หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 173-1 รอดพ้นจากอันตราย เตรียมแต่งงาน
ตอนที่ 173-1 รอดพ้นจากอันตราย เตรียมแต่งงาน
จีหมิงซิวรออยู่ใต้ต้นไม้นานมากแล้วก็ยังไม่เห็นเฉียวเจิงกลับมาเสียที เขากลัวว่าเฉียวเจิงจะเดินหาแหล่งน้ำจนเข้าไปในเขตป่าจั้งชี่ จึงจับต้นไม้พยุงตัวลุกขึ้นแล้วออกเดินไปทางที่เฉียวเจิงเดินไป
เฉียวเจิงในเวลานี้กำลังต่อสู้อย่างดื้อรั้นกับบ่อโคลนดูดผู้ซุกซน การเป็นหมอพเนจรเร่ร่อนไปทั่วแดนตลอดสิบห้าปีของเขา หากให้บอกว่ายังไม่เคยประสบพบเจอกับอะไรมาก่อน สิ่งนั้นก็น่าจะเป็นโคลนดูดนี้เอง
บ่อโคลนดูดนั้นมองดูเผินๆ แล้วไม่ต่างอะไรกับบ่อโคลนทั่วไป แต่มันกลับลึกจนไม่รู้ไปสุดลงที่ใด เมื่อเท้าได้จมลงไปแล้ว ไม่ว่าจะพยายามออกแรงเพียงใดก็มีแต่จะจมลงเรื่อยๆ เท่านั้น
เริ่มจากข้อเท้า ไปที่น่อง เวลานี้ถึงหัวเข่าแล้ว
ยิ่งเขาพยายามฝืนเท่าไรก็ยิ่งจมลงไปเร็วเท่านั้น
เขาไม่กล้าขยับตัว
ตอนจีหมิงซิวรีบมาถึงตรงนี้ ต้นขาเขาก็เริ่มจมหายไปแล้ว
สายตาจีหมิงซิวพลันชะงักไป “โคลนดูด?”
เฉียวเจิงรีบยกมือห้าม “อย่าเข้ามา!”
ดึกดื่นค่ำคืนเช่นนี้ ดูไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบ่อโคลนนี้เริ่มจากตรงไหน หากเกิดขาเหยียบพลาดลงไปก็คงหมดสิ้นหนทาง
ดวงจันทร์โผล่พ้นชั้นก้อนเมฆหนาทึบออกมาครึ่งดวง แสงสีเงินอันบางเบาสาดส่องลงมา เมื่ออยู่ใต้กิ่งไม้ใบไม้ที่รกครึ้ม จึงยิ่งอ่อนแสงจนแทบมองไม่เห็น
จีหมิงซิวก็ไม่กล้าประมาท เขายืนนิ่งคิดอยู่กับที่พักหนึ่งก็เด็ดเอากิ่งไม้ออกมาทิ่มสำรวจตามพื้นแล้วจึงค่อยออกเดิน
ตรงนี้เป็นบ่อขนาดใหญ่ซึ่งมีบ่อขนาดเล็กอีกจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่รายรอบ จากจุดแรกที่จีหมิงซิวพบบ่อโคลนดูดเล็กๆ บ่อแรกไปจนถึงจุดที่เฉียวเจิงจมอยู่นั้นประมาณสองสามจั้งเห็นจะได้ ระหว่างทางจีหมิงซิวพบบ่อโคลนเล็กๆ ไม่น้อยกว่าแปดบ่อ ไม่รู้ว่าควรบอกว่าเฉียวเจิงโชคดีหรือโชคร้าย ที่เดินเข้าไปในบริเวณที่มีบ่อเล็กบ่อน้อยอยู่เต็มไปหมดได้ไกลถึงสิบเมตร เขาทำอย่างไรถึงได้เหยียบโดนดินได้ทุกก้าวกันนะ
ครั้นอยู่ห่างจากเฉียวเจิงประมาณหกฉื่อ จีหมิงซิวก็หยุดเดินและเริ่มปลดสายคาดเอวออก “ปลดของท่านออกมาด้วย”
บุรุษทั้งสองยืนประจันหน้ากันพลางปลดสายคาดเอวของตน ภาพเช่นนี้อันที่จริงดูน่าตกใจอยู่เล็กน้อย
แต่เมื่ออยู่ระหว่างความเป็นกับความตาย เฉียวเจิงจึงสนใจอะไรมากเพียงนั้นไม่ได้ เขาปลดสายคาดเอวแล้วคลายเสื้อออก หญ้าจื่อเป่าจึงตกลงไปในบ่อโคลน
เฉียวเจิงรีบก้มลงไปหยิบ การที่เขาขยับตัวครั้งนี้ทำให้ตัวจมลงไปอีกไม่น้อย
จีหมิงซิวพลันหน้าบึ้ง “เวลานี้แล้วยังมีแก่ใจสนใจสมุนไพรอะไรอีก!”
เฉียวเจิง: ลูกเขยดุข้า
“โยนสายคาดเอวมา” จีหมิงซิวยื่นกิ่งไม้ออกไป
เฉียวเจิงเอาหญ้าจื่อเป่าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยโคลนใส่ลงไปในแขนเสื้อ จากนั้นถึงได้เอาสายคาดเอวเกี่ยวไว้กับกิ่งไม้
จีหมิงซิวรับเอาสายคาดเอวของเฉียวเจิงไปมัดเป็นเงื่อนตายไว้กับตนเอง ปลายข้างหนึ่งจับไว้ในมือ อีกข้างหนึ่งผูกไว้กับต้นไม้แล้วส่งให้เฉียวเจิง “มัดไว้แล้ว จับไว้ดีๆ อย่าปล่อยมือ”
เฉียวเจิงเอาสายคาดเอวพันไว้กับข้อมือหลายรอบ เขาจับเอาไว้แน่น พอคิดอะไรออกก็หันไปมองจีหมิงซิวด้วยสายตาซับซ้อน “เจ้าจะไหวหรือไม่”
“ลองดู”
จีหมิงซิวกำสายคาดเอวในมือแน่นแล้วออกแรงดึง…
แสงเย็นๆ แวบผ่าน สายคาดเอวขาด!
…
เฉียวเวยกับยอดหญิงงามถือคบไฟในมือกันคนละอัน เดินไปในป่าจั้งชี่กันด้วยความระมัดระวัง
ระหว่างทางมีหมาในไม่รักตัวกลัวตายจำนวนหนึ่ง ถูกทั้งสองจัดการไปได้อย่างง่ายดาย
จำต้องบอกว่า การมีเพื่อนร่วมทางที่แข็งแกร่งนั้น นับว่าทำให้สบายขึ้นไม่น้อยทีเดียว
เฉียวเวยเช็ดกริชที่เพิ่งปลิดชีพหมาในมาหมาดๆ แล้วเก็บกลับเข้าปลอกไปอย่างเดิม “ใช่สิแม่นางเสี่ยวเวย ยังไม่ได้ถามเจ้าเลยว่าเจ้ากับยิ่นอ๋องเป็นอย่างไรบ้างแล้ว พอจะคุ้นเคยกับการพักอยู่ในจวนอ๋องแล้วหรือไม่”
ยอดหญิงงามทอดถอนใจเอ่ยว่า “ยังไม่ค่อยคุ้นเท่าไร วันๆ มีเนื้อตั้งมากมายเพียงนั้น ข้ากินจนเริ่มอ้วนแล้วเนี่ย”
เดิมทีเจ้าก็ไม่ได้ผอมนะ!
“ใช่สิ วันนั้นที่เจ้าลงไม้ลงมือกับคุณหนูจวนแม่ทัพ จวนแม่ทัพได้มาหาเรื่องอะไรเจ้าหรือไม่” เฉียวเวยถาม
ยอดหญิงงามบอกว่า “มาสิ บิดาของนางมาเองเลย”
เฉียวเวยถามต่อ “แม่ทัพตัวหลัวว่าอย่างไรบ้าง”
ยอดหญิงงามเล่าว่า “เขาให้ข้ารีบไปจากเมืองหลวง ให้กลับชนเผ่าเกาเย่ว์ไปเสีย อย่าคิดจะกลับมาเหยียบเมืองหลวงอีกแม้แต่ก้าวเดียว มิเช่นนั้นเขาจะไม่เกรงใจข้าอีก”
ไม่เสียแรงที่เป็นบิดาของตัวหลัวหมิงจู วิธีการพูดจาช่างถอดแบบกันมานักเชียว เฉียวเวยถามต่อว่า “แล้วหลังจากนั้นเล่า”
ยอดหญิงงามเอ่ยสบายๆ ว่า “จากนั้นข้าก็ซัดเขาให้เลยน่ะสิ”
เฉียวเวย “…”
คนเขาเป็นถึงแม่ทัพเทพแห่งต้าเหลียง เจ้าบอกจะซัดก็ซัด ไม่กลัวฝ่าบาทจะลงอาญาเอาหรือ!
“ฮ่องเต้ได้ส่งใครมา ‘ถามไถ่’ เจ้ารึไม่”
ยอดหญิงงามส่งเสียงจึ๊ทีหนึ่ง “ส่งขันทีแซ่ฝูมาคนหนึ่ง มาถามนั่นถามนี่ น่ารำคาญนัก”
แค่เพียงถามไถ่เท่านั้นจริงๆ เสียด้วย แม่ทัพตัวหลัวถูกซัดไม่คุ้มเอาเสียเลย
“เด็กๆ นั่นเป็นลูกของอัครเสนาบดีกระมัง” ยอดหญิงงามเปลี่ยนเรื่อง
เฉียวเวยอึ้งไป ตอบด้วยสีหน้าคงเดิมว่า “ยิ่นอ๋องบอกเจ้าหรือ”
“ข้าเดาเอาเอง เขา…” ยอดหญิงงามนิ่งไปเล็กน้อย “ก็คงเดาได้เช่นกัน แค่ไม่อยากยอมรับเท่านั้น”
ประโยคนี้… เหตุใดถึงฟังดูเหมือนยิ่นอ๋องยังมีเยื่อใยกับนางอยู่กระนั้น เฉียวเวยแย้มยิ้มเล็กน้อย “ข้าว่าเจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้ากับยิ่นอ๋องไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด ข้าไม่เกี่ยวข้องอันใดกับเขานานแล้ว ที่เขาตามตอแยข้ามาตลอด ไม่ใช่เพราะความสัมพันธ์ฉันชู้สาว เพียงแค่อยากใช้ประโยชน์จากลูกชายข้าไปเอาใจฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเท่านั้น แต่เวลานี้เขามีบุตรชายถึงสามคนแล้ว คงไม่จับพวกเราแม่ลูกไว้ไม่ปล่อยอีกแน่”
ยอดหญิงงามเอ่ยว่า “ลูกข้าเป็นลูกสาว”
เฉียวเวยตกใจมาก เณรน้อยสามคนที่อวบอ้วนน่ารักนั่นน่ะหรือ…คือลูกสาว?
เดี๋ยวก่อน ยิ่นอ๋องไม่ชอบลูกสาว ย่อมเป็นไปไม่ค่อยได้ที่จะรักใคร่มารดาผู้ให้กำเนิดพวกนาง แน่นอนว่าหากยอดหญิงงามมีรูปโฉมที่จันทร์ต้องหลบบุปผาต้องอายก็คงไม่ต้องพูดถึง แต่น่าเสียดายที่นางไม่ใช่แบบอย่างความงามที่ยิ่นอ๋องชื่นชม เช่นนั้นยิ่นอ๋องกำลังคิดอะไรอยู่ถึงได้แบ่งปันความลับต่างๆ แม้กระทั่งความลับของจีหมิงซิวกับนาง
สายตาของเฉียวเวยพลันมีความระแวดระวังขึ้นมาอย่างรวดเร็ว นางหยุดเดิน เพ่งมองหญิงงามที่อยู่ข้างหน้า “เจ้าไม่ได้มาช่วยข้าช่วยคน!”
ยอดหญิงงามก็พลันหยุดเดินเช่นกัน
เฉียวเวยเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ยิ่นอ๋องอยากให้เจ้าทำอะไร”
ยอดหญิงงามหันกลับมา “เขาอยากให้ข้าฆ่าเจ้าเสีย”
เฉียวเวยไม่เข้าใจ “เพราะเหตุใด”
ยอดหญิงงามสงบนิ่งมาก นางดูไม่รู้สึกผิดสักนิดที่มีคนรู้ทัน “ไม่รู้สิ เขาเพียงบอกให้ข้าฆ่าเจ้าเสีย แล้วเขาจะไม่แต่งงานกับตัวหลัวจื่ออวี้ จะเปลี่ยนมาแต่งงานกับข้าแทน”
เฉียวเวยเอ่ยด้วยความไม่อยากเชื่อว่า “เจ้าก็เชื่อด้วยหรือ”
ยอดหญิงงามบอกว่า “เขาเขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษร”
ถ้าเป็นเช่นนี้ก็คงจะจริง
แต่อีตายิ่นอ๋องนั่น เหตุใดถึงอยากเอาชีวิตนางขึ้นมาได้ ถึงแม้นางก็คิดว่าตนกับยิ่นอ๋องเสมือนน้ำกับน้ำมันที่เข้ากันไม่ได้ แต่ในความรู้สึกของนาง ยิ่นอ๋องก็ไม่ถึงขั้นว่าจะต้องฆ่านางให้ได้
เพราะเหตุใดกันแน่
ยิ่นอ๋องกำลังคิดจะทำอะไร
เฉียวเวยจมลงสู่ความคิดของตน ยอดหญิงงามชักกริชออกมาเล็งตรงไปทางเฉียวเวย “ข้าคิดว่าเจ้าคงสู้ข้าไม่ได้”
เฉียวเวยมองปลายกริชที่สว่างเป็นประกาย คล้ายรู้สึกได้ถึงความคมกล้าของมัน นางมองยอดหญิงงามด้วยความสงบนิ่ง “นั่นไม่แน่หรอกนะ”
“อย่างนั้นหรือ” ยอดหญิงงามเอ่ยกลั้วหัวเราะ
เฉียวเวยบอกว่า “เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าอัครเสนาบดีมีฐานะเช่นไร นอกจากเขาจะเป็นอัครเสนาบดีผู้มีอำนาจของต้าเหลียงแล้ว เขายังเป็นนายน้อยของตระกูลจีอีกด้วย ถึงแม้ข้าจะไม่เคยไปบ้านตระกูลจีมาก่อน แต่นั่นเป็นตระกูลที่มั่งคั่งเสียยิ่งกว่าซู่ซินจง ใต้หล้านี้น่ากลัวว่าคงหาไม่ได้กี่คนแล้ว ถ้าเจ้าฆ่าข้า ก็เท่ากับฆ่าฮูหยินอัครเสนาบดีในอนาคต นายหญิงเล็กของตระกูลจี เจ้าเคยคิดถึงผลที่จะตามมาจากการทำเช่นนี้หรือไม่ อัครเสนาบดีไม่มีทางปล่อยเจ้าไปแน่ ตระกูลจีก็เช่นกัน”
ยอดหญิงงามบอกว่า “ตระกูลจีรังเกียจเจ้า”
เฉียวเวยตอบอย่างไม่ปฏิเสธ “บางทีตระกูลจีอาจไม่อยากยอมรับข้าก็จริง แต่ถึงอย่างไรข้าก็เป็นมารดาผู้ให้กำเนิดของเด็กทั้งสอง เพื่อหน้าตาของวงศ์ตระกูล ตระกูลจีไม่มีทางไม่ทวงความยุติธรรมให้ข้า ถึงเวลานั้นอย่าว่าแต่ชีวิตเจ้าจะรักษาได้ยากเลย แม้แต่ชนเผ่าเกาเย่ว์ทั้งหมดก็จะต้องประสบกับการแก้แค้นของตระกูลจีด้วย ไม่สิ ไม่ควรสมมติเช่นนี้ ถึงอย่างไรเจ้าก็ฆ่าข้าไม่ได้อยู่แล้ว ไว้ข้ากลับไปอยู่ข้างกายอัครเสนาบดีแล้วบอกเรื่องนี้กับเขา เจ้าก็คงต้องตายอยู่ดี ถึงแม้จะน่าเสียดายมาก แต่เกรงว่ายิ่นอ๋องคงเพียงคิดจะอาศัยมืออัครเสนาบดีในการกำจัดเจ้าเท่านั้น”
“ข้ารู้”
“รู้แล้วเจ้ายัง…”
เฉียวเวยยังไม่ทันพูดจบ ยอดหญิงงามก็เงื้อกริชพุ่งเข้าหานาง
เสี่ยวไป๋ที่อยู่ในอกตกใจจนสะดุ้งตื่น กางอุ้งมือเงาวับคมกริบออกมา
ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วเกินไป ยอดหญิงงามจับตัวเฉียวเวยไว้ได้ อีกมือหนึ่งเขวี้ยงกริชออกไป
เสียงร้องโหยหวนพลันดึงขึ้น เงาดำร่างหนึ่งหล่นลงมาจากการหลบซ่อนตัวบนต้นไม้
อุ้งมือของเสี่ยวไป๋ยื่นไปจะถูกยอดหญิงงามอยู่แล้ว จึงรีบชักกลับทันที
เฉียวเวยมองเงาดำที่ร่วงลงกับพื้นแล้วสบถว่า “ไอสารเลวเอ้ย! ถึงขั้นส่งคนมาสะกดรอยตามข้าเชียวหรือ ใช่ยิ่นอ๋องหรือไม่”
ยอดหญิงงามยักไหล่
เฉียวเวยกัดฟัน รู้อยู่แล้วเชียวว่าเป็นเขา!
ไออ๋องชั่ว ถึงขนาดนี้แล้วยังไม่ยอมอยู่สงบๆ อีก เจ้าคิดจะทำอะไร กลัวยอดหญิงงามฆ่านางไม่สำเร็จ เขาจะได้ส่งคนมาได้ทันอย่างนั้นหรือ หรือว่าจะโยนความผิดเรื่องการสังหารยอดหญิงงามให้นาง
น่าเสียดายที่ไม่มีใครโง่เขลาเช่นนั้น!
เฉียวเวยเดินเข้าไปค้นหาถุงเงินจากตัวเขา นางเปิดถุงเงิน เทเงินออกมาเสร็จก็โยนกระเป๋าลงบนตัวเจ้าของดังเดิม จากนั้นจึงกวาดมองไปตามป่าจั้งชี่อันมืดมิดพลางเอ่ยเสียงเย็นว่า “ยังมีใครอีก ออกมาให้หมดเดี๋ยวนี้!”
ไม่มีเสียงตอบรับ
“เสี่ยวไป๋!”
เฉียวเวยตะโกนสั่งเสียงเย็น เสี่ยวไป๋ก้าวออกไปทันที!
เงาสีเงินแวบไปมาอย่างรวดเร็วภายในป่าประหนึ่งเงากระบี่ ไม่นานก็มีคนชุดดำถูกรุกไล่จนต้องเปิดเผยตัว หนึ่งคน สองคน สามคน… กลุ่มหนึ่ง
เฉียวเวยถอนหายใจ “แม่นางเสี่ยวเวย ไม่ใช่ว่าข้าอยากจะยุแหย่ในความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับยิ่นอ๋องหรอกนะ เจ้าดูสิว่าเขาไม่วางใจในตัวเจ้าเพียงใด ส่งเจ้าคนเดียวมาลอบสังหารข้าก็พอแล้ว เหตุใดถึงยังให้คนตามกันมาอีกเป็นฝูงเช่นนี้ นี่ไม่เท่ากับแสดงให้เห็นว่าเขาไม่วางใจในตัวเจ้าหรือ หรือว่าเขาอยากให้พอเจ้าข้าฆ่าเสร็จก็จะฆ่าเจ้าปิดปากไปด้วย ผู้ชายประเภทนี้น่ะ แม่นางเสี่ยวเวยต้องระวังไว้สักหน่อย”
ยอดหญิงงามส่งเสียงหึหึ “แค่พวกเขาเหล่านี้ ฆ่าข้าไม่ได้หรอก”
คนชุดดำถูกพบเข้าเสียแล้ว จึงไม่สนใจจะปิดบังอีก พวกเขากวัดแกว่งกระบี่พุ่งเข้าหาพวกนางทั้งสอง แทบจะในเวลาเดียวกัน เหนือศีรษะพวกเขามีเงาดำบินผ่าน มือโปรยยาพิษลงมาราวกับเศษฝุ่น เล็งตรงไปที่ศีรษะและใบหน้าของเฉียวเวยกับยอดหญิงงาม
แค่เพียงบังเอิญว่าทั้งสองกินยาแก้พิษลงไปก่อนหน้า ผงพิษเหล่านี้แทบจะไม่ส่งผลใดๆ ต่อพวกนาง กับเสี่ยวไป๋ก็ไม่มีเช่นกัน
แค่เพียงไม่กี่กระบวนท่า ที่พื้นก็มีคนล้มกันกลาดเกลื่อน
เฉียวเวยยังคงหาถุงเงินออกมาเทเหมือนเดิม แต่แล้วจู่ๆ จูเอ๋อร์ที่อยู่บนต้นไม้ก็ร้องเจี๊ยกๆๆๆ ขึ้นมา
เฉียวเวยตั้งสติเงี่ยหูฟัง “มีเสียง!”
เสียงการต่อสู้
ป่าวันนี้เหตุใดถึงได้คึกคักเพียงนี้
คงไม่ใช่จีหมิงซิวสู้กับใครหรอกกระมัง
คณะของเฉียวเวยรีบออกตัวไปทันที พวกนางเห็นประกายดาบกันมาแต่ไกล ไอสังหารอันรุนแรงพุ่งเข้ามาปะทะใบหน้าพาให้ตัวสั่นด้วยควาดหวาดกลัว จีหมิงซิวแทบจะนอนราบอยู่กับพื้นอยู่แล้ว มือหนึ่งกำกระบี่ อีกมือหนึ่งจับสายคาดเอว ปลายสายคาดเอวอีกด้านหนึ่งคือเฉียวเจิงที่ใกล้จะจมหายลงไปในบ่อโคลนเต็มที
จีหมิงซิวต่อสู้อย่างทุลังทุเลยิ่งนัก ครึ่งตัวบนของเขานอนราบอยู่บนบ่อโคลน อาศัยพละกำลังจากช่วงเอวในการรักษาสมดุล แล้วยังต้องดึงตัวเฉียวเจิงที่คล้ายหนักเป็นพันจินเอาไว้อีก พละกำลังกว่าครึ่งจึงถูกดึงเอาไว้
ใจของเฉียวเวยบิดตัวเป็นก้อน เตรียมจะพุ่งเข้าไปหาทั้งสองทันที
จีหมิงซิวมองเห็นนางจึงตะโกนบอกเสียงดังว่า “อย่าเข้ามา! เป็นโคลนดูด!”
เสี่ยวไป๋ดีดตัวออกไป
หนูรู้จักโคลนดูด!
เฉียวเวยกับยอดหญิงงามเดินตามทางที่เสี่ยวไป๋เดินไปจนเข้าไปถึงตรงกลาง
ยอดหญิงงามตัวสูงแขนยาว จึงคว้าสายคาดเอวเอาไว้หมับ แล้วดึงเฉียวเจิงขึ้นมาจากบ่อโคลนดูดสำเร็จ
ข้างหลังนางเปิดโล่งให้อีกฝ่าย คนชุดดำคนหนึ่งเงื้อดาบขึ้นจะฟันใส่นางอย่างดุดัน!
กริชของเฉียวเวยเสียบใส่หัวไหล่ของคนชุดดำ
คนชุดดำโกรธจัด ใช้ฝ่ามือกระแทกใส่หัวไหล่ของเฉียวเวย เฉียวเวยถูกแรงมหาศาลกระแทกใส่จนตัวกระเด็นออกไป จีหมิงซิวรีบกางแขนออก คว้าตัวนางเอาไว้ อีกมือหนึ่งเงื้อดาบปาดลำคอคนผู้นั้นทันที
เลือดอุ่นร้อนสดๆ สาดกระเซ็นเต็มหน้าเฉียวเวย
สีหน้าจีหมิงซิวซีดขาวราวขี้เถ้า
เฉียวเวยประคองเขาไว้ “เจ้าไม่เป็นไรกระมัง”
เขาส่ายหน้า ตรงมุมปากมีเลือดย้อยลงมา
คนกลุ่มนี้ก็ไม่รู้ไปหามาจากที่ใด แต่ละคนวรยุทธ์สูงส่งจนน่าแปลกใจ แม้แต่ยอดหญิงงามที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ ก็ยังไม่ได้เปรียบพวกเขาสักนิด
ไม่นานเฉียวเจิงก็เหยียบถูกบ่อโคลนดูดอีกครั้ง เฉียวเวยรีบเข้าไปดึงบิดาตนไว้ แต่ก็ถูกประกายดาบบังคับให้ต้องถอย!
คนกลุ่มนั้นยังคงปฏิบัติการกันต่อไป ในขณะที่ใกล้จะเพลี้ยงพล้ำเต็มทีนั้น จู่ๆ ก็มีคมดาบอันดุดันพุ่งแหวกอากาศเสียบทะลุหน้าอกคนชุดดำไปสามคนรวด คนชุดดำกลุ่มนั้นพลันสิ้นใจในบัดดล คนที่เหลือพากันตื่นตระหนก คิดอยากดูให้รู้ว่าใครกันที่มาลอบสังหารกันเช่นกัน เมื่อเงยหน้าขึ้นกลับเห็นเด็กหนุ่มที่ดูประหนึ่งเทพแห่งความตาย
เด็กหนุ่มคนนั้นมีดวงตาคู่งามที่ดำขลับวาววับประหนึ่งพลอยสีนิลแต่กลับไร้ซึ่งอารมณ์โดยสิ้นเชิง
กระบี่ของสือชีว่องไวกว่าพวกเขา จึงปาดเข้าลำคอจนเห็นเลือดกระเซ็นออกมา
แค่เพียงชั่วพริบตา คนชุดดำสิบกว่าคนก็ล้มลงเกลื่อนพื้น ครั้นเมื่อเหลือรอดอยู่เพียงคนเดียว จีหมิงซิวก็รีบห้ามสือซีไว้ “ไว้ชีวิตมันก่อน!”
สือชีชักกระบี่กลับ
คนผู้นั้นจะกัดถุงพิษในปากตนให้แตก สือชีจึงรีบถอดกรามคนผู้นั้นออก
ยอดหญิงงามอ้าปากค้าง “อาหลี่ว์ต๋า…”
เฉียวเวยหน้าบึ้ง “เจ้ามีอาหลี่ว์ต๋าตั้งสองคนแล้ว ยังจะคิดอะไรกับสือชีอีกหรือ อายุของสือชีจะเป็นลูกของเจ้าได้แล้วนะ!”
ยอดหญิงงามจับหัวใจที่เต้นระรัวเอาไว้ “ไม่ใช่อาหลี่ว์ต๋าของข้า ของลูกสาวข้าต่างหาก ข้าสามารถให้ลูกสาวที่ดีเลิศที่สุดของข้าแต่งงานกับเขาได้”
ลูกสาวเจ้าเพิ่งห้าขวบ!
อีกอย่างสือชีเป็นของบุตรสาวข้าต่างหาก
เฉียวเวยถลึงตาใส่ยอดหญิงงามอย่างต่อว่าต่อขาน แล้วจึงเดินเข้าไปดึงเฉียวเจิงขึ้นมาจากบ่อโคลน
อีกด้านหนึ่งจีหมิงซิวทรุดลงนั่งกับพื้นอย่างหมดแรง ริมฝีปากซีดขาวไร้สีเลือด
ตัวสือชีเองก็ได้รับบาดเจ็บ น่าจะเป็นตอนที่กระโดลงมาจากหน้าผา แต่ดูเหมือนเขาจะไม่รู้จักความเจ็บปวด เขาเดินเข้าไปหาจีหมิงซิว คุกเข่าลงเอาศีรษะวางบนหัวเข่าที่ตั้งชันขึ้นมาของอีกฝ่ายพลางทำท่าถูไถ ขดตัวซุกประหนึ่งลูกแมวตัวน้อย
จีหมิงซิวลูบแก้มอีกฝ่ายพร้อมหัวเราะน้อยๆ ออกมา “ข้าไม่เป็นไร”
…
พวกเขาเดินไปตามป่าจั้งชี่จนกลับขึ้นมาบนเขาได้อย่างปลอดภัย จากนั้นก็จุดประทัดขึ้นดอกหนึ่ง พวกอากุ้ยเห็นประกายประทัดก็รู้ทันทีว่าพวกเขาช่วยคนสำเร็จแล้ว จึงพากันเดินกลับตามทางเดิม
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยตามหานักฆ่าของพรรคโลหิตพิฉาต รวมถึงจีอู๋ซวงเจอที่ข้างใต้หุบเขา
แต่ที่ทำให้เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถึงกับตาโตอ้าปากค้างก็คือ จีอู๋ซวงถึงกับแต่งงานอยู่ในหุบเขาแล้ว!
ข้าไม่ได้จับตาดูเจ้าเพียงครึ่งวัน เจ้าก็จัดการเรื่องสำคัญในชีวิตของตนจนเรียบร้อยแล้วหรือ!
ซ้ำยังเป็นวัวแก่กินหญ้าอ่อน แต่งงานกับแม่นางที่เด็กพอจะเป็นลูกสาวเจ้าได้เสียอีก!
จีอู๋ซวงโกรธจนเป็มลมสลบไป เยี่ยนเฟยเจวี๋ยรับตัวฮูหยินคนใหม่ของเขารวมถึงท่านย่าของฮูหยินคนใหม่อย่างแม่เฒ่าเฟิงขึ้นภูเขาไปด้วยกัน
สือชีจับนักฆ่าที่ถูกถอดกรามออกกลับเมืองหลวงไปให้เยี่ยนเฟยเจวี๋ยสอบสวน เพื่อให้ได้รู้ว่าคนที่คอยบงการอยู่เบื้องหลังคือยิ่นอ๋องหรือเป็นคนอื่นกันแน่
…