หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 166-1 แฝดสาม
ตอนที่ 166-1 แฝดสาม
สวีซื่อเดินไปเดินมาอยู่นอกโถงรับแขกอยู่นานโดยไม่รู้ว่าข้างในพูดคุยอะไรกันบ้าง นี่ก็ใกล้จะหนึ่งชั่วยามแล้ว ยังไม่เห็นใครออกมาเสียที ได้ยินเพียงเสียงเดือดดาลของผู้อาวุโสดังแว่วมาเท่านั้น คิดดูแล้วคงมีเรื่องขัดแย้งกับสองพ่อลูกเฉียวเจิงเป็นแน่
ขัดแย้งก็ขัดแย้งไปเถอะ ทางที่ดีให้ปลดเฉียวเจิงออกจากตำแหน่งประมุขตระกูลไปเสีย หากเป็นเช่นนั้นเรือนรองจะได้กลับเข้าตระกูลเฉียวได้เสียที
เมื่อผ่านความลำบากมามากพอ ถึงได้รับรู้ว่าความมั่งคั่งของตระกูลเฉียวนั้นเป็นเรื่องหาได้ยากเพียงใด ไม่รู้ว่าตอนนั้นเฉียวเวยออกไปตกระกำลำบากตั้งหกปีได้อย่างไร ต้องบอกก่อนว่า นางแค่หกวันก็แทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว!
“น้องสี่!” ระหว่างที่สวีซื่อกำลังเดินหมุนไปมาอยู่นั้น ก็เป็นเฉียวปี้เดินสาวเท้ายาวๆ ออกมา
“พี่สะใภ้รอง” เฉียวปี้เอ่ยทักทายเรียบๆ
ช่วงที่ผ่านมาสวีซื่อถูกคนมองด้วยสายตาเย็นเยียบมาพอแล้ว นางจึงรู้สึกชาชินกับท่าทีของเฉียวปี้ เมื่อเทียบกับเรื่องนี้แล้ว นางสนใจสถานการณ์ด้านในมากกว่า “น้องสี่ พวกเขาคุยกันเป็นอย่างไรบ้าง พวกผู้อาวุโสไม่พอใจมากเลยใช่หรือไม่ ข้าฟังอยู่ ดูเหมือนจะโต้เถียงกันด้วย!”
“ไม่พอใจมากทีเดียว พี่ใหญ่กับผู้อาวุโสทั้งหกแตกหักกันแล้ว”
สวีซื่อลอบยินดี เดิมทีคิดว่าเฉียวเจิงเป็นคนไม่อะไร เป็นไปไม่ค่อยได้ที่จะมีเรื่องเบาะแว้งกับใคร แต่ใครจะคิดเล่าว่าเขาจะมีเรื่องกับผู้อาวุโสทั้งหกง่ายๆ เช่นนี้ ช่างมีเรื่องกันได้ดีเหลือเกิน!
“เขาทำให้ผู้อาวุโสทั้งหลายไม่พอใจ ผู้อาวุโสไม่ว่าอะไรหรือ” สวีซื่อถามต่อทันที
เฉียวปี้ปรายตามองนางอย่างดูแคลน “ว่าสิ”
“ว่าอย่างไร” สวีซื่อถามต่อ
เฉียวปี้เอ่ยอย่างเห็นเป็นเรื่องน่าขันว่า “บอกว่าจะปลดพี่ใหญ่ลง แล้วให้พี่รองเป็นประมุขตระกูลแทน”
รู้อยู่แล้วเชียวว่าต้องเป็นเช่นนี้!
ผู้อาวุโสทั้งหกใช่คนที่มีเรื่องด้วยง่ายๆ หรือ หากมีเรื่องด้วยง่ายๆ ตอนนั้นเขาคงไม่ถึงขั้นบีบเฉียวซื่อออกจากตระกูลเฉียว ต้องรู้ก่อนว่าตอนนั้นเหล่าไท่ไท่ยังอยู่อยู่เลย นางยังได้แต่อึ้งทำอะไรไม่ได้ เห็นได้ว่าผู้อาวุโสเหล่านั้นเก่งกาจกันเพียงใด
ตอนนั้นที่ทำตำแหน่งประมุขตระกูลหลุดมือไป เป็นเพราะหลงกลนังเด็กนั่นทั้งสิ้น! ไม่ใช่เพราะพวกผู้อาวุโสไร้สามารถ!
ที่นี้อย่างไร อีกไม่นานพวกผู้อาวุโสก็จะไล่ตะเพิดทั้งสองพ่อลูกนั่นออกจากตระกูลเฉียวแล้ว!
เฉียวปี้คร้านจะเสียเวลาคุยกับนาง จึงจะยกเท้าเดินผ่านนางไป
สวีซื่อเรียกเฉียวปี้ไว้ “น้องสี่ เจ้าจะไปไหนหรือ”
“ไปร้องเรียนต่อทางการน่ะสิ!” เฉียวปี้ตอบออกมาทันที
“ร้อง ร้องเรียน?” สวีซื่ออึ้งไป “พวกผู้อาวุโสจะร้องเรียนทางการให้จับพี่ใหญ่เจ้า?”
เฉียวปี้ปรายตามองนาง “ผิดแล้ว พี่ใหญ่ต่างหากที่จะร้องเรียนจับพวกผู้อาวุโส”
สวีซื่องงไปหมด “เพราะ เพราะอะไรกัน”
เฉียวปี้ “หวังดี” อธิบายให้นางฟังว่า “ดูเหมือนจะเป็นเรื่องสินเดิมของพี่สะใภ้ใหญ่นะ ในราชวงศ์ต้าเหลียงไม่มีกฎว่าสามารถฮุบสินเดิมมาเป็นของตนได้ ไม่สะใภ้ใหญ่ก็ใช่ว่าจะไม่มีทายาท นอกจากเสี่ยวเวยแล้ว ไม่มีใครสามารถยุ่งกับของนางได้มั่วซั่วทั้งสิ้น”
สวีซื่อหน้าซีดลงทันตา…
ภายในโถงรับแขก พวกผู้อาวุโสตกอกตกใจกันยกใหญ่ที่พวกตนจะถูกร้องเรียนต่อทางการ พากันต่อว่าเฉียวเจิงว่าทำเกินไป เรื่องน่าอัปยศของตระกูลไม่ควรให้คนข้างนอกรู้ เขาจะเอาเรื่องฮุบสมบัติลูกสะใภ้ไปฟ้องถึงจวนทางการ? ไม่เท่ากับให้คนอื่นเห็นบ้านตระกูลเฉียวเป็นที่น่าหัวเราะหรอกหรือ
ผู้อาวุโสสี่ ผู้อาวุโสห้าแข็งข้อต่อไปไม่ไหวแล้ว
ผู้อาวุโสใหญ่เอ่ยด้วยความหนักใจว่า “เจิงเอ๋อร์เอ๋ย มีอะไรค่อยพูดค่อยจากันก็ได้ ข้ารู้ว่าเจ้าลำบากมาตอนอยู่ข้างนอก พวกข้าผิดต่อเจ้า เจ้าคิดอย่างไร ในใจมีเรื่องอะไรคับข้องอยู่ บอกลุงมาได้เลย ลุงจะจัดการให้เจ้าเอง”
ผู้อาวุโสหกก็เข้ามาไกล่เกลี่ย “จริงด้วยๆ เจิงเอ๋อร์ เรื่องในตระกูลเราเอง ปิดประตูแก้ไขกันก็พอ เหตุใดต้องทำเป็นเรื่องใหญ่ให้คนเขารู้กันทั่วด้วย หากเหล่าไท่เหยียที่ตายไปรู้เข้า คงอยู่ไม่สงบแน่!”
เฉียวเจิงคิดถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดในตระกูลแล้วรู้สึกคล้ายมีมีดกรีดลงกลางใจ “พวกท่านยังรู้จักกลัวว่าท่านพ่อข้าที่อยู่ในปรโลกจะไม่สบายใจด้วยหรือ ตอนไล่บุตรสาวข้าออกจากตระกูล เคยคิดบ้างหรือไม่ว่าบิดาข้าที่อยู่ในปรโลกจะรู้ ตอนบังคับให้ท่านแม่ข้าตัดขาดกับตระกูลเฉียว เคยคิดหรือไม่ว่าท่านพ่อข้าที่อยู่ในปรโลกจะรู้”
ผู้อาวุโสหกไม่รู้จะพูดต่ออย่างไร
ผู้อาวุโสใหญ่ทำหน้าจนใจ “ท่านแม่เจ้าจะออกจากตระกูลเฉียวของนางเอง พอไม่ให้นางไป นางก็อดอาหาร พวกเราเลยจนปัญญา”
เฉียวเจิงนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ถึงได้พึมพำขึ้นว่า “เช่นนั้นผู้อาวุโสใหญ่รู้หรือไม่ว่าเหตุใดนางถึงต้องไป”
ย่อมเป็นเพราะ… เรื่องที่ขับไล่บุตรสาวเจ้าออกจากตระกูลน่ะสิ
ผู้อาวุโสใหญ่ตอบไม่ถูก
ใต้หล้าขวักไขว่แสวงหาผลประโยชน์ ผู้คนคับคั่งแสวงหาผลกำไร
เรื่องเมื่อตอนนั้น เกิดขึ้นเพราะความโลภโมโทสัน เดิมทีก็บ่ายเบี่ยงอะไรไม่ได้อยู่แล้ว
“เจิงเอ๋อร์เอ่ย” ผู้อาวุโสใหญ่ก็นับว่ายอมเอาหน้าชราภาพของตนออกมาวางแล้ว เขาใช้น้ำเสียงที่เกือบเป็นการวิงวอนเอ่ยว่า “ดีเลวอย่างไรพวกเราก็เป็นผู้อาวุโสที่เห็นเจ้ามาตั้งแต่เด็ก ร่วมดูแลตระกูลเฉียวร่วมกับบิดาของเจ้ามาหลายปี ต่อให้ไม่มีความดีก็มีความตรากตรำ หากมีเรื่องอะไรที่ทำไม่ถูก ลุงขอโทษเจ้าไว้ตรงนี้ก็แล้วกัน เจ้าก็ช่วยเห็นแก่ที่พวกเราเป็นลุงหลานกัน อย่าได้กัดเรื่องนี้ไม่ปล่อยเลย
เฉียวเจิงเอ่ยด้วยความปวดใจว่า “บุตรสาวของข้าเคยขอร้องพวกท่านเช่นนี้หรือไม่ ท่านแม่ข้าเล่า เคยขอร้องพวกท่านเช่นนี้หรือไม่ พวกท่านได้เห็นแก่ความเป็นตระกูลเฉียวด้วยกัน ยอมอ่อนให้พวกนางหรือไม่”
สีหน้าผู้อาวุโสใหญ่บวมคล้ำจนกลายเป็นสีตับหมู
เฉียวเจิงไม่สนใจพวกผู้อาวุโสอีก เขาหันไปมองน้องชายที่เขารักและเอ็นดูที่สุด “น้องรอง ข้าดีต่อเจ้าไม่น้อย เหตุใดแม้แต่เจ้าก็ยังทำเช่นนี้กับข้า”
เฉียวเย่ว์ซานอยากจะดื้ดดึงไม่สนใจ แต่ก็ฝืนรักษาท่าทีกดดันผู้อื่นต่อไปไม่ไหว ชีวิตการงานในสำนักหมอหลวงของเขาลำบากยากเข็นขึ้นทุกวัน หากในตระกูลมีเรื่องการเปลี่ยนแปลงแพร่ออกไปอีก หนทางสู่อนาคตของเขาเกรงว่าคงต้องจบลงที่ตรงนี้
เขาเผยสีหน้าเจ็บปวดและรู้สึกผิด “พี่ใหญ่ ข้าเองที่ยังไม่ทันสืบให้กระจ่าง ก็ประกาศเรื่องการตายของท่านออกไปแล้ว และเป็นข้าเองที่ใจเสาะกลัวจะมีเรื่องมีราว เกรงว่าจวนยิ่นอ๋องจะมาล้างแค้น ถึงได้ทำให้ยัยหนูต้องลำบาก แต่ที่ข้าทำเช่นนี้ก็เพื่อตระกูลเฉียวจริงๆ และก็เพื่อยัยหนูด้วย สถานการณ์ในตอนนั้น หากพี่ใหญ่อยู่ ก็คงรู้ว่าแท้จริงแล้วมันสุ่มเสี่ยงเพียงใด ข้าหมดสิ้นหนทางแล้วจริงๆ!”
เฉียวเวยหัวเราะออกมา “ตายจริงท่านอารอง เมื่อครั้งก่อนที่ท่านพบข้า ท่านพูดว่าอย่างไร บอกว่าข้ากระทำผิดกฎวงศ์ตระกูล ต้องถูกจับใส่เล้าหมู การขับข้าออกจากตระกูลก็เพื่อปกป้องข้า เหตุใดแค่ไม่กี่วันผ่านไป ถึงได้เปลี่ยนมาบอกว่ากลัวยิ่นอ๋องจะล้างแค้นตระกูลเฉียวเสียแล้วเล่า ท่านอารองช่างพลิกลิ้นเก่งเหลือเกินนะ”
เฉียวเย่ว์ซานฝืนพูดต่อไปว่า “กลัวว่าเจ้าจะถูกจับใส่เล้าหมูก็เป็นเหตุผลหนึ่ง ข้าให้อาสะใภ้รองให้เงินเจ้าห้าพันตำลึง แต่ถูกอาสะใภ้รองของเจ้า…” เฉียวเย่ว์ซานพูดถึงตรงนี้ก็เริ่มรู้สึกพูดต่อไม่ออก
ในใจเฉียวเวยรู้ดีว่า ด้วยนิสัยของสวีซื่อ น่ากลัวว่านางจะทำเรื่องอมเงินพวกนี้ได้จริงๆ แต่นางไม่คิดจะเชื่อเฉียวเย่ว์ซานง่ายๆ เพราะถึงอย่างไรเขากับสวีซื่อก็ศีลเสมอกัน ไม่ใช่คนดีอะไรด้วยกันทั้งคู่ “อาสะใภ้รองไม่ได้ให้ ท่านอารองจะไม่รู้เชียวหรือ ท่านอารองกับอาสะใภ้รองเป็นสามีภรรยากันมานานปี อาสะใภ้รองเป็นคนเช่นไร ท่านอารองไม่รู้ดีแก่ใจหรอกหรือ ท่านอารองไม่สนใจความเป็นความตายของข้าตั้งแต่แรก บางทีแท้จริงแล้ว ในใจท่านอารองก็หวังที่จะยืมมืออาสะใภ้รองมากำจัดข้าอยู่เหมือนกันกระมัง เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่เพียงตะปูในลูกตาจะหายไป มือของท่านอารองก็ไม่ต้องแปดเปื้อนอีกด้วย”
สีหน้าเฉียวเย่ว์ซานเต็มไปด้วยความเสียใจ “เจ้ามองข้าเช่นนี้ได้อย่างไร”
เฉียวเวยยิ้มบางๆ “ท่านอารอง อย่ามาทำหน้าเป็นผู้ถูกรังแกสิ การเป็นห่วงใครสักคน มีวิธีตั้งมากมายที่ช่วยเหลือกันได้ ตลอดหกปีที่ผ่านมา ท่านไม่สนใจจะถามไถ่ถึงข้าสักนิด ซึ่งก็เป็นหลักฐานมัดตัวที่ดีที่สุดแล้ว”
เฉียวเจิงเอ่ยกับบุตรสาวว่า “ไม่ต้องเปลืองน้ำลายอีกแล้ว เรืองฮุบสินเดิมของแม่เจ้า เขาก็ได้ไปส่วนหนึ่งด้วย ให้เขาค่อยๆ เข้าไปขบคิดในคุกเถอะ”
เฉียวเวยระบายยิ้ม “เจ้าค่ะ”
เรื่องติดคุกติดตารางพวกนี้น่ะ อย่าได้แปลกใจไปนักเลย คนสารเลวพวกนี้น่ะ ควรไปนั่งสำนึกอยู่ในคุกนั่นแหละ!
คิดดูสิว่าพวกเขาทำอะไรกับนางกับท่านย่าบ้าง!
“พี่ใหญ่!” เฉียวเย่ว์ซานมองมาด้วยความร้อนรน เขาเป็นหมอหลวงเชียวนะ หากมีข่าวแพร่ออกไปว่าเขาฮุบสินเดิมพี่สะใภ้ใหญ่ เขายังจะอยู่ในสำนักหมอหลวงได้อีกหรือ
เฉียวเจิงคิดถึงสมัยยามที่ตนยังเป็นเด็ก ตนดีกับน้องชายลูกอนุผู้นี้จากใจจริง แต่พอตน “ตาย” เขาตอบแทนตนอย่างไร เขาขับไล่บุตรสาวคนเดียวของตนออกจากตระกูล! บีบให้มารดาของเขาออกไปพึ่งทางธรรม!
สายตาเฉียวเจิงมีแต่ความเย็นยะเยือก “อีกอย่าง เอาของของพี่สะใภ้ใหญ่เจ้าคืนมาด้วย”
เฉียวเย่ว์ซานบีบนวดหมัดตนเอง “ร้านยาข้าให้น้องสี่ไปแล้ว”
เฉียวเจิงสีหน้าดุดัน “เจ้ารู้ว่ายังมีอย่างอื่นอีก”
“นี่กำลังทำอะไรกันน่ะ หา? นี่กำลังทำอะไรกัน พี่น้องกันดีๆ เหตุใดถึงมีเรื่องมีราวกันขึ้นมาได้” เมิ่งซื่อมีสวีซื่อคอยประคองเข้ามา
หลังจากได้รู้ว่าเรือนใหญ่จะไปร้องเรียนต่อทางการ สวีซื่อก็รีบไปหาเมิ่งซื่อทันที ถึงอย่างไรเมิ่งซื่อก็เคยให้นมเฉียวเจิงมาพักหนึ่ง ถึงแม้ก่อนหน้านี้เฉียวเวยจะเคยไล่นางออกจาเรือนฝูโซ่วไป แต่ด้วยท่าทีก่อนหน้านี้ของเฉียวเจิง พวกบ่าวไพร่ก็ยังไม่กล้าเพิกเฉยต่อเหล่าไท่ไท่ผู้นี้
เมิ่งซื่อเข้ามาในโถงรับแขกได้โดยไม่ถูกใครขวางสักนิด สวีซื่อที่มากับนางก็เลยได้เข้ามาด้วย
เมิ่งซื่อมองเฉียวเวยที่อยู่ข้างกายเฉียวเจิง สีหน้าพลันเรียบเย็น “เจ้าอีกแล้ว! เจ้ามาทีไรเป็นต้องทำให้ตระกูลเฉียวไม่ได้อยู่กันอย่างเป็นสุขทุกที! เจ้าทนเห็นตระกูลเฉียวอยู่กันดีๆ ไม่ได้ใช่หรือไม่ จะต้องให้พ่อเจ้าโกรธแค้นพี่น้องของเขาให้ได้ใช่หรือไม่”
สายตาเฉียวเวยเยือกเย็นลง ดอกบัวแก่ดอกนี้ ถูกไล่ออกจากเรือนฝูโซ่วแล้วยังมาที่นี่ได้อีก คิดได้ไม่ยากเลยว่า ตอนนั้นนางคอยหาเรื่องท่านย่านางอย่างไร “เกี่ยวอะไรกับท่านด้วย ตระกูลเฉียวไม่ใช่ของท่านเสียหน่อย ข้าจะสร้างความวุ่นวายอย่างไรก็เรื่องของข้า ท่านพ่อข้ายังไม่พูดอะไรเลย ท่านจะเดือดร้อนไปไย”
เมิ่งซื่อหันไปหาเฉียวเจิงอย่างไม่อยากเชื่อ “เจิงเอ๋อร์ เจ้าฟังดูนะ เจ้าฟังดู! นี่คือบุตรสาวผู้แสนดีของเจ้า นางถึงขั้นพูดเช่นนี้กับข้า!”
เฉียวเจิงเป็นบุตรที่เมิ่งซื่อ “เลี้ยงมา” มากน้อยอย่างไรก็ต้องเห็นแก่หน้าเมิ่งซื่อบ้าง อย่างน้อยเมิ่งซื่อก็คิดเช่นนี้
แต่เมิ่งซื่อกลับไม่รู้เลยว่า เฉียวเจิงในเวลานี้ไม่ใช่เฉียวเจิงที่หัวอ่อนอย่างในอดีตอีกแล้ว สิบกว่าปีที่ต้องระหกระเหเร่ร่อน ต่อให้เป็นคนสติไม่ดี ก็ต้องคิดหาทางมีชีวิตต่อไปให้ได้ ใจที่ถูกขัดเกลาเช่นนั้น ได้สร้างความแข็งกระด้างที่ยากจะจินตนาการไว้ให้เขาแล้ว
เฉียวเจิงหันไปมองเมิ่งซื่อ นัยน์ตามีแววซับซ้อนวาบผ่าน “เมิ่งอี๋เหนียง นี่เป็นเรื่องในตระกูลเฉียวของพวกข้า ขอท่านอย่าได้ยื่นมือเข้ามายุ่ง”
เมิ่งซื่อได้ยินอย่างนั้นก็อึ้งไป “เจิงเอ๋อร์!”
ระหว่างที่พูดนั้น นายท่านสี่ก็ได้เชิญเจ้าหน้าที่จากจวนเจ้าเมืองเข้ามาแล้ว มากันทั้งหมดสิบกว่าคน ความยิ่งใหญ่นี้ พอที่จะรับมือกับพวกผู้อาวุโสได้แล้ว
พวกผู้อาวุโสตกใจกันจนแข้งขาอ่อน
เมิ่งซื่อตะโกนเสียงแหลมว่า “เจิงเอ๋อร์! เจ้าทำเช่นนี้ไม่ได้นะ! เจ้าจะจับผู้อาวุโสของตระกูลกับน้องชายของเจ้าเข้าคุก เจ้าไม่กลัวคนอื่นจะหัวเราะเยาะเอาหรือ”
เฉียวเจิงถามกลับว่า “อี๋เหนียงคิดว่าเวลานี้ข้ายังมีเรื่องใดต้องกลัวอีกหรือไม่”
เมิ่งซื่ออึ้งงันไป
ใช่สินะ ตำแหน่งขุนนางเขาก็ไม่มีแล้ว ภรรยาก็ตายแล้ว ไม่มีอะไรให้สูญเสียอีก และก็ไม่มีอะไรต้องกลัวแล้วด้วย
ส่วนตระกูลเฉียว เมิ่งซื่อเห็นเพียงความผิดหวังในสายตาของเขา ถึงแม้ตระกูลเฉียวจะต้องล่มสลายกันไปทั้งหมด เขาก็จะต้องทวงคืนความยุติธรรมให้บุตรสาวให้ได้
เจ้าพนักงานพาตัวผู้อาวุโสทั้งหลายไป
เฉียวเย่ว์ซานเป็นท่านโหวที่ฮ่องเต้แต่งตั้งด้วยพระองค์เอง ไม่อาจปฏิบัติเช่นเดียวกันได้ แต่ก็ถูก “เชิญ” ไปยังจวนเจ้าเมืองเพื่อช่วยในการสอบสวน แค่เพียงไม่รู้ว่าการไปช่วยครั้งนี้จะกินเวลานานเท่าไร
เฉียวเจิงเอ่ยต่อว่า “อี๋เหนียงอายุมากแล้ว ควรจะอยู่ใช้ชีวิตช่วงบั้นปลายให้สงบ โลกภายนอกมีเรื่องให้ต้องกังวลมากมาย สู้ย้ายไปอยู่ที่อารามเต๋า ออกห่างจากทางโลกจะดีกว่า!”
เมิ่งซื่อ: “เจิงเอ๋อร์?!”
เฉียวเวยเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ท่านย่าข้าไปอยู่ที่อารามเต๋าห้าปี กินดีอยู่ดีเสื้อผ้าอาภรณ์ดี แค่เพียงคิดถึงพี่น้องที่เคยสนิทชิดเชื้อกันเล็กน้อยเท่านั้น เมิ่งอี๋เหนียงสู้ไปอยู่ที่นั่นจะดีกว่า เผื่อวันใดท่านย่าข้าเป็นวิญญาณกลับมาเยี่ยม จะได้มีคนพูดคุยเรื่องเก่าๆ เป็นเพื่อนนาง”
เมิ่งซื่อแค่ได้ยิน ตัวก็พลันอ่อนลงไปกองกับพื้น…
เดิมทีคิดจะให้เมิ่งซื่อมาช่วยเสริมทัพ คิดไม่ถึงว่าแม้แต่เมิ่งซื่อก็พลอยเดือดร้อนไปด้วย แล้วตนเองยังมีอะไรน่าคาดหวังอีก ดวงตาของสวีซื่อมีน้ำตาไหลลงมา นางเดินไปตรงหน้าเฉียวเจิง ทรุดลงคุกเข่า “พี่ใหญ่! จะผิดเป็นร้อยเป็นพันครั้งก็เป็นความผิดข้าทั้งสิ้น! ข้าขอร้องท่านล่ะ ปล่อยนายท่านรองไปเถอะ! นายท่านรองเป็นน้องชายที่เป็นมือเท้าให้กับท่านนะ! ท่านจะผลักเขาลงกองไฟไม่ได้… หากเกิดอะไรขึ้นกับเขา แล้วพวกเราแม่หม้ายลูกกำพร้าที่เหลืออยู่จะทำอย่างไร”
เฉียวเจิงไม่สั่นไหวกับน้ำตาของนาง ความสงสารทั้งหมดของเขา มลายหายไปตั้งแต่วินาทีที่ได้รู้ความจริงแล้ว “ลูกสาวข้าก็ใช้ชีวิตมาอย่างแม่หม้ายลูกกำพร้าเช่นกันนี่ นางมีชีวิตเช่นนั้นได้ เจ้าเป็นอาสะใภ้ของนาง เจ้าเก่งกว่านาง คิดแล้วคงจะได้เช่นกันกระมัง”
“พี่ใหญ่! พี่ใหญ่! ท่านทำเช่นนี้ไม่ได้นะ!”
เฉียวเจิงไปแล้ว สวีซื่อรีบตามไป คุกเข่าลงอีกครั้ง จับมืออีกฝ่ายไว้ “พี่ใหญ่ จ้งชิงกับอวี้หลินเป็นหลานชายของท่าน พวกเขาไม่ได้ทำอะไรผิดนะ… ท่านช่วยเห็นแก่พวกเขา… อย่าให้พวกเขาไร้ที่พึ่งตั้งแต่อายุยังน้อยเท่านี้เลย…”
เฉียวเจิงชะงักไป “จ้งชิง คืนนั้นเขาซื้อตัวนักฆ่าทั้งหมดเพื่อมาลอบสังหารข้ากับเสี่ยวเวย ยาพิษยังเข้าปากเสี่ยวเวยไปแล้วด้วย เจ้าไม่เอ่ยถึงเขาก็แล้วไปอย่าง แต่พอเอ่ยขึ้นมา ข้าถึงได้นึกขึ้นได้ว่ายังมีปลาที่ลอดจากแหไปอีกตัวหนึ่ง”
ในใจสวีซื่อพลันมีลางสังหรณ์ไม่ดีแล่นขึ้นมา “พี่ใหญ่! พี่ใหญ่! พี่ใหญ่ท่านจะทำอะไร!”
เฉียวเจิงเอ่ยสั่งว่า “ว่าจ้างมือสังหารให้มาฆ่าคนเป็นโทษหนัก ร้องเรียนต่อทางการไปด้วยก็แล้วกัน”
เฉียวปี้พยักหน้า “ทราบแล้วขอรับ พี่ใหญ่”
ครานี้ แม้แต่บุตรชายก็ติดร่างแหไปด้วย สองตาสวีซื่อลอยคว้าง ก่อนจะเป็นลมสลบลงกับพื้น
เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ฮูหยินสามตกใจจนทำอะไรไม่ถูก โชคดีที่นายท่านสามไม่อยู่ ไม่อย่างนั้น เขาจะถูกจับไปด้วยหรือไม่…
เรื่องเล็กน้อยที่เหลือส่งต่อให้เฉียวปี้กับฮูหยินสี่จัดการ เฉียวเจิงพาเฉียวเวยที่เห็นชัดว่าสบายใจขึ้นมากออกจากโถงรับแขกไป
ซาลาเปาสองก้อนจับกระต่ายกันอยู่ในสวน ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล กระต่ายพอเห็นวั่งซูก็ตัวสั่น อยู่นิ่งๆ ปล่อยให้นางจับ วั่งซูจับได้ตัวหนึ่งก็เอาไปให้พี่ชาย จิ่งอวิ๋นก็ปล่อยกระต่ายให้วิ่งหนีไป แต่ปล่อยให้หนีไปก็ไม่เป็นไร เมื่อมีเด็กน้อยพลังมหาศาลคอยกดดันอยู่ พวกมันก็แข้งขาอ่อนจนไม่แรงจะฮึดสู้แล้ว
เฉียวเจิงเดินเข้าไปหา “วั่งซู จิ่งอวิ๋น”
“ท่านตา!” ซาลาเปาทั้งสองวิ่งเข้ามาพร้อมกัน ในมือวั่งซูยังจับกระต่ายสีขาวอยู่ตัวหนึ่ง
วั่งซูส่งกระต่ายให้เฉียวเจิง “ท่านตา ท่านดูกระต่ายที่ข้าจับมาสิ!”
นี่เขาคิดไปเองหรือ เหตุใดเขาถึงรู้สึกว่ากระต่ายตัวนี้กำลังตัวสั่น…
เฉียวเจิงยิ้มเอ่ยว่า “วั่งซูเก่งมากเลย”
วั่งซูพยักหน้า “ใช่แล้ว! ข้าเก่งที่สุดเลย!”
ช่างเป็นเด็กที่ไม่รู้จักถ่อมตนเอาเสียเลย!
วั่งซูหยิบเกาลัดเม็ดหนึ่งออกมาจากกระเป๋าตรงเอว “พี่ชาย ให้เจ้ากิน”
จิ่งอวิ๋นเบือนหน้าหนีด้วยความรังเกียจ
วั่งซูเลยเอาไปให้เฉียวเวย “ท่านแม่ ให้ท่าน”
เฉียวเวยก็เบือนหน้หนีด้วยความรังเกียจ
ดวงใจน้อยๆ ของวั่งซูถูกทำให้เสียใจ นางมองเฉียวเจิงอย่างน่าสงสาร “ท่านตา…”
มุมปากเฉียวเจิงกระตุกเล็กน้อย “ตากินๆ ตาชอบกินเกาลัดที่สุดเลย!”
วั่งซูเอ่ยแก้ให้ “เกาลัดคั่วน้ำตาลต่างหาก!”
ไม่เหลือน้ำตาลแล้วต่างหาก ถูกเจ้าเลียไปหมดแล้ว
เฉียวเจิงเอาเกาลัดคั่วน้ำตาลที่วั่งซูให้กินเข้าไปในปาก
“อร่อยไหม ท่านตา?” ดวงตาวั่งซูเต็มไปด้วยความคาดหวัง
เฉียวเจิงยิ้ม “อร่อยจ้ะ”
วั่งซูยกกระเป๋าเล็กๆ ที่เอวขึ้นมา “เช่นนั้นพวกนี้ให้ท่านตาหมดเลย!”
เฉียวเจิง: “!”
…
ตกบ่ายเฉียวเจิงไปที่ศาลบรรพชน หลังจากจัดการเหล่าผู้อาวุโสและเรือนรองไปรวดเร็วดั่งสายฟ้าฟาดแล้ว เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนำชื่อเฉียวเวยใส่กลับเข้าไปยังบัญชีตระกูลอีกครั้ง จึงไม่มีใครกล้ามีความเห็นเป็นอื่นอีก
เฉียวเวยก้มหน้ามองป้ายหยกในมือที่เป็นประกายวาวใส นางเอ่ยด้วยความตกใจว่า “นี่คือตราของตระกูล?”
เฉียวเจิงตอบว่า “ใช่แล้ว เมื่อมีของสิ่งนี้ เจ้าก็คือคนตระกูลเฉียวโดยแท้จริง”
เฉียวเจิงเอาไปสะท้อนกับแสงไฟ “หยกชั้นดีเชียวนะนี่” คงขายได้เงินไม่น้อยกระมัง หากเกิดวันใดตกต่ำ สามารถใช้เปลี่ยนเป็นเนื้อกินได้หลายมื้อทีเดียว
เมื่อคิดเช่นนี้ เฉียวเวยจึงเอาตราตระกูลเก็บเอาไว้อย่างดี
เมื่อเห็นบุตรสาวเก็บรักษาตราตระกูลเอาไว้ด้วยความระมัดรัง เฉียวเวยก็วางใจยิ่งนัก
เรือนหลันย่วนและเรือนของเฉียวเวยกำลังอยู่ในระหว่างซ่อมแซมทั้งคู่ ไม่สะดวกเข้าไปพักอาศัย แต่กลับมีเรือนหลังเล็กที่สะอาดสะอ้านอยู่หลายเรือน แต่เฉียวเจิงคิดถึงการค้าของเฉียวเวย จึงตัดสินใจที่จะกลับขึ้นเขาไปก่อน
บนรถม้า เฉียวเวยพึมพำว่า “ยังมียิ่นอ๋องที่น่ารังเกียจอีกคน คราก่อนเขาถูกสือชีทำร้ายจนบาดเจ็ดหนักถึงได้ยอมรามือ ไว้รอเขาหายดีแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะกลับมาขี้ตู่ว่าเป็นลูกของตนอีกก็ได้!”
เมื่อเทียบกับพวกคนชั่วในบ้านตระกูลเฉียวเหล่านั้นแล้ว ยิ่นอ๋องต่างหากที่เลวร้ายกว่าใครเพื่อน เดิมทีก็เป็นเขาที่ไม่แยกแยะถูกผิด ผลักเฉียวซื่อเข้าสู่เตาไฟ มาวันนี้ยังทำตัวตามอำเภอใจสารพัด เดือนนี้ถึงแม้เขาจะไม่ได้มาทำตัวน่ารำคาญใส่อีก แต่แค่คิดถึงความตอแยของเขาเมื่อก่อนหน้านี้ ในใจเฉียวเวยก็พลันร้อนรุ่มขึ้นมาอีกแล้ว
เฉียวเจิงไม่อาจมีความรู้สึกที่ดีต่อบุรุษที่แทงบุตรสาวของตนได้ “วางใจเถอะ พ่อจะจัดการเอง”
คืนนั้น ยิ่งอ๋องก็ได้รับเทียบเชิญจากเฉียวเจิง เนื้อความโดยรวมคือเชิญเขาไปพูดคุยที่บ้าน มีเรื่องอยากหารือด้วย
“ตายจริง ท่านเจิงปั๋วยังมีชีวิตอยู่!” ขันทีหลิวทำท่ากรีดกรายพร้อมสีหน้าตกตะลึง
ช่วงนี้เขาปิดประตูรักษาตัวอยู่ในจวนอ๋อง ไม่ค่อยได้สนใจเรื่องข้างนอกนัก จึงไม่รู้ว่าเฉียวเจิง “ตายแล้วฟื้นกลับมาใหม่” แล้ว
ยิ่นอ๋องมองเทียบเชิญของเฉียวเจิงแล้วไม่พูดอะไรอยู่นาน
ขันทีหลิวกระแอมให้ลำคอโล่ง “ท่านอ๋อง?”
ยิ่นอ๋องเอ่ยเสียงขรึมว่า “ยังมีเรื่องอะไรที่ข้าไม่รู้อีก”
ขันทีหลิวยิ้มแหยๆ “ก็ไม่มีอะไรแล้ว ก็แค่… ก็แค่ฮูหยินนางจัดการซู่ซินจงไปแล้ว”
จัดการไปแล้ว ไม่ใช่ทำให้ไม่พอใจ เห็นได้ว่าสุดท้ายแล้วคนที่เสียประโยชน์ไม่ใช่นาง
ยิ่นอ๋องขมวดคิ้วทันที “ซู่ซินจงไม่ใช่สำนักที่จีหมิงซิวเป็นศิษย์อยู่หรือ แม้แต่สำนักที่ตนชอบพอเป็นศิษย์อยู่ นางก็ยังกล้ามีเรื่องด้วยหรือ”
“ถึงได้บอกว่า สตรีนางนี้ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเกินไป โชคดีที่ท่านอ๋องไม่ได้แต่งนางเป็นภรรยา!” ขันทีหลิวช่างเลียแข้งเลียขาได้เปียกชุ่มดีเหลือเกิน “ท่านอ๋อง ท่านว่าที่จู่ๆ ท่านเฉียวก็นัดท่านให้ไปหา เพราะตั้งใจจะทำอะไรหรือ”
ยิ่นอ๋องตอบตามตรง “ยังจะมีเรื่องอะไรได้อีก ข้านอนกับบุตรสาวของเขา บุตรสาวของเขาให้กำเนิดบุตรของข้า คิดจะให้ข้ามอบฐานะให้บุตรสาวของเขาก็เท่านั้น”
ขันทีหลิวทำหน้าอึ้งไป “เช่นนั้นท่านอ๋องคิดจะให้หรือไม่”
ยิ่นอ๋องเอ่ยอย่างใช้ความคิด “ถึงอย่างไรจิ่งอวิ๋นก็เป็นบุตรชายคนโตของข้า ไม่อาจเพิกเฉยต่อเขาเกินไปได้”
ขันทีหลิวชะงักไป “แต่ว่าท่านเพิ่งทำให้ตระกูลหลัวไม่พอใจ ประเด็นสำคัญคือ หากเรื่องนี้มีคนปล่อยข่าวไปว่าจะท่านแต่งงานกับแม่นางตระกูลเฉียว เกรงว่า… คงทำให้จวนแม่ทัพไม่พอใจกระมัง ทางด้านฮ่องเต้ท่านก็คงอธิบายไม่ได้”
ยิ่นอ๋องเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “จวนแม่ทัพจะไม่พอใจก็เพียงชั่วคราว ไว้รอให้พวกเขารู้ก่อนว่าข้าไม่ได้มีความรู้สึกใดๆ ให้เฉียวซื่อ ก็คงไม่รู้สึกติดใจอะไรเอง”
เรื่องราวจะเป็นดังเช่นที่ยิ่นอ๋องคิดไว้จริงๆ หรือ เหตุใดเขาถึงรู้สึกว่าไม่ค่อยเป็นไปได้ที่จะราบรื่นเช่นนั้นเลยนะ
“เตรียมของขวัญชิ้นใหญ่ไว้ ข้าจะไปสู่ขอที่บ้านตระกูลเฉียว!”
เฉียวเวยที่ยังไม่รู้ว่ายิ่นอ๋องเข้าใจความตั้งใจของบิดาตนผิดไปมหันต์ เมื่อกลับขึ้นเขามาก็ทำอาหารรสเลิศเสียเต็มโต๊ะ เพื่อฉลองกับบิดาให้ดีสักหน่อย ทั้งยังเอาสุราองุ่นที่ผู้ดูแลฉิวให้มาเทดื่มด้วย ความสามารถในการดื่มสุราของเฉียวเวยต้องได้มาจากเฉียวเจิงแน่ๆ เฉียวเจิงแค่ดื่มไปครึ่งแก้ว ก็ฟุบลงกับโต๊ะ เมาหลับไปแล้ว!
“จึ๊ๆ สมกับเป็นพ่อแท้ๆ ของข้าจริงเชียว!” เฉียวเวยประคองเฉียวเจิงกลับห้อง เมื่อเก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว ก็ไปอาบน้ำให้บุตรทั้งสอง