเพียงนี้แล้ว
หัวใจหลัวหย่งเหนียนได้รับความกระบทบกระเทือนอย่างรุนแรง ดอกไม้ในมือทำอย่างไรก็ยื่นออกไปไม่ได้
เฉียวเวยถามว่า “หย่งเหนียน เมื่อกี้เจ้าจะพูดอะไรกับข้าแล้วนะ”
หลัวหย่งเหนียนส่ายหน้าก่อนฉีกยิ้มกว้าง “ไม่มีอะไรแล้ว ข้าแค่อยากถามว่าจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูไปอยู่ไหน ข้าเข้าห้องไปตั้งนานยังไม่เห็นพวกเขาเลย!”
เฉียวเวยยิ้มบอกว่า “พวกเขาอยู่กันที่ลานเล็กหลังโรงงานน่ะ เจ้าไปหาพวกเขาสิ”
“อื้อ ได้สิ ข้าไปล่ะนะ!” หลัวหย่งเหนียนยิ้มพลางเดินออกจากบ้านไป
พอเขาเดินไปไกลแล้ว เฉียวเวยก็หันไปตีหน้าขรึมใส่จีหมิงซิว “ท่านตั้งใจใช่หรือไม่”
จีหมิงซิวก็ไม่บ่ายเบี่ยงสักนิด ยกมือข้างที่ไม่ได้ถืออะไรขึ้นมาโอบเอวนางไว้ กักตัวนางไว้ในอ้อมแขน แล้วจึงแตะจูบลงบนริมฝีปากฉ่ำวาวของนางทีหนึ่ง “กล้าหมายตาสตรีของข้า แค่ทำให้รู้นิดหน่อยนี่ถือว่าเบาแล้ว”
เฉียวเวยถลึงตาใส่เขา “ถ้าเป็นความจริงท่านคิดจะเอาอย่างไร”
จีหมิงซิวหรี่ตา “นี่เจ้ากำลังยอมรับว่ารู้ว่าใจเขาคิดอะไรงั้นสิ รู้แล้วยังมาส่งสายตาให้เขาอีก เจ้าสำนักเฉียวอยากจะลงจากเตียงไม่ได้ไปสามวันหรือ”
เฉียวเวยระบายยิ้ม “ความสามารถของท่านทำได้แค่สามวันเท่านั้นหรือ”
สายตาจีหมิงซิวพลันล้ำลึก จับปลายคางที่บรรจงงดงามของอีกฝ่ายไว้ เอ่ยอย่างมีนัยยะลึกซึ้งว่า “เจ้าสำนักเฉียว เจ้าต้องรับผิดชอบในคำพูดของเจ้า”
เฉียวเวยเขย่งปลายเท้า พ่นลมหายใจร้อนระอุใส่ใบหูอีกฝ่ายพลางกระซิบบอกว่า “ข้าจะรอ”
ใต้เท้าอัครเสนาบดีถูกยั่วจนเลือดในกายแล่นพล่านไปหมด หัวใจแทบจะระเบิดอยู่รอมร่อ
เอาคืนได้สักยกหนึ่งเสียที เจ้าสำนักเฉียวสะใจยิ่งนัก นางจับคอเสื้ออีกฝ่ายอย่างยั่วยวนและน่าหลงใหล แล้วจึงเดินยิ้มเข้าห้องครัวไปโดยมีสายตาที่แทบอยากจะกลืนกินนางลงไปคอยมองอยู่
จีหมิงซิวสูดหายใจเขาลึกๆ ก้มหน้ามองอัครเสนาบดีน้อยที่มีใจคิดกบฏ
ลงไป
ข้าสั่งให้ลงไป
ได้ยินหรือไม่
ลงไปเดี๋ยวนี้
ถ้ายังไม่ลงไปอีก ผลประโยชน์เดือนละหนึ่งครั้งของเจ้าก็จะไม่มีแล้วนะ!
…
ตะวันใกล้ลับขอบฟ้า อาหารเย็นทำเสร็จแล้ว
พวกเด็กๆ ไปล้างมือแล้ววิ่งไปยกกับข้าวกับที่ห้องครัว
เฉียวเวยกลัวพวกเขาจะร้อนมือ เลยให้พวกเขายกแต่อาหารจานเย็น วั่งซูยกยำเนื้อวัว นางเดินพลางน้ำลายไหลไปพลาง จิ่งอวิ๋นกับจงเกอร์ยกถั่วกันไปคนละถาด
โต๊ะอาหารตั้งอยู่ที่สนามหญ้าของเรือนหน้า ทิวทัศน์กว้างขวาง สามารถชมจันทร์ชมทิวทัศน์ได้ โต๊ะสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่สองตัวเลื่อนมาติดกัน ปูผ้าปูโต๊ะสะอาดสะอ้าน พอยกเก้าอี้เข้ามาเสริม คนทั้งบ้านก็สามารถนั่งลงพร้อมกันได้อย่างคึกคัก
ป้าหลัวจีหมิงซิวนั่งอยู่หัวโต๊ะ ข้างกายป้าหลัวเป็นบุตรชายสองคนกับชุ่ยอวิ๋น อีกด้านหนึ่งของชุ่ยอวิ๋นคือชีเหนียงกับอากุ้ย ถัดจากอากุ้ยเป็นซาลาเปาน้อยสามคน – จงเกอร์ จิ่งอวิ๋น และวั่งซู
ข้างกายวั่งซูคือเฉียวเวย จากนั้นก็เป็นจีหมิงซิว
จีหมิงซิวไม่เคยกินข้าวกับชาวบ้านมากมายเช่นนี้มาก่อน ตระกูลหลัวเป็นชาวไร่ชาวนาในถิ่นนี้โดยแท้จริง ครอบครัวอากุ้ยเป็นทาสกันทั้งครอบครัว เด็กจงเกอร์คนนั้นเป็นลูกนอกสมรส… เวลานี้กลายเป็นบุตรบุญธรรมไปแล้ว
แต่บุตรชายของเขากลับไม่มีการแบ่งชนชั้นเลยสักนิด เวลาพูดคุยกับจงเกอร์ก็ชอบพอกันดีทุกอย่าง
บุตรสาวก็เช่นกัน คำก็ท่านลุงสองคำก็ท่านลุง เรียกขานอย่างสนิทสนมยิ่งนัก!
จีหมิงซิวรู้สึกสะท้อนในอก ลุงกำมะลอยังเรียกได้ แต่พ่อแท้ๆ กลับได้เป็นแค่ลุงเหมือนกัน
“คุณชายหมิงเอ๋ย บ้านนอกอย่างนี้ไม่มีกับข้าวดีๆ อะไร ท่านอย่าได้รังเกียจ” ป้าหลัวเอ่ยยิ้มๆ หลังจากได้พบหน้ากันหลายครั้ง ความประทับใจที่นางมีต่อคนหนุ่มผู้นี้ก็เปลี่ยนไป ถึงแม้จะทำให้คู่หมายที่นางหามาโกรธจนหายไป แต่เขาก็ยกเลิกการหมั้นหมายของตนเพื่อเสี่ยวเวย คนที่มีความจริงใจให้กับเสี่ยวเวยผู้นี้ นางล้วนชื่นชอบด้วยใจจริงทั้งสิ้น
จีหมิงซิวพยักหน้าเล็กน้อย “แม่บุญธรรมเกรงใจแล้ว”
ถึงขั้นเรียกว่าแม่บุญธรรม
ใครให้เจ้าเรียกเช่นนั้นกัน!
เฉียวเวยพลันหน้าแดง ลอบเหยีบขาเขาใต้โต๊ะแรงๆ ให้ทีหนึ่ง!
จีหมิงซิวไม่สะทกสะท้านสักนิด สายตาอ่อนโยนราวกับน้ำในทะเลสาบ
ทุกคนพากันยักคิ้วหลิ่วตา ป้าหลัวยิ้มจนตาแทบมองไม่เห็น “ทั้งหมดนี้เสี่ยวเวยทำทั้งนั้น ข้ากับชีเหนียงแค่เป็นลูกมือ รีบกินตอนร้อนๆ เถอะ!”
อาหารที่เฉียวเวยทำ เรื่องรสชาติย่อมไม่มีอะไรให้ติติง
จีหมิงซิวกลับรั้งร้อไม่ลงมือเสียที สายตาเขากวาดมองไปรอบโต๊ะ มองแล้วก็มองอีกจนลูกตาแทบจะถลนออกมาอยู่แล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นตะเกียบตรงกลางสักคู่
นี่มัน…
“กินเถอะ ใต้เท้านายน้อย” เฉียวเวยอาศัยจังหวะที่เขาไม่ทันตั้งตัว เอาเนื้อผัดข้าวโพดยัดใส่ปากเขาไปช้อนหนึ่ง
นั่นเป็นช้อนของเฉียวเวยเองท พอใช้ “ป้อน” จีหมิงซิวเสร็จ นางก็ตักข้าวจากในชามเข้าปากตนเอง
จีหมิงซิวเลียริมฝีปาก รสชาติไม่เลว
ใต้ผ้าปูโต๊ะ มือขวาของจีหมิงซิวเลื่อนไปจับมือซ้ายของเฉียวเวย
เฉียวเวยอึ้งไป “เจ้าไม่กินอะไรแล้วหรือ”
จีหมิงซิวคีบลูกชิ้นลูกที่วั่งซูทำให้ตายอย่างไรก็คีบไม่ขึ้นขึ้นมาได้อย่างแม่นยำและง่ายดาย เสร็จก็เอาไปวางใส่ถ้วยให้วั่งซู “ข้าใช้มือซ้ายกินได้”
คนมีพรสวรรค์ช่างทำอะไรได้ตามใจ
ในใจเฉียวเวยรู้สึกหวานล้ำ กินข้าวกันยังได้จับมือ คนรักข้าช่างรักใคร่ข้ายิ่งนัก!
หลัวหย่งเหนียนไม่ได้ให้ดอกไม้นางไป เดิมทีเขาเศร้าใจมาก แต่เมื่อได้กินอาหารรสเลิศ ความเศร้าใจส่วนนั้นก็มหายหายไป ลูกชิ้นเนื้ออร่อย เห็ดอร่อย! ปูก็อร่อย! อะไรๆ ก็อร่อย!
เขาไม่ทันระวัง ทำช้อนหล่นพื้น
หลัวหย่งเหนียนก้มลงไปหยิบ หางตาเหลือบไปทางกระโปรงของเฉียวเวย จากนั้นก็ได้เห็นสองมือที่จับประสานกันอยู่ เจ้าจับข้า ข้าจับเจ้า ตัวติดกันเสียยิ่งกว่าอะไร จิตใจหลัวหย่งเหนียนได้รับความกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงอีกครั้ง
จะให้คนกินข้าวดีๆ หน่อยได้ไหมนี่ ให้ได้ไหม!
พอกินข้าวเสร็จ ชีเหนียงกับชุ่ยอวิ๋นก็เก็บโต๊ะ พร้อมทั้งเอาขนมไหว้พระจันทร์ที่เฉียวเวยทำเองกับมืออกมา แต่เพราะเมื่อครู่ทุกคนกินกันอิ่มเกินไป ให้กินทั้งอันคงกินไม่หมด จึงเอามาตัดแบ่งเป็นชิ้นๆ
จีหมิงซิวเลือกชิ้นที่ตรงกลางมีไข่ “ไข่แดง?”
เฉียวเวยพยักหน้า “ไข่แดงเค็ม”
จีหมิงซิวชิมไปคำหนึ่ง ตัวเปลือกอ่อนนุ่มเนียนละเอียด เม็ดบัวหวานน้อยๆ ไข่แดงออกเค็ม เมื่อรวมเข้าด้วยกันก็ได้รสชาติที่ไม่เลวเลยทีเดียว
“เป็นไงบ้าง” เฉียวเวยถาม
“เจ้าชิมดูก็รู้แล้วมิใช่หรือ” จีหมิงซิวป้อนนางกินคำหนึ่ง
ทุกคนพากันหันไปชมจันทร์ พวกเราไม่เห็นอะไรทั้งนั้น!
เฉียวเวยหน้าแดง กัดไปคำหนึ่ง
จีหมิงซิวเอาขนมไหว้พระจันทร์ส่วนที่นางกินเหลือเข้ามาโดยไม่มีลังเลสักนิด
หลัวหย่งจื้อกับอากุ้ยดื่มกันไปหนัก จึงนั่งพิงหลังพิงไหล่พูดคุยกันตามประสาคนเมา ป้าหลัวจับมือบุตรชายคนเล็กไว้ ถามว่าช่วงหลายเดือนที่เขาไปอยู่เมืองหลวงนี้เป็นอย่างไรบ้าง เด็กๆ สามคนกับเสี่ยวไป๋และจูเอ๋อร์คุกเข่าเล่นดีดลูกแก้วกันอยู่ที่พื้น
ไม่มีใครมองมาทางนี้ จีหมิงซิวจึงหอมแก้มเฉียวเวยเร็วๆ ทีหนึ่ง!
พอหอมเสร็จ วั่งซูก็เอาผลงานที่เล่นชนะมาได้วิ่งตึกตักๆ เข้ามาหา “ข้าชนะแล้วๆ!”
หน้าเฉียวเวยแดงระเรื่อเล็กน้อย หางตามีประกายระยิบระยับ เมื่อมีแสงจันทร์ส่องลงมา จึงเหมือนทะเลสาบที่มีไข่มุกกระจายอยู่เต็มไปหมด เป็นประกายระยิบระยับยิ่งนัก
จีหมิงซิวสงบนิ่งอย่างไม่น่าเชื่อ เขาลูบศีรษะเล็กๆ ของเด็กน้อย “เก่งจริงๆ”
วั่งซูถูไถอยู่กับฝ่ามือบิดา หลับตาลงด้วยความพอใจ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แต่มือของลุงหมิงช่างให้ความรู้สึกดีเหลือเกิน ดีมากจริงๆ!
จีหมิงซิวเอ่ยกลั้วหัวเราะเบาๆ “ลุงหมิงมีของมาให้เจ้ากับพี่ชายด้วย”
“อะไรหรือ” วั่งซูถามด้วยความอยากรู้
จีหมิงซิวบอกว่า “วางอยู่บนโต๊ะในห้องท่านแม่เจ้า”
“ข้าจะไปเอามา!”
วั่งซูวิ่งตึกตักตึกตักออกไป ไม่นานก็หอบเอาถุงกระดาษใบใหญ่กลับมา “ข้างในคืออะไรหรือ หอมเหลือเกิน!”
จีหมิงซิวหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดเหงื่อให้นาง แล้วถึงได้เปิดถุงกระดาษออก กลิ่นเกาลัดหอมสดชื่นลอยออกมา
สายตาเฉียวเวยพลันสั่นไหว
วั่งซูกลืนน้ำลายดังเอื้อก มองเม็ดกลมๆ ในถุงที่มันวาวเป็นประกาย “นี่คืออะไรหรือ ท่านลุงหมิง?”
จีหมิงซิวบอกว่า “เกาลัดคั่วน้ำตาล”
วั่งซูตาเบิกโตเป็นประกาย “เกาลัดคั่วน้ำตาล เกาลัดคั่วน้ำตาลจริงหรือ”
เฉียวเวยตกใจ เมื่อเช้าเจ้าเด็กนี้เพิ่งงอแงบอกอยากจะกินเกาลัดคั่วน้ำตาลอยู่ทีเดียว ตกบ่ายเขาก็เอามาให้ เป็นเพราะพ่อลูกใจส่งถึงกันจริงๆ หรือ
“ขอบคุณท่านลุงหมิง!” วั่งซูหอมแก้มจีหมิงซิวให้ฟอดหนึ่ง ก่อนจะหอบเอาเกาลัดเข้าไปหาจงเกอร์กับพี่ชาย
จีหมิงซิวมองบุตรสาวที่กระโดดโลดเต้นจากไป มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มโดยไม่รู้ตัว เขาคิดอะไรขึ้นมาได้จึงถามว่า “ท่านพ่อเราเป็นอย่างไรบ้าง”
เฉียวเวยพลันหน้าขรึม “ท่านพ่อข้า”
จีหมิงซิวเลิกคิ้ว “ท่านพ่อเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
เฉียวเวยถอนหายใจด้วยความจนใจ “ชีพจรดีขึ้น แค่เพียงยังไม่เห็นว่าจะฟื้นเท่านั้น ใช่เพราะผลสองภพนั่นไม่ถูกกับโรคของเขาหรือไม่”
จีหมิงซิวเอ่ยว่า “หากไม่ถูกโรค ชีพจรของเขาก็คงไม่ดีขึ้น”
เฉียวเวยใช้ความคิด “ที่ท่านพูดก็จริง แต่เหตุใดถึงยังไม่ฟื้นสักทีเล่า ชีพจรของเขาปกติดีหมดแล้วนี่…”
ระหว่างที่พูด เฉียวเวยก็หันไปมองบ้านทางด้านหลัง นางลุกขึ้นบอกว่า “ข้าจะไปดูพ่อข้าหน่อย”
“ข้าไปก็แล้วกัน ทางนั้นมีคนเรียกเจ้าอยู่” จีหมิงซิวชี้ไปทางโรงงาน
ท้องฟ้ามืดสนิท ชีเหนียงกำลังมองมาทางเฉียวเวยด้วยความร้อนใจ
เฉียวเวยลุกขึ้นยืน “ข้าไปแปปเดียวเดี๋ยวกลับมา ท่านรอข้าอยู่ที่นี่นะ”
จีหมิงซิวเอ่ยคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ไม่ยอมให้ข้าพบใต้เท้าพ่อตาหรือ”
“ไม่ให้” เฉียวเวย
“อ้อ” จีหมิงซิวเลิกคิ้ว “ยอมรับว่าเป็นพ่อตาข้าแล้ว”
อีตานี่! อย่ามาขุดหลุมแกล้งกันบ่อยนักได้หรือไม่! รังแกคนสายวิทย์ที่ไม่เก่งเรื่องใช้คำหรืออย่างไร!
ก่อนหน้านี้ยังมีฟองสีชมพูลอยฟ่องอยู่เลย มาตอนนี้กลับแตกไปหมดแล้ว เฉียวเวยถลึงตาใส่เขาทีหนึ่งก่อนจะสาวเท้าเดินไปทางชีเหนียง
ชีเหนียงเหลือบมองอากุ้ยที่อยู่ห่างไปไม่ไกลด้วยความรู้สึกผิด นางดึงเฉียวเวยไปตรงมุมหนึ่งด้วยความร้อนใจ
จีหมิงซิวกวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วหยุดที่มองพังพอนหิมะตัวน้อยสีขาว เสี่ยวไป๋บังเอิญมองมาที่เขาพอดีเช่นกัน เขาเลยกวักมือเรียกเสี่ยวไป๋
เสี่ยวไป๋วิ่งตัวปลิวเข้ามา
จีหมิงซิวจับตัวมันไว้โดยไม่พูดพร่ำทำเพลง แล้วหิ้วตัวมันไปทางห้องของเฉียวเจิง
แผงคอด้านหลังของเสี่ยวไป๋ถูกจับไว้แล้ว อุ้งเท้าทั้งสี่ของมันตะกุยตะกายราวกับลูกหมาตกน้ำ!
จีหมิงซิวควักกริชออกมาจากอกเสื้อ “ยื่นมือมา”
NO!
เสี่ยวไป๋กอดอุ้งมือตัวเองไว้แน่น
“ยื่นออกมากรีดทีเดียว ไม่ยื่นกรีดสองที”
เหอะ!
เสี่ยวไป๋ยิ่งกอดอุ้งมือตัวเองแน่นเข้าไปใหญ่
“ข้าจะนับถึงสาม อย่าบังคับให้ข้าต้องหยาบคาย”
เสี่ยวไป๋ยิ่งๆๆ กอดอุ้งมือตัวเองไว้แน่น เป็นตายอย่างไรก็ไม่ปล่อย!
จีหมิงซิวเอ่ยอย่างนึกสนุกว่า “ให้เจ้าถูหน้าอก”
เสี่ยวไป๋กรอกตาบนใส่ หน้าอกเจ้ามีขน น่าถูเมื่อไรกัน ถ้าแน่จริงก็ให้ถูน้องชายเจ้าสิ!
“อ๊า…”
ก้นมันถูกจิ้ม เสี่ยวไป๋ร้องลั่น
“มีแค่อุ้งมือที่มีเลือดหรือไร ไร้เดียวสา” จีหมิงซิวพูดด้วยความสบายใจจบ ก็เก็บกริชลง จับคางเฉียวเจิงไว้ บังคับให้เฉียวเจิงอ้าปาก เลือดพังพอนหยดแหมะๆ ลงในปากของเฉียวเจิง
หลังจากนั้นหนึ่งเค่อ เฉียวเวยกลับไปที่เรือนหน้า จีหมิงซิวนั่งอยู่บนเก้าอี้ เสี่ยวไป๋นอนอยู่บนตักเขาอย่างว่า (ถูก) ง่าย (บังคับ) โดยมีจีหมิงซิวลูบขนให้
“กลับมาแล้วหรือ” จีหมิงซิวยิ้มอย่างไร้พิษสง “ใช่ว่าผู้ดูแลของเจ้ามีเรื่องอะไรหรือไม่”
ไม่มีอะไร ปิ่นนางหล่นหาย ให้ข้าช่วยหาให้ แต่ตอนนี้มืดแล้ว มองอะไรไม่เห็นทั้งนั้น พรุ่งนี้ค่อยหาก็แล้วกัน” เฉียวเวยนิ่งไปก่อนจะมองเขาด้วยสายตาระแวดระวัง “ท่านไม่ได้ไปกวนพ่อข้าใช่หรือไม่ คงไม่ได้พูดอะไรเหลวไหลต่อหน้าเขาใช่หรือไม่ เวลานี้ถึงแม้เขาจะยังไม่ฟื้น แต่หูเขาฟังได้ยินนะ!”
จีหมิงซิวยิ้มน้อยๆ เผยให้เห็นฟันขาวเรียงตัวสวย “ไม่มีทางแน่นอน ข้านั่งชมจันทร์กับเสี่ยวไป๋อยู่ตรงนี้ตลอด เชื่อฟังมาก ใช่หรือไม่ เสี่ยวไป๋?”
เสี่ยวไป๋ ฮือๆ หนูเจ็บ
เฉียวเวยรู้สึกว่าทั้งคนทั้งสัตว์ดูแปลกๆ แต่แปลกที่ตรงใดนางก็บอกไม่ถูก “เช่นนั้นข้าไปดูพ่อข้านะ”
“ไปเถอะ” จีหมิงซิวเอ่ยยิ้มๆ
เฉียวเวยเดินเข้าไปในบ้าน ตอนเปิดประตูห้องเข้าไป นางเห็นบุรุษคนหนึ่ง จิตใต้สำนึกของนางบอกว่านางเข้าห้องผิด จึงถอยกลับออกไปเงียบๆ แต่แล้วจู่ๆ ก็รู้สึกว่าไม่ใช่ จึงเปิดประตูออกจนกว้างสุด!
เป็นเฉียวเจิง!
ไม่ใช่นอนอยู่ แต่เป็นนั่งอยู่ตรงหัวเตียง กำลังมองมาที่นางด้วยสายตาอบอุ่นและรักใคร่