หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 166-2 แฝดสาม
ตอนที่ 166-2 แฝดสาม
จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูกระโดดไปมาอยู่บนเตียง
“เหตุใดถึงคึกคักเพียงนี้” เฉียวเวยถามอย่างเห็นขัน
วั่งซูกระโดดโลดเต้นจนปลายจมูกมีเหงื่อออกมา “ข้ากับพี่ชายมีบ้านสองหลังแล้ว! บ้านท่านตาใหญ่มากๆ! แล้วยังมีกระต่ายอีกหลายตัวด้วย! วันนี้สนุกมาก!”
เฉียวเวยจับตัวนางไว้ หยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเหงื่อให้แล้วจับตัวนางให้ลงไปอยู่ใต้ผ้าห่ม “จิ่งอวิ๋น นอนลง”
จิ่งอวิ๋นหยุดกระโดด รีบนอนลงทันที ไม่เพียงแค่นอนลง แต่ยังห่มผ้าเองเสร็จสรรพ ว่าง่ายยิ่งนัก!
วั่งซูยังไม่ยอม พอเปลี่ยนไปจับอีกคน นางก็หนีออกมาอีก แต่เมื่ออยู่กับมารดาผู้มีพลังช้างสาร นางจะหนีได้หรือ
ดิ้นอยู่นานก็ยังหนีจากกรงเล็บนางมารไม่ได้เสียที วั่งซูน้อยใจยิ่งนัก “ท่านแม่ ท่านทำเช่นนี้ไม่ถูกนะ ท่านทำร้ายถูกหัวใจข้าเสียแล้ว ข้าจะนอนไม่หลับได้”
เฉียวเวยแทบอยากจะหัวเราะให้งอหาย อายุเท่านี้แต่คำพูดคำจาแก่แดดเป็นผู้ใหญ่ ช่างน่ารักเสียจริง “ตายจริงๆ ข้าถึงขั้นทำร้ายถูกหัวใจเจ้าเชียวหรือ”
“ก็ใช่น่ะสิ” วั่งซูทำปากมุ่ย ท่าทางน่าสงสารทั้งทำอะไรไม่ได้ “ท่านต้องให้เกาลัดคั่วน้ำตาลข้าหนึ่งถุง ข้าถึงจะนอนหลับ”
เฉียวเวยดีดหน้าผากนางให้ทีหนึ่ง “นอนหลับแล้วพรุ่งนี้ถึงจะมีเกาลัดคั่วน้ำตาล”
วั่งซูหลับตาลงทันที “ตกลง!”
เฉียวเวย: “…”
เหตุใดถึงรู้สึกว่าตัวเองหลงกลได้นะ!
ถึงอย่างไรเป็นเด็กน้อยก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล ไม่นานก็หลับสนิทเข้าสู่นิทรารมย์ไป
เฉียวเวยเตรียมตัวจะเข้านอนเช่นกัน นางถอดเสื้อตัวนอกออก ตอนคิดจะเปลี่ยนไปใส่เสื้อตัวใน สายตาเหลือบไปเห็นคนที่เอามือเท้าคางอยู่ตรงหน้าต่าง อีกมือหนึ่งเคาะเบาๆ อยู่ตรงกรอบหน้าต่าง จีหมิงซิวกำลังยิ้มอย่างมีนัยยะลึกซึ้ง
เฉียวเวยสะดุ้งตกใจ “ตกใจหมดเลย! ท่านมาตั้งแต่เมื่อไร เหตุใดถึงไม่ให้สุ้มให้เสียงเลย!”
จีหมิงซิวทำหน้าใสซื่อ “ข้ามาได้พักหนึ่งแล้ว เป็นเจ้าเองที่ไม่รู้ตัว”
ใครจะเหมือนท่านที่ไปไหนมาไหนลึกลับไร้สุ้มเสียง ขนาดสือชียังไม่รู้เลย
เฉียวเวยถลึงตาใส่เขา เอาเสื้อตัวนอกที่ถอดออกแล้วสวมกลับเข้าไปใหม่
จีหมิงซิวเอามือข้างเดียวยันกับกรอบหน้าตาแล้วกระโดดเข้ามาเบาๆ เขาเดินเข้าไปหาเฉียวเวย จับคอเสื้อที่ปิดเข้าหากันแล้วให้เปิดออกช้าๆ
เฉียวเวยถลึงตาใส่อีกฝ่าย “คิดจะทำตัวป่าเถื่อนอีกแล้วหรือ”
ริมฝีปากของจีหมิงซิวค่อยๆ ยกขึ้นเป็นองศาชั่วร้าย “ข้ากลัวว่าเจ้าสำนักเฉียวจะมีไฟลุกโชนเกินไปจนร้อนรุ่มต่างหาก”
“ลำบากนายน้อยหมิงต้องเป็นห่วงแล้ว ข้าไม่ร้อนสักนิด กลับกัน ยังรู้สึกเย็นเล็กน้อยอีกด้วย” พูดจบนางก็ดึงสาบเสื้อที่อยู่ในมืออีกฝ่ายกลับมา เอามาทับกันแล้วผูกจนเรียบร้อย
จีหมิงซิวเลยดึงนางเข้าไปกอด
“จะทำอะไร”
“เจ้าสำนักเฉียวไม่ได้หนาวหรอกหรือ”
ที่แท้ก็กำลังรอนางอยู่ตรงนี้สินะ!
สามประโยคต้องมีหลุมพรางอยู่สักหนึ่ง ยังจะพูดคุยกันดีๆ ได้ไหมนี่
เฉียวเวยตวัดสายตาคมใส่ดังขวับๆ
เมื่อแกล้งอีกฝ่ายพอสมควรแล้ว จีหมิงซิวก็ปล่อยตัวนางออกแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ รินน้ำชาสองแก้ว เขาหยิบขึ้นมาแก้วหนึ่งแล้วค่อยๆ ดื่มลงไป “ได้ยินว่าพวกเจ้าไปที่บ้านตระกูลเฉียวมา สถานการณ์การต่อสู้เป็นอย่างไรบ้างเล่า เจ้าสำนักเฉียว?”
เฉียวเวยดึงเปิดลิ้นชัก หยิบเอาตราหยกชิ้นหนึ่งออกมาโยนไปให้จีหมิงซิว
จีหมิงซิวรับไว้ได้อย่างแม่นยำแล้วเพ่งมอง “ตราตระกูลเฉียว? เจ้าได้คืนสู่ฐานะเดิมแล้ว?”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “เป็นอย่างไร ท่านพ่อข้าเก่งใช่ไหมเล่า”
จีหมิงซิวคิดในใจว่า: บุรุษของเจ้าก็เก่งมากนะ
เฉียวเวยเอ่ยกับคนที่รู้สึกดีใจไปด้วยว่า “วันนี้พ่อข้ายิ่งใหญ่มากทีเดียว เล่นงานพวกที่ให้ร้ายคนอื่นจนเละตุ้มเป๊ะไปหมด! ถือว่าได้แก้แค้นให้ข้ากับท่านย่าเสียที! พวกผู้อาวุโสหน้าไม่อายเหล่านั้นไปนั่งกันอยู่ในคุกแล้ว น่าจะออกมาไม่ได้กันสักสามเดือนห้าเดือนกระมัง ใช่สิ ท่านก็เป็นขุนนาง ท่านน่าจะรู้เรื่องกฎเกณฑ์ของต้าเหลียงดีกระมัง เรื่องอย่างการฮุบสินเดิมผู้อื่นเช่นนี้ ถูกตัดสินโทษนานเท่าไรหรือ”
จีหมิงซิวเอ่ยอย่างใช้ความคิด “นี่เป็นเรื่องส่วนตัว ตามปกติมักจะตกลงกันเป็นการส่วนตัว หากเอาของที่ฮุบมาคืนกลับไป มีโทษไม่นานเท่าไรหรอก”
“อ๋า?” เฉียวเวยรู้สึกผิดหวัง “พวกผู้อาวุโสนั่นจะรอดกันง่ายๆ เลยหรือ”
จีหมิงซิวยิ้มอย่างสบายอารมณ์ “เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเจ้าเป็นใคร”
เฉียวเวยเอ่ยด้วยความสงสัย “ท่านมีวิธี?”
จีหมิงซิวยกชาดื่มช้าๆ “ฮุบสินเดิมผู้อื่นไม่อะไรเท่าไร แต่หากแหกคุก… ราชวงศ์ต้าเหลียงลงโทษคนที่แหกคุกหนักมาก”
เฉียวเวยเบิกตาโต “พวกเขาแหกคุก? เป็นไปไม่ได้กระมัง…”
จีหมิงซิวเอ่ยเรียบๆ ว่า “คืนนี้ในห้องขัง จู่ๆ ก็ไม่ควันลอยมาจากทุกทิศทาง ผู้อาวุโสทั้งหลายคิดว่าไฟไหม้ จึงคว้าเอากุญแจที่แขวนอยู่หน้าประตูมาเปิดประตูคุกหนีออกไป แต่อันที่จริงนักโทษคนอื่นๆ ไม่ได้มองเห็นควันด้วย ดังนั้นเจ้าเมืองจึงคิดว่าคนเหล่านี้ใช้การหนีไฟไหม้มาเป็นเหตุผลในการหลบหนี”
เฉียวเวยได้กลิ่นแผนการชั่วร้าย
แต่นางชอบใจนัก!
เฉียวเวยเอ่ยพลางยิ้มหวาน “ความผิดเช่นนี้ โทษหนักเพียงใดหรือ”
จีหมิงซิวดื่มชาอึกหนึ่ง “สถานหนักก็ตัดหัว สถานเบาก็ขังคุกสักสิบกว่าปีได้กระมัง”
“สิบกว่าปี เช่นนั้นไม่เท่ากับว่าจะไม่ได้ออกมาตลอดชีวิตหรอกหรือ” เฉียวเวยหรี่ตา ตบไหล่เขา “กฎหมายของราชวงศ์ต้าเหลียงของพวกท่านก็ยุติธรรมดีเหมือนกันนี่นะ!”
จีหมิงซิวจับ “รูรั่ว” ในคำพูดนางได้อย่างรวดเร็ว “พูดอย่างกับว่าเจ้าไม่ใช่คนต้าเหลียงอย่างนั้นแหละ”
เฉียวเวยเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้าจะบอกว่าข้าไม่ใช่ขุนนางของราชวงศ์ต้าเหลียงหรอก!”
“อ้อ” จีหมิงซิวถือเสียว่าเขาเชื่อแล้ว
เฉียวเวยไม่อยากวนเวียนอยู่กับเรื่องนี้นานนัก เพื่อป้องกันไม่ให้ยิ่งพูดยิ่งผิด จึงรีบเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่น “ท่านมาหาข้า ก็เพื่อมาบอกข้าว่าท่านเปลี่ยนโทษของผู้อาวุโสเหล่านั้นแล้ว?”
“ย่อมไม่ใช่” จีหมิงซิวตอบ “คนของสำนักซู่ซินจงกลับไปกันแล้ว”
“เรื่องตั้งแต่เมื่อไร” เฉียวเวยถาม
“เช้านี้ พอผ่านเทศกาลไหว้พระจันทร์ก็ไปกันเลย” จีหมิงซิวบอก
เฉียวเวยส่งเสียงหึหึ “เกินไปหน่อยแล้ว ไม่มาบอกลาคนเป็นเจ้าสำนักอย่างข้าสักคำ”
จีหมิงซิวเอ่ยล้อว่า “หรือจะให้ข้าไปเรียกพวกเขากลับมาให้เจ้า”
“ช่างเถอะ ขัดลูกตา!” พวกชอบรังแกคนอ่อนแอกว่า ไว้รอให้นางเอาซู่ซินจงมาไว้ได้โดยสมบูรณ์ก่อนเถอะ จะให้พวกเขาไปทำงานขุดทองในเหมืองให้หมด ดูสิว่าพวกเขายังจะกล้าโอหังกันอีกหรือไม่ พอคิดอะไรได้ เฉียวเวยก็พูดต่อว่า “จะว่าไป พวกเขาเพิ่งอยู่กันไม่นานเท่าไร เหตุใดถึงไปแล้วเล่า”
จีหมิงซิวบอกว่า “เดิมทีก็มาเพื่อหาผลสองภพอยู่แล้ว ในเมื่อไม่มีผลสองภพแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ต่อไปอีก”
เฉียวเวยเอ่ยอย่างใช้ความคิดว่า “ครานี้พวกเราโยนความผิดไปให้สมาคมกระบี่ ซู่ซินจงจะสู้รบกับสมาคมกระบี่ขึ้นมาหรือไม่” นายท่านหกกับสมาคมกระบี่มีความสัมพันธ์กันอยู่เล็กน้อย หากไม่ถึงคราวจำเป็นจริงๆ อันที่จริงนางไม่สู้จะอยากลากนายท่านหกลงน้ำไปด้วยเท่าไร
จีหมิงซิวเอ่ยอย่างใจเย็นว่า “วางใจเถอะ ไม่สู้กันหรอก”
“เพราะเหตุใด” เฉียวเวยซักต่อ
จีหมิงซิวคิดแล้วบอกว่า “เหตุผลแน่ชัดข้าเองก็ไม่ค่อยแน่ใจ สมาคมกระบี่ถึงแม้จะยืนกันคนละฝั่งกับซู่ซินจง แต่ต่างฝ่ายต่างคล้ายว่ากำลังเกรงกลัวอะไรบางอย่าง จึงไม่กล้าแตกหักกันขึ้นมาจริงๆ”
เฉียวเวยลูบคาง “พวกเขากำลังหวั่นเกรงความสามารถที่แท้จริงของอีกฝ่ายหนึ่ง หรือกำลังกลัวว่าหากสู่กันแล้ว จะมีคนอื่นนั่งดูเพื่อรอเก็บผลประโยชน์กัน”
นิ้วของจีหมิงซิวเคาะเบาๆ ลงบนโต๊ะ “ดูเหมือนกำลังหวั่นเกรงกับอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น จำเป็นต้องร่วมมือกันรับมือ”
สิ่งที่สามารถทำให้สมาคมกระบี่กับซู่ซินจงหวาดกลัวพร้อมกันได้ จะคืออะไร
เฉียวเวยคิดคำตอบไม่ออก จึงไม่คิดมันเสียเลย นางเป็นคนไม่ชอบเสียเวลากับอะไรที่ไม่มีคำตอบ “ครั้งก่อนท่านบอกข้าว่า สถานการณ์ในซู่ซินจงมีความซับซ้อนอยู่เล็กน้อย ใช่หมายถึงเรื่องความสัมพันธ์ประหลาดนี้กับสมาคมกระบี่หรือไม่”
จีหมิงซิวจับถ้วยชา “นี่นับเป็นหนึ่งในเรื่องนั้น แต่อีกเรื่องคือข้ากำลังสงสัยว่าเจ้าสำนักซู่ซินจงที่แท้จริงไม่ใช่อาจารย์ของข้า”
นัยน์ตาเฉียวเวยมีแววครุ่นคิด “เหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้”
จีหมิงซิวตอบว่า “ก็เป็นแค่ความสงสัยเท่านั้น ข้าเองก็ไม่มีหลักฐาน”
เฉียวเวยหรี่ตาลง “ท่านให้ข้าเอาสำนักซู่ซินจงมาให้ได้ คงไม่ใช่เพราะหลังจากนี้หนึ่งปี ท่านจะได้เข้าไปสืบหาเจ้านายที่แท้จริงที่อยู่เบื้องหลังซู่ซินจงได้อย่างละเอียดหรอกกระมัง ข้าบอกไว้ก่อนนะว่าข้าไม่…”
“เหมืองทองเป็นของเจ้า”
“ตกลง”
ในห้องพลันเงียบสงัด จีหมิงซิวหัวเราะเบาๆ คนที่เห็นเงินแล้วตาโตเช่นนี้ ต่อไปถูกคนอื่นล่อลวงไปจะทำอย่างไร
เฉียวเวยก็รู้สึกว่าตนเองออกจะตอบคำถามได้นั่นเกินไปสักหน่อย ใบหูจึงพลันแดงแจ๋ “เหตุใดท่านถึงต้องสืบเรื่องซู่ซินจงให้ได้หรือ”
จีหมิงซิวตอบว่า “แค่เพียงสงสัยนิดหน่อยว่าคนผู้นั้นมีความเกี่ยวโยงกับท่านแม่ข้า ตอนนั้นท่านแม่ข้าถูกทำร้ายจนบาดเจ็บหนัก คลอดข้าออกมาได้ไม่เท่าไรก็ตายเสีย ข้าได้ดูดซับกำลังภายในส่วนหนึ่งมาจากร่างกายนาง เลยกลายมาเป็นเช่นทุกวันนี้”
พอพูดเช่นนี้เฉียวเวยก็เข้าใจแล้ว มิน่าเล่าจีอู๋ซวงถึงได้บอกว่าอาการ “บาดเจ็บ” ของเขาได้มาจากในครรภ์มารดา ท่านกำลังสงสัยว่าคนที่อยู่เบื้องหลังซู่ซินจงผู้นั้นลอบทำร้ายพวกท่านแม่ลูก หากพูดเช่นนี้ ก็อธิบายได้ไม่ยากแล้วว่าเหตุใดอาจารย์ของท่านถึงได้รู้ว่าหน้ากากสามารถกดพลังที่อยู่ในตัวท่านเอาไว้ได้ เดิมทีคงเป็นสิ่งที่คนผู้นั้นบอกสินะ! ใช่ว่าเมื่อหาคนผู้นั้นเจอแล้ว ก็จะสามารถรักษาอาการบาดเจ็บท่านให้หายได้แล้วหรือไม่”
จีหมิงซิวเอ่ยสบายๆ ว่า “โดยหลักการแล้วเป็นเช่นนั้น”
เฉียวเวยถามด้วยความไม่เข้าใจว่า “ท่านอยู่ในซู่ซินจงมานานเพียงนั้น ยังหาคนผู้นั้นไม่เจอเลยหรือ”
จีหมิงซิววางถ้วยชาลงบนโต๊ะ “ซู่ซินจงมีบางส่วนที่ไม่อนุญาตให้ลูกศิษย์เข้าไปตามอำเภอใจ มีเพียงคนที่มีตราเจ้าสำนักเท่านั้น ถึงจะสามารถเข้าออกสำนักได้อย่างอิสระ แต่ว่าเจ้าสบายใจได้ ข้าไม่มีทางให้เจ้าประมือกับศิษย์อาวุโสทั้งห้าแน่ ถึงเวลานั้น อี้เชียนอินจะแปลงโฉมเป็นเจ้า ตามข้าไปขอท้าศิษย์อาวุโสทั้งห้าของซู่ซินจง”
“ใครกลัวที่จะต้องประมือกับพวกเขากัน ชีวิตข้ามีแต่ความระหกระเหิน เลียเลือดตรงปลายมีดมาน้อยเมื่อไรกัน”
เฉียวเวยพูดพลางเบ้ปาก ท่าทางเช่นนี้ช่างเหมือนกับท่าทางเมื่อครู่ของวั่งซูยิ่งนัก เพียงแต่ตัวนางเองไม่รู้ตัว แต่จีหมิงซิวเห็นแล้วชอบใจนัก
“ท่านยิ้มอะไร” เฉียวเวยขมวดคิ้ว
ยิ่งเหมือนเข้าไปใหญ่ จีหมิงซิวนึกชอบใจ แต่กลับค่อยๆ เก็บสีหน้าลงไป “ยังไม่ดึกเลย อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้ดีกว่า มาพูดเรื่องจริงจังกัน ทางด้านยิ่นอ๋องนั่นเป็นอย่างไรบ้างแล้ว ท่านพ่อของเจ้าได้พูดกับเขาให้ชัดเจนแล้วหรือไม่”
เฉียวเวยตอบว่า “ส่งเทียบไปแล้ว เชิญให้เขามาที่บ้านบนภูเขาสักหน่อย คิดว่าพรุ่งนี้คงจะได้พบเขา”
วันต่อมา ยิ่นอ๋องก็มาจริงๆ ไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง
นี่เป็นครั้งแรกที่ยิ่นอ๋องออกจากบ้านอย่างเปิดเผยหลังจากเรื่องแมลงมีพิษ เขาจัดขบวนอย่างยิ่งใหญ่ องครักษ์ร่างกำยำแปดคนคอยเปิดทางอยู่ข้างหน้า องครักษ์ที่ร่างกำยำเช่นกันอีกแปดคนอารักขาอยู่ด้านหลังขบวน
ขบวนรถมีถึงหกคัน คันแรกที่หรูหราที่สุดมียิ่นอ๋องนั่งอยู่ คันที่สองเป็นขันทีหลิว สองคันหลังอัดแน่นไปด้วยของหมั้น
คนทั้งหมู่บ้านพากันออกมาดูความครึกครื้น
“มาหาเสี่ยวเฉียวอีกแล้วกระมัง” สะใภ้ตระกูลเหอถามขึ้น
ท่านน้าตระกูลจางเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ไม่ได้มาหาเสี่ยวเฉียว หรือว่าจะมาหาพวกเรา”
ตาเฒ่าซวนจื่อเป็นสารถีที่เสี่ยวเฉียวใช้เกือบเป็นประจำ ไปไหนมาไหนกับเสี่ยวเฉียวมามาก พบเจออะไรมาก็ไม่น้อย ถึงเอ่ยด้วยความภูมิใจว่า “เห็นรถม้าคันข้างหลังนั่นไหม ข้างในมีแต่ของหมั้นทั้งนั้น!”
สะใภ้ตระกูลเหอตกใจใหญ่ “หา? เสี่ยวเฉียวจะแต่งงานหรือ”
“คุณชายจากตระกูลใดกันนี่ ใจใหญ่ถึงเพียงนี้!” ท่านน้าตระกูลจางกลืนน้ำลาย ตอนบุตรสาวตนออกเรือน ฝ่ายชายเอามาแค่เนื้อครึ่งคันรถกับน้ำมันงาสิบจินเท่านั้น นี่ต้องมีฐานะเช่นไรกัน ถึงได้ลากรถมามากมายเพียงนี้
“บ้านเจ้าบ่าวของผู้ใหญ่บ้านยังไม่ใจใหญ่เท่านี้เลย!” สะใภ้ตระกูลเหอรำพึงรำพัน
ตาเฒ่าซวนจื่อหัวเราะหึหึ “บ้านเจ้าบ่าวของผู้ใหญ่บ้าน? สามีของเสี่ยวเฉียว ใช่คนที่เจ้าเด็กตระกูลเหยาจะเทียบชั้นได้หรือ พวกเจ้าดูม้าของคนเขานู่น! เล่นเอาม้าข้ากลายเป็นลาไปเลย!”
ม้าในตลาดที่ดีหน่อยล้วนเป็นม้าซีหนานที่มาจากฉู่ตี้ทั้งสิ้น นิสัยฉลาดเฉลียวว่าง่าย รูปร่างเล็ก ขาทั้งสี่เรียว แต่มีความอดทนมาก กล้ามเนื้อแข็งแรง เหมาะสำหรับแบกของและลากรถ ขบวนรถของยิ่นอ๋องกลับไม่ใช่ม้าซีหนานที่มาจากฉู่ตี้ แต่เป็นม้าเหมิงกู่ที่มาจากทางเหนือ
ม้าเหมิงกู่เป็นม้าศึกประเภทหนึ่ง รูปร่างกำยำ สูงใหญ่แข็งแรง ม้าแต่ละตัวเป็นเหมือนแม่ทัพให้หมู่ม้า แล้วจะไม่ทำให้ม้าพันธุ์ผสมของตาเฒ่าซวนจื่อดูกลายเป็นลาไปได้อย่างไร
ม้าศึกตัวใหญ่เคลื่อนตัวผ่านปากหมู่บ้านเข้ามา เหล่าองครักษ์ยืนนิ่งไม่ขยับ แต่กลับแผ่รัศมีไอสังหารอันน่าเกรงขามออกมา
ชาวบ้านที่มารอดูพากันถอยหลัง
ขันทีหลิวกระโดดลงจากรถม้า เดินตัวโค้งไปตรงหน้ารถม้าของยิ่นอ๋อง เขาพูดบางอย่างผ่านผ้าม่านก่อนจะหันไปหาพวกชาวบ้านทั้งหลาย ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “ชาวบ้านทั้งหลายไม่ต้องตระหนกไป ท่านอ๋องของพวกเราไม่ได้มีประสงค์ร้าย”
ท่านอ๋อง?
ฝูงชนส่งเสียงฮือฮา
จากนั้นไม่รู้ใครเป็นคนเริ่ม จึงขั้นพากันคุกเข่าลงเป็นทิวแถว
มือข้างหนึ่งยื่นออกมาจากหน้าต่างรถ ทำท่าให้ทุกคนลุกขึ้นได้
ทุกคนมองไปที่มือนั้น รู้สึกว่าประณีตบรรจงราวกับก้อนหยกก็มิปาน ล้ำค่าไม่อาจประเมิน
ขันทีหลิวเอ่ยว่า “ท่านอ๋องให้พวกเจ้าลุกขึ้นได้”
ทุกคนยืนขึ้นพร้อมความหวั่นเกรง
ขันทีหลิวเอ่ยด้วยสีหน้าเป็นมิตรยินดีว่า “ชาวบ้านทั้งหลายไม่ต้องตระหนกไป ท่านอ๋องของพวกเราไม่ได้มีประสงค์ร้าย แค่เพียงมารับฮูหยินกับคุณชายน้อย คุณหนูน้อยกลับจวนเท่านั้น”
คนที่เหมาะกับฐานะสำคัญอย่างฮูหยิน คุณชายน้อยและคุณหนูน้อยนั้น นอกจากคอรบครัวบนเนินแล้ว ก็ไม่มีใครอื่นอีก
ตาเฒ่าซวนจื่อเริ่มอยู่ไม่สงบ “อ๊ะ! เสี่ยวเฉียว… เสี่ยวเฉียวเป็นพระชายา?”
ขันทีหลิวตะคอกขึ้นทันที “ห้ามเรียกซี้ซั้ว!”
“หลิวฉวน” ยิ่นอ๋องเอ่ยเรียบๆ
ขันทีหลิวเข้าใจ จึงหันไปกวักมือเรียกขันทีเด็กที่ตามขบวนมา ขันทีน้อยเอาตะกร้าที่เตรียมไว้ตั้งแต่เช้าออกมา “วันนี้เป็นวันดีที่ท่านอ๋องกับฮูหยินจะหมั้นหมายกัน น้ำตาลพวกนี้เอามาให้พวกเจ้า พวกเจ้าในหมู่บ้านจะได้พลอยได้ความสิริมงคลไปด้วย”
คนในหมู่บ้านกรูกันเข้าไปทันที ล้อมรอบขันทีน้อยไว้ตรงกลาง
ขบวนรถเคลื่อนต่อไปจนถึงตีนเนิน
ขันทีหลิวประคองยิ่นอ๋องลงจากรถม้า ทั้งยังสั่งการให้องครักษ์กับบ่าวไพร่ยกของหมั้นลงจากรถม้าแล้วขนขึ้นเนินไปทีละหีบอีกด้วย
เฉียวเวยกำลังขุดดินอยู่ในสวน พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นยิ่นอ๋องเดินนำคนกลุ่มใหญ่ ยกหีบกันเข้ามาในบ้านของนาง หากไม่ใช่เพราะรู้แต่แรกว่ายิ่นอ๋องจะมา นางคงคิดว่าตัวเองตาฝาดไปแล้ว “ท่านยิ่นอ๋อง นี่ท่านกำลังทำอะไร”
ยิ่นอ๋องมองประเมินนางขึ้นลงทีหนึ่ง วันสำคัญเช่นนี้ นางกลับแต่งกายประหนึ่งชาวนา ใช้การไม่ได้เลย!
“ท่านลุงเฉียวเล่า”
เฉียวเวยมองเข้าไปห้องด้านใน “ท่านพ่อ! มีคนมาหาท่าน!”
“ให้เขาเข้ามา”
เสียงของเฉียวเจิงสงบนิ่งยิ่งนัก
เฉียวเวยมองยิ่นอ๋องรวมถึงหีบใบใหญ่ด้านหลังยิ่นอ๋องทีหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างเห็นขันว่า “เชิญท่านยิ่นอ๋อง”
ยิ่นอ๋องปัดแขนเสื้อเล็กน้อยแล้วจึงเดินเข้าห้องไป
บ่าวไพร่ก็จะตามเข้าไปด้วย
เฉียวเวยขวางพวกเขาไว้ “พวกเจ้าไม่ต้อง ห้องข้าเล็ก คนเข้าไปมากเพียงนี้ไม่ไหว รวมถึงของพวกเจ้าด้วย”
ทุกคนหันไปมองทางยิ่นอ๋อง ยิ่นอ๋องขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ยังพยักหน้า ทุกคนจึงวางหีบทั้งหลายลงที่หน้าประตู
เฉียวเวยขุดดินต่อไป ระหว่างที่ขุดอยู่นั่นก็ค่อยๆ เขยิบไปทางจุดที่อยู่ใกล้ปากประตูที่สุดเงียบๆ ซ้ำยังตั้งหูคอยฟังอย่างไม่มีเกรงใจสักนิด
“ท่านลุงเฉียว”
ยิ่นอ๋องมองเฉียวเจิงที่อยู่ในห้องแล้วเอ่ยทักทายเรียบๆ
เฉียวเจิงทำความเคารพเล็กน้อยตามพิธีของชาวบ้าน จากนั้นก็เชิญให้ยิ่นอ๋องนั่งลง ตนเองก็นั่งลงเช่นกัน “บ้านช่องคับแคบอัตคัต ลำบากท่านอ๋องแล้ว”
ยิ่นอ๋องจึงบอกว่า “ท่านลุงเฉียวกลับมาได้อย่างปลอดภัย ข้าดีใจยิ่งแล้ว ท่านลุงเฉียวเคยมีตำแหน่งเป็นผู้ชี้แนะในสำนักหมอหลวง เวลานี้ตำแหน่งชี้แนะว่างลง หากท่านลุงเฉียวยินดี ข้าสามารถช่วยพูดถึงท่านต่อหน้าเสด็จพ่อได้”
เฉียวเจิงเอ่ยด้วยความเกรงใจและห่างเหินว่า “ขอบคุณท่านอ๋องที่หวังดี แต่ช่วยพูดคงไม่ต้องหรอก ข้าคุ้นชินกับชีวิตอิสระไม่มากด้วยกฎเกณฑ์เสียแล้ว เกรงว่าคงไม่อาจรับตำแหน่งที่สำนักหมอหลวงได้อีก ไม่รบกวนยิ่นอ๋องเรื่องนี้ก็แล้วกัน”
ยิ่นอ๋องมองอีกฝ่ายขณะเอ่ยว่า “ระหว่างเจ้ากับข้า เหตุใดต้องเกรงใจเช่นนี้”
ท่าทีของเฉียวเจิงไม่เปลี่ยนไปสักนิด “ท่านอ๋องกล่าวเกินไปแล้ว ข้าเป็นเพียงชาวบ้านรากหญ้า มิกล้าหวังผูกสัมพันธ์กับยิ่งอ๋อง”
ยิ่นอ๋องไม่ชอบท่าทางอยู่ห่างกันเป็นพันลี้ของเขาเอาเสียเลย “ถึงแม้ข้าจะกำหนดตัวพระชายาไว้แล้ว แต่หากบุตรสาวเจ้ารู้อะไรควรไม่ควร ข้าก็จะปฏิบัติต่อนางด้วยดี และจะปฏิบัติต่อตระกูลเฉียวด้วยดีเช่นกัน”
เฉียวเจิงขมวดคิ้ว “ท่านอ๋อง…ดูเหมือนจะเข้าใจความหมายของข้าผิดไปแล้ว”
“เข้าใจผิด?”
เฉียวเจิงบอกว่า “บุตรสาวของข้ากับท่านอ๋องไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กัน ไม่ทราบว่าคำว่ารู้อะไรควรไม่ควรนั้นกล่าวมาจากเรื่องใด”
ยิ่นอ๋องขมวดคิ้วด้วยความสงสัย พร้อมหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ “นี่ไม่ใช่จดหมายที่เจ้าเขียนถึงข้าหรือ”
เฉียวเจิงเหลือบมอง “ถูกต้องแล้ว”
ยิ่นอ๋องเอ่ยเรียบๆ ว่า “เช่นนั้นก็ถูกต้องแล้วไม่ใช่หรือ เจ้านัดให้ข้ามา หรือไม่ใช่เพราะคิดจะให้ข้าหมั้นหมายกับบุตรสาวของเจ้า”
เฉียวเจิงอึ้งไป พักใหญ่กว่าจะตั้งสติกับวิธีการคิดที่แสนประหลาดของท่านอ๋องได้ “ท่านอ๋อง…คิดว่าข้าอยากให้บุตรสาวแต่งงานกับท่านหรือ หลังจากที่ท่านนำพาความลำบากมาสู่บุตรสาวข้ามากมายเพียงนั้น ข้าดูเหมือนบิดาที่สติฟั่นเฟือนเพียงนั้นเชียวหรือ”
สีหน้ายิ่นอ๋องค่อยๆ ดูบึ้งตึงลง “ท่านลุงเฉียว ระวังคำพูดด้วย”
เฉียวเจิงขมวดคิ้วด้วยความรังเกียจ “ผู้ที่ควรระวังคำพูดคือท่านอ๋องต่างหาก ท่านอ๋อง ท่าน ‘เหยียบย่ำ’ บุตรสาวของข้า ซ้ำยังลอบสังหารนาง ทำเรื่องนี้ให้ใหญ่โต ทำให้นางถูกขับออกจากตระกูล นางกับลูกอีกสองคนต้องตกระกำลำบากอย่างแสนสาหัส อุตส่าห์ได้มีชีวิตที่สุขกายสบายใจไม่กี่วัน ท่านอ๋องก็วิ่งโร่มาเก็บผลประโยชน์ตรงหน้าเสียแล้ว ข้าขอถามท่านอ๋องว่า ท่านที่เป็นบุรุษ ท่านทำอะไรเพื่อบุตรสาวของข้าบ้าง ท่านที่เป็นบิดา ได้ทำอะไรให้จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูบ้าง อย่าว่าแต่เดิมทีเด็กสองคนก็ไม่ใช่บุตรของท่านเลย ต่อให้ใช่จริง ท่านทำให้ข้าขุ่นเคือง ข้าก็ไม่มีทางมอบบุตรสาวให้กับบุรุษเช่นท่าน!”
“เฉียวเจิง!” ยิ่นอ๋องเอามือตบโต๊ะทันที
“ท่านตะคอกอะไร ลองตะคอกพ่อข้าอีกครั้งดูสิ!” เฉียวเวยเดินถือจอบเข้ามา
ยิ่นอ๋องมองนางดุๆ หญิงชั่ว! สตรีเช่นนี้เหตุใดจึงเป็นมารดาของบุตรชายตนได้ มารดาของบุตรชายเขาควรเป็นกุลสตรีอย่างจื่ออวี้นู่น
ใช่แล้ว ไว้รอให้เขาเอาบุตรชายคืนไปได้ก่อน เขาจะให้บุตรชายได้รับการเลี้ยงดูเป็นบุตรของจื่ออวี้ ด้วยนิสัยและความสามารถของจื่ออวี้ จะต้องเลี้ยงดูให้บุตรทั้งสองเป็นเลิศขึ้นได้แน่นอน
เฉียวเวยกรอกตาใส่เขาแล้วจึงเดินเข้าไปอยู่ข้างๆ เฉียวเจิง ท่าทางคล้ายว่าหากท่านตะคอกพ่อข้าอีกครั้ง ข้าจะใช้สอบสับหัวท่านเสีย
เฉียวเจิงสีหน้าจริงจัง “ยิ่นอ๋อง เกี่ยวกับเรื่องในคืนนั้น ข้าต้องอธิบายให้ท่านฟังให้ชัดเจน คนที่เป็นสามีภรรยากับท่านคืนหนึ่งไม่ใช่บุตรสาวของข้า ดังนั้นจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูจึงไม่ใช่บุตรของท่าน ต่อจากนี้ขอท่านได้โปรดอย่าคิดจะทำอะไรกับพวกเขาอีก”
“เป็นไปไม่ได้!” ยิ่นอ๋องเอ่ยเสียงดุ
เฉียวเจิงจึงเอ่ยเสียงดังว่า “จริงแท้แน่นอน เรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้น บุตรสาวของข้าอยู่ที่วัดร้างตลอดเวลา จนฟ้าใกล้สว่างนางถึงได้ออกไป ตอนนางกลับออกไปบังเอิญพบข้าเข้าพอดี ถึงข้าจะไม่รู้ว่าตอนหลังนางเข้าไปอยู่ในกระโจมของท่านได้อย่างไร แต่ที่มั่นใจได้ก็คือ นางไปถึงกระโจมของท่านก็ตอนฟ้าสว่างแล้ว หากท่านติดพันกับใครคนหนึ่งอยู่ทั้งคืนจริงๆ คนผู้นั้นไม่มีทางเป็นบุตรสาวของข้า”
ยิ่นอ๋องกำหมัดแน่นจนเกิดเสียง “เจ้ามีหลักฐานอะไร”
เฉียวเจิงให้เฉียวเวยไปเอาจดหมายฉบับหนึ่งมา “ข้าเป็นหมอรักษาคนอยู่ข้างนอก ไม่ว่าพบโรคประหลาดอะไรก็มักจดบันทึกเอาไว้เสมอ สถานการณ์ในคืนนั้นค่อนข้างพิเศษ ที่ข้าจดบันทึกไว้ไม่ใช่นาง แต่เป็นบุรุษที่อยู่ในวัดร้างร่วมกับนาง เอกลักษณ์ที่อยู่ตามร่างกายของบุรุษผู้นั้น ยิ่นอ๋องสามารถไปตรวจสอบดูได้”
รอยหมึกของเมื่อหกปีก่อนกับรอยหมึกใหม่นั่นแตกต่างกัน
เฉียวเจิงเขียนเมื่อหกปีที่แล้วหรือเพิ่งเติมขึ้นใหม่เร็วๆ นี้ คนที่รู้เรื่องแค่มองปราดเดียวก็รู้ได้แล้ว
ยิ่นอ๋องไม่ยื่นมือไปรับบันทึกอันนั้น “พวกเจ้ากำลังหลอกข้า! พวกเจ้าแค่ไม่ต้องการเอาลูกให้ข้า ถึงได้สร้างเรื่องโกหกขึ้นมาเพื่อกันข้าออกไป!”
เฉียวเวยเอ่ยอย่างหัวเสีย “พยานและหลักฐานอยู่ที่นี่หมดแล้ว! เหตุใดท่านถึงโง่เขลาเบาปัญญาเช่นนี้ หากท่านไม่เชื่อจริงๆ ก็เชิญไปที่ยันกันที่ศาลาว่าการ! ท่านไปเชิญคนที่รู้เรื่องมาก ดูสิว่าตัวอักษรเหล่านี้เขียนเมื่อหกปีที่แล้วจริงหรือไม่!”
ยิ่นอ๋องหมุนตัวไป “ข้าไม่เชื่อ! ข้าไม่ไป! ข้าจะกลับวังเดี๋ยวนี้ ไปกราบทูลต่อเสด็จพ่อ! จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูเป็นเลือดเนื้อเขื้อไขของข้า! ข้าจะให้พวกเขากลับคืนสู่ต้นตระกูล!”
เฉียวเวยเดินอ้อมไปข้างหน้าเขา “เหตุให้ท่านถึงต้องดื้อรั้นเพียงนี้ ท่านเคยคิดบ้างหรือไม่ สตรีที่ร่วมหลับนอนกับท่านให้คืนนั้นอาจเป็นเช่นเดียวกับข้า ที่ตั้งครรภ์ลูกของท่าน เลือดเนื้อเชื้อไขของท่านร่อนเร่อยู่ข้างนอก แต่ท่านกลับวิ่งมาหาเด็กคนอื่นแล้วอ้างตัวว่าเป็นบิดา ท่านมีหน้าไปสู้พวกนางแม่ลูกหรือ”
เรื่องนี้เฉียวเวยย่อมพูดขึ้นมาเอง แต่นางพูดราวกับมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นจริงๆ จนแม้แต่ยิ่นอ๋องยังนึกเชื่อขึ้นมาเหมือนกัน
ยิ่นอ๋องมองนางอึ้งๆ “เจ้าจะบอกว่า…ข้าอาจจะ…มีบุตรสักคนจริงๆ?”
เฉียวเวยตอบโดยไม่ต้องคิดว่า “สักคนอะไรเล่า ไม่แน่ว่าอาจจะสองสามคนด้วยซ้ำ!”
…
นอกเมืองหลวง รถม้าคันหนึ่งที่ผุๆ พังๆ มีศีรษะกลมกิ๊กของเด็กน้อยโผล่เรียงกันออกมาจากตะกร้าผัก
หนึ่งคน สองคน สามคน