หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 181-1 สั่งสอนหญิงสารเลว
ตอนที่ 181-1 สั่งสอนหญิงสารเลว
เฉียวเวยยกมือ ปี้เอ๋อร์เลื่อนกาน้ำร้อนที่อยู่เหนือศีรษะอู๋มามาออก อู๋มามาพลันโล่งอก ปี้เอ๋อร์เอ่ยข่มขู่นางอีกว่า “หากกล้าพูดปดแม้สักคำ น้ำร้อนในมือข้าจะสาดลงบนตัวเจ้าให้หมด!”
อู๋มามาตัวสั่นเทา “บ่าวมิกล้า บ่าวมิกล้า บ่าวมิกล้า…”
ปี้เอ๋อร์ตะคอกใส่ “รีบพูดมา!”
เฉียวเวยนึกขำในใจ นังหนูนี่เรียนรู้ฝีไม้ลายมือมาจากสวีซื่อ เมื่ออยู่ในบ้านตระกูลใหญ่จึงได้นำมาใช้พอดี โชคดีที่เอานางมาด้วย หากให้อยู่ต่อที่โรงงาน คงทำประโยชน์ให้ได้ไม่มากเพียงนี้
อู๋มามายังคงหวาดกลัวอย่างหนัก จึงกลั้นใจพูดความจริงออกไป “เป็นแม่นางเหลียนเอ๋อร์เจ้าค่ะ!”
เฉียวเวยมองนางด้วยความสงสัย “แม่นางเหลียนเอ๋อร์คือใครกัน”
อู๋มามาเอ่ยด้วยความหวาดหวั่น “เป็นผู้ดูแลบ้านชิงเหลียนเจ้าค่ะ เรื่องใหญ่เรื่องเล็กในบ้านชิงเหลียนต้องฟังที่นางจัดการทั้งสิ้น ทุกคน…ที่ทุกคนไม่ยอมออกมาคารวะฮูหยิน ก็เพราะแม่นางเหลียนเอ๋อร์บอกไว้ว่าให้รอนางมาพร้อมกันเจ้าค่ะ”
เฉียวเวยระบายยิ้ม “โอ้ ยิ่งใหญ่ไม่หยอก ไม่เพียงพวกเจ้าต้องรอนาง แม้แต่ข้าที่เป็นภรรยาโดยชอบธรรมก็ยังต้องรอนางไปด้วย นางคงหมายความเช่นนี้กระมัง”
สมองของอู๋มามาตรงไปตรงมา แม่นางเหลียนเอ๋อร์บอกให้รอนางก็รอ ไม่ได้คิดอะไรไปไกลกว่านั้น แต่เวลานี้เมื่อฮูหยินน้อยเอ่ยชี้นำจึงคิดได้ว่าเห็นจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ
อู๋มามาพลันรู้สึกไม่ดีไปทั้งตัว
ปี้เอ๋อร์กระซิบบอกว่า “ฮูหยิน ถามก่อนเจ้าค่ะว่าสาวใช้ผู้นั้นเป็นคนของใคร”
เฉียวเวยตอบอื้อคำหนึ่งแล้วเอ่ยกับอู๋มามาว่า “เจ้าเงยหน้าขึ้นมาบอกเรื่องเกี่ยวกับเหลียนเอ๋อร์ให้ข้าฟังดีๆ เล่ามาให้ข้าฟังโดยละเอียด”
อู๋มามาเอ่ยด้วยตัวที่สั่นเทา “บ่าว…หากบ่าวบอกฮูหยินน้อย ฮูหยินน้อยจะรับประกันความปลอดภัยของบ่าว…ว่าจะไม่เป็นอะไรหรือไม่”
เฉียวเวยยกมุมปากขึ้นด้วยท่าทีสบายๆ “เรื่องนี้ข้าคงรับประกันให้ไม่ได้ แต่ที่ข้าสามารถรับประกันได้ก็คือ หากเจ้าไม่บอกข้า เวลานี้เจ้าจะไม่ได้กลับไปอย่างปลอดภัยแน่นอน”
ปี้เอ๋อร์ให้ความร่วมมือด้วยการเอากาน้ำเดือดไปไว้บนศีรษะอีกฝ่าย ทำท่าคล้ายพร้อมจะเทใส่หัวนางทุกเมื่อ อู๋มามาตกใจจนยอมบอกทั้งหมด
อย่างนี้นี่เอง ที่แท้แม่นางที่ชื่อเหลียนเอ๋อร์ผู้นี้ก็ไม่ใช่ผู้ดูแลที่ถูกต้องตามหน้าที่อะไร แต่เป็นสาวใช้ในห้องหับที่จีเหล่าฮูหยินจัดการให้มาอยู่ในบ้านชิงเหลียน
“เดิมทีนางรับใช้อยู่ข้างกายเหล่าฮูหยิน เป็นสาวใช้ที่ใช้งานได้ ทั้งอ่านหนังสือออก รู้ภาษา แล้วยังทำบัญชีเป็น ปฏิบัติงานด้วยความใส่ใจ ยามทำงานอยู่ในเรือนลั่วเหมย เรียกได้ว่าเป็นแขนขาให้กับหรงมามา เหล่าฮูหยินเห็นแล้วชอบใจ จึงส่งนางมาที่บ้านชิงเหลียน ถึงแม้จะไม่ได้บอกให้ทราบโดยทั่วกัน แต่ทุกคนต่างเข้าใจว่านางไม่เหมือนกับพวกเราๆ นางเป็นคนของคุณชาย” อู๋มามาบอก
มือที่ถือถ้วยชาอยู่ของเฉียวเวยพลันชะงัก “คุณชายของพวกเจ้าแตะต้องนางแล้ว?”
อู๋มามาตอบว่า “เรื่องนี้บ่าวก็ไม่แน่ใจ บ่าวแค่ทำหน้าที่ปัดกวาด ยามปกติอยู่ที่เรือนหน้า เข้ามาในตัวเรือนไม่ได้”
เฉียวเวยคลี่ยิ้มละไม “สาวรับใช้ในห้องคนหนึ่งยังกล้าข่มขู่ข้า ปี้เอ๋อร์เจ้าว่านางไปเอาความกล้ามาจากที่ไหน”
ปี้เอ๋อร์ตอบว่า “หากไม่ใช่เหล่าฮูหยิน ก็คงเป็นคุณชายเจ้าค่ะ”
เฉียวเวยยกชาดื่มอึกหนึ่ง “เช่นนั้นหากข้าโบยนาง จะเท่ากับเป็นการก้าวร้าวเหล่าฮูหยินกับคุณชายหรือไม่”
ปี้เอ๋อร์เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ย่อมไม่เจ้าค่ะ เหล่าฮูหยินส่งนางมา ก็เพื่อให้นางรับใช้คุณชายอย่างเต็มที่ ไม่ใช่มาสร้างความลำบากให้คุณชาย ฮูหยินน้อยเป็นภรรยาที่ผูกเส้นผมกับคุณชาย นางไม่ให้ความเคารพฮูหยินน้อย จะไม่เท่ากับตบหน้าคุณชายหรือ ฮูหยินสนใจเพียงอบรมสั่งสอนนางก็พอ หากเหล่าฮูหยินถามขึ้น ก็เป็นนางที่ทำไม่ถูก ไม่เกี่ยวอันใดกับฮูหยินน้อยเจ้าค่ะ”
แม่สาวน้อยนี่ช่างเป็นลูกคู่ที่ดีเหลือเกิน เฉียวเวยเอ่ยยิ้มๆ ว่า “มีเหตุผล เจ้าไปบอกอีกที เรียกแม่นางเหลียนเอ๋อร์มาหาข้า”
“เจ้าค่ะ”
ปี้เอ๋อร์ก้าวออกไปแล้ว แต่กระนั้นที่ทำให้นางหัวเสียยิ่งนักก็คือ นางไปตะโกนเรียกที่เรือนสาวใช้ทุกห้องแล้วก็ยังไม่เห็นแม่นางเหลียนเอ๋อร์ออกมาเสียที
เฉียวเวยยกฝาถ้วยชาเล่น หัวเราะเบาๆ พลางเอ่ยว่า “แม่นางเหลียนเอ๋อร์พักอยู่ในบ้านชิงหลวนมานานเพียงนี้ คงไม่มีทางจะไม่มีสหายเลยสักคนกระมัง อย่างไรก็ควรมีคนรู้ว่านางอยู่ที่ไหนถึงจะถูก เจ้าไปบอกเป็นครั้งสุดท้ายที ให้บอกว่าข้าบอกว่าให้ทุกคนไปที่เรือนข้าง ใครไม่มา ให้เก็บข้าวของออกจากบ้านชิงเหลียนไปเสียเดี๋ยวนี้”
เมื่อใช้ยาแรงเช่นนี้ ก็มีบ่าวมากันไม่น้อยจริงๆ
ปี้เอ๋อร์ลองนับดู “หากรวมอู๋มามา ทั้งหมดก็ยี่สิบสามคนเจ้าค่ะ”
“ไม่นับเหลียนเอ๋อร์ ยังขาดไปสองคน”
“ขาดไปใช่หรือไม่” ปี้เอ๋อร์ถามอู๋มามา
อู๋มามาไม่กล้าตอบ
ปี้เอ๋อร์หันไปมองทุกคนอีกครั้ง “ขาดใครไป”
ทุกคนเอาแต่ก้มหน้าก้มตาไม่มีใครตอบ
เฉียวเวยเอ่ยอย่างไม่เร่งร้อน “ขาดคนที่มีปานนำตรงหูข้างซ้าย กับคนที่มีรอยมีดบาดบนมือข้างขวา”
เมื่อเอ่ยเช่นนี้ออกไป ทุกคนอดอึ้งกันไปไม่ได้ แม้แต่กฎระเบียบก็ลืมไปจนหมดสิ้น เหลือบตาขึ้นมองเฉียวเวยด้วยความใคร่รู้ระคนหวาดกลัว
เฉียวเวยระบายยิ้ม “อยากรู้ว่าข้ารู้ได้อย่างไรหรือ เมื่อวานตอนข้าอาบน้ำ มีคนเข้ามารับใช้ข้าทั้งหมดสิบหกคน ตักน้ำสิบสามคน เตรียมที่ขัดตัวหนึ่งคน เตรียมเครื่องหอมหนึ่งคน คนเข้ามามือเปล่าหนึ่งคน เจ้า เจ้า เจ้า…แล้วก็เจ้า”
เฉียวเวยชี้ไปยังสาวใช้ทั้งสาม สาวใช้ตักน้ำสิบคน กับมามาที่มีพละกำลังมากหนึ่งคนได้อย่างไม่มีผิดสักนิด เสร็จก็เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ข้าจำผิดไปบ้างหรือไม่”
ทั้งสิบสี่คนตกใจจนพูดอะไรไม่ออก
พวกนางเป็นเพียงบ่าวเตรียมน้ำเท่านั้น ใครกันจะเห็นหน้าพวกนางเพียงแวบเดียวแล้วจำได้ไม่มีตกหล่นเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนเมื่อคืนฮูหยินน้อยจะไม่ได้มองพวกนางตรงๆ เลยด้วยซ้ำ…
นี่ออกจะน่าแปลกเกินไปหรือไม่
ในใจทุกคนพลันสั่นสะท้าน
เฉียวเวยเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เมื่อครู่ปี้เอ๋อร์ได้ไปถ่ายทอดสิ่งที่ข้าบอกหรือไม่ หากมีใครไม่มา ก็เก็บของออกจากบ้านชิงหลวนไปได้เลย”
ทุกคนยิ่งก้มหน้ากันหนักขึ้น
เฉียวเวยลูบขนพังพอนที่อยู่บนตัก “ดูท่าคงจะมี ดีมาก ปี้เอ๋อร์”
ปี้เอ๋อร์ค้อมกาย “ฮูหยิน”
เฉียวเวยเอ่ยว่า “ไปจับตัวบ่าวสองคนนั้นมา!”
“เจ้าค่ะ!”
ปี้เอ๋อร์ไปที่เรือนสาวใช้ด้านหลัง เรือนสาวใช้ด้านหลังมีพื้นที่อยู่เพียงเท่านั้น การจะหาสาวใช้สองคนเป็นเรื่องง่ายดายนัก
ปี้เอ๋อร์ยกขาถีบประตู!
เมื่อใกล้ชิดกับเฉียวเวยนานเข้า วิธีการบางอย่างจึงเริ่มจะเรียบง่ายและหยาบกระด้าง
ตอนแรกสาวใช้สูงอายุสองคนดูอึ้งไป เมื่อเห็นว่าคนที่มาเป็นปี้เอ๋อร์ก็ทำหน้าดุดันขึ้นมาทันที หญิงรับใช้สูงอายุที่มีปานดำตรงหูซ้ายพูดขึ้นว่า “นังเด็กนี้ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือไร ถึงขั้นกล้าถีบประตูห้องข้า!”
ปี้เอ๋อร์เอ่ยเสียงเย็นว่า “ฮูหยินน้อยมีคำสั่ง ให้ข้าจับตัวพวกเจ้าสองคนไป พวกเจ้าจะเดินไปเองดีๆ หรือจะให้ข้าใช้เชือกมัดตัวพวกเจ้าไป”
หญิงรับใช้สูงอายุทั้งสองหันมองหน้ากัน จากนั้นก็หัวเราะเสียงดังฮ่าๆๆๆๆ ออกมา
“เจ้ามีสิทธิ์อะไร” หญิงรับใช้สูงวัยที่มีแผลตรงหลังมือขวาหัวเราะจนควบคุมตนเองไม่ได้ “เจ้ากลับไปกินข้าวเพิ่มก่อนสักสองชามแล้วค่อยกลับมาใหม่เถอะ!”
ปี้เอ๋อร์ดึงเชือกในมือพลางเดินปรี่เข้าไปจะมัดอีกฝ่ายตามที่บอก
หญิงรับใช้ที่มีแผลมีดบาดถ่มน้ำลายด้วยความดูแคลนก่อนเงื้อมือขึ้นจะเข้าไปตบอีกฝ่าย แต่ยังไม่ทันได้ทำอย่างใจหมาย เสี่ยวไป๋ก็พุ่งเข้ามาทางประตู กระโดดโผขึ้นสูงแล้วเอาอุ้งมือพันรอบคอหญิงรับใช้ที่มีแผลเป็นเอาไว้
พอได้ยินเพียงเสียงร้องโหยหวน หญิงรับใช้ที่มีแผลเป็นก็เจ็บจนล้มลงกลิ้งไปกลิ้งมาทั่วพื้น
ส่วนสหายของนางคนที่มีปานดำบนหูซ้ายเมื่อเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดี จึงคว้าเก้าอี้จะโยนใส่เจ้าตัวเล็กนั่น
เสี่ยวไป๋กระโดดหลบการโจมตีของนาง ตามโผเข้าไปจะตบอีกฝ่ายจนนางล้มกลิ้งลงทับหญิงรับใช้ที่มีรอยแผลเป็น
ปี้เอ๋อร์รีบเดินเข้าไป หยิบเชือกออกมามัดมือทั้งสองไว้ จากนั้นจึงลากตัวทั้งสองไปผลักลงที่โถงข้าง
บ่าวในโถงข้างเห็นปี้เอ๋อร์เป็นแม่นางน้อยที่อ่อนแอไร้เรี่ยวแรงคนหนึ่ง คิดว่านางจะเสียท่าให้หญิงรับใช้ที่มีพละกำลังมหาศาล กลับคิดไม่ถึงว่านางจะจับตัวทั้งสองมัดมาได้จริงๆ หนำซ้ำยังเห็นหญิงรับใช้สองคนหน้าตาบวมช้ำ คล้ายถูกต่อยตีมาอย่างรุนแรงอีกด้วย
เมื่อเป็นเช่นนี้ ทุกคนเลยยิ่งสั่นสะท้านกันไปใหญ่
ปี้เอ๋อร์เตะข้อพับหญิงรับใช้ทั้งสอง “คุกเข่าลง!”
ทั้งสีหน้าและท่าทางมีส่วนคล้ายเฉียวเวยเวลาออกฤทธิ์อยู่สามส่วน นี่เป็นเด็กสาวที่ถูกเฉียวเวยทำให้ “เสียคน” หากเฝิงซื่ออยู่ที่นี่ จะต้องไม่กล้าเชื่อว่านี่คือบุตรสาวที่แสนจะประนีประนอมของนางแน่นอน
หญิงรับใช้ทั้งสองขาพลันอ่อน คุกเข่าลงกับพื้น
เฉียวเวยเอ่ยว่า “ที่เรียกพวกเจ้ามาไม่ได้มีความตั้งใจเป็นอื่น แค่เพียงจะบอกพวกเจ้าว่า พวกเจ้าถูกเลิกจ้างแล้ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป บ้านชิงหลวนจะไม่มีตำแหน่งให้พวกเจ้าอีก พวกเจ้ามาจากไหนก็ไปทางนั้นเสีย”
หญิงรับใช้ทั้งสองต่างอึ้งไป ไม่กล้าเชื่อว่าอีกฝ่ายจะไล่พวกนางออกจากบ้านชิงหลวนจริงๆ
หญิงรับใช้ที่มีแผลเป็นเอ่ยว่า “ฮูหยินน้อย ท่านจะทำเช่นนี้ไม่ได้!”
เฉียวเวยยิ้มพลางถามว่า “เพราะเหตุใด”
หญิงรับใช้ที่มีแผลเป็นตอบ “บ่าวเป็นบ่าวของบ้านชิงเหลียน ต่อให้จะลงโทษบ่าว ก็ต้อง…ก็ต้องขอความเห็นจากแม่นางเหลียนเอ๋อร์ก่อน”
เฉียวเวยวางถ้วยชาลงบนโต๊ะเรียบๆ “เหลียนเอ๋อร์หรือข้ากันแน่ที่เป็นนายหญิงของบ้านชิงเหลียน”
หญิงรับใช้ที่มีแผลเป็นตอบว่า “บ่าวไม่ได้หมายความเช่นนั้น เพียงแต่…เรื่องในบ้านชิงเหลียนแต่ไหนแต่ไรมาก็มีแม่นางเหลียนเอ๋อร์คอยจัดการ…พวกบ่าวจะอยู่หรือไม่อย่างไรก็ควรให้แม่นางเหลียนเอ๋อร์…”
“บังอาจ!” ปี้เอ๋อร์ชี้หน้าอีกฝ่าย “เจ้ากำลังจะบอกว่าคำพูดของฮูหยินข้ายังสู้คำพูดของบ่าวคนหนึ่งไม่ได้อย่างนั้นหรือ”
เฉียวเวยสะบัดมือ “ลากออกไป”
“เจ้าค่ะ!” ปี้เอ๋อร์ถลึงตาดุใส่หญิงรับใช้ คว้าเสื้ออีกฝ่ายแล้วลากออกไปข้างนอก
หญิงรับใช้ที่มีแผลเป็นต่อให้ถูกมัดมือเอาไว้ แต่ส่วนอื่นของร่างกายยังคงคล่องแคล่ว นางทิ้งตัวให้ตัวล้มลงกับพื้น ไม่ว่าปี้เอ๋อร์จะลากจะดึงอย่างไรก็ไม่ยอมลุก
ปี้เอ๋อร์เห็นว่าลากนางไม่ไปจึงหันไปลากหญิงรับใช้ที่มีปานที่หูแทน หญิงรับใช้ผู้นั้นก็เอาอย่างบ้าง ลงไปกลิ้งกับพื้นเป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมลุกขึ้น
ปี้เอ๋อร์ลากไม่ไหว จึงหัวเสียยิ่งนัก!
เฉียวเวยลุกขึ้นช้าๆ “ถอยไป”
ปี้เอ๋อร์หอบแฮ่กพลางปล่อยมือ
ทุกคนหันไปมองเฉียวเวย อยากรู้ว่านางจะทำอะไร จึงได้เห็นเฉียวเวยใช้มือคว้าตัวทั้งสองขึ้นมาข้างละคนแล้วโยนออกประตูใหญ่ไปโดยไม่เปลืองแรงสักนิดราวกับโยนลูกไก่
ทุกคนที่เหลือ…ตาโตอ้าปากค้าง
เฉียวเวยปัดมือแล้วกลับไปนั่งลงที่เดิม “ตอนนี้แต่ละคนบอกข้ามาว่าเหลียนเอ๋อร์ไปอยู่ไหน”
เหลียนเอ๋อร์ไปที่เรือนถง
คอยรับใช้หลิวเกอร์ที่นอนป่วยอยู่ในห้อง
เกอร์ในเรือนตนเองไม่ดูแล กลับวิ่งไปดูแลบุตรคนอื่นที่เรือนอื่น ควรจะบอกว่าหญิงนางนี้ซื่อบื้อดี หรือควรจะบอกว่าหญิงนางนี้จิตใจงดงามดีหนอ?
เฉียวเวยส่งปี้เอ๋อร์ไปเรียกเหลียนเอ๋อร์กลับมา
เดิมทียังคิดว่าจะเป็นสตรีที่มีความงามเลิศประหนึ่งบุปผาเสียอีก ที่ไหนได้กลับเป็นสตรีที่รูปลักษณ์ธรรมดาสามัญคนหนึ่ง ดูท่าเหล่าฮูหยินคงยังไม่หูตามืดบอกถึงขั้นหานางจิ้งจอกมายั่วยวนให้หลานของตนลุ่มหลง การส่งสตรีที่เอาใจใส่เช่นนี้มาให้ หนึ่งเพื่อช่วยคลายความต้องการให้หลานชายของตน สองก็เพื่อให้นางช่วยหลานชายจัดการเรื่องจิปาถะทั่วไปภายในเรือน
เหลียนเอ๋อร์เอ่ยด้วยสีหน้าหนักอึ้งว่า “บ่าวได้ยินว่าฮูหยินน้อยจัดการไล่มามาสองคนออกไป ไม่ทราบว่าคุณชายทราบเรื่องนี้หรือไม่”
เฉียวเวยยิ้มเรียบๆ “เจ้ามาถึงคำแรกที่พูดไม่ใช่การทักทายคารวะข้า แต่กลับซักถามเพื่อกล่าวโทษข้า ตำแหน่งเจ้าช่างใหญ่โตเสียจริงนะ”
เหลียนเอ๋อร์ตอบอย่างไม่อ่อนน้อมและไม่เย่อหยิ่ง “บ่าวได้รับคำสั่งจากเหล่าฮูหยินให้จัดการเรื่องในบ้านชิงเหลียน ก็ต้องจัดการเรื่องจิปาถะทั้งหลายให้เหมาะสม หากมีสิ่งใดที่เป็นการล่วงเกินฮูหยินน้อย ก็ขอฮูหยินน้อยโปรดเข้าใจด้วย”
เฉียวเวยมองอีกฝ่ายอย่างเห็นขัน “เหตุใดข้าถึงต้องเข้าใจด้วย คนที่ทำผิดคือเจ้า ไม่ใช่ข้าเสียหน่อย”
เหลียนเอ๋อร์เอ่ยอย่างเย่อหยิ่งว่า “ฮูหยินน้อยกล่าวเช่นนี้ จะไม่ใจคอคับแคบไปสักหน่อยหรือ”
เฉียวเวยยิ้มบางๆ พลางพยักหน้า “ประโยคนี้ของเจ้านับว่าพูดได้ถูกต้องแล้ว ข้าใจคอคับแคบจริงๆ ในตาข้าจะให้มีเม็ดทรายไม่ได้ ดังนั้นหลังจากนี้ใครยังอยากทำงานอยู่ในบ้านชิงเหลียนต่อ ทางที่ดีอย่าล่วงเกินข้าจะดีที่สุด”
ตอนที่เฉียวเวยพูดประโยคนั้น สายตานางกวาดมองไปยังทุกคนที่ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
เหลียนเอ๋อร์กล่าวอย่างไม่มีเกรงกลัวว่า “ฮูหยินน้อยเหตุใดต้องทำให้พวกนางลำบากด้วย ที่พวกนางไม่ไปคารวะฮูหยินน้อยในทันทีก็เพราะฟังที่ข้าบอกว่าให้รอข้าก่อน พวกนางไม่ได้ทำอะไรผิด หากฮูหยินน้อยต้องการจะกล่าวโทษจริงๆ คนผู้นั้นควรเป็นข้า”
จึ๊ เหนือชั้น เหนือชั้นจริงๆ!
ดูวิธีซื้อใจคนของนางสิ สมบูรณ์แบบโดยแท้
นางอยู่ในชนบทมานาน ไม่ได้พบเจอใครที่เก่งกาจสักคน เข้าบ้านตระกูลจีมาได้วันเดียวก็ได้พบถึงสองคนแล้ว ไม่เสียแรงที่เป็นบ้านตระกูลใหญ่ น้ำลึกประหนึ่งมหาสมุทรเหลือเกิน
เฉียวเวยยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เจ้าเห็นข้าทำให้พวกนางลำบากแล้วหรือ”
เหลียนเอ๋อร์สะอึกไป
เฉียวเวยเอ่ยกลั้วยิ้มสบายๆ ว่า “พวกนางมากันที่นี่เพื่อคารวะข้า ข้ากำลังจะให้พวกนางออกไปอยู่ทีเดียวก็พอดีว่าเจ้ามา เจ้าดูจากอะไรถึงคิดว่าข้าจะหาเรื่องพวกนางหรือ คงไม่ใช่ว่าก่อนเจ้าไป เจ้าวางแผนเอาไว้อย่างดีแล้วกระมัง พอข้าหาเจ้าไม่เจอจะต้องโกรธจนจับพวกนางมาถามความให้ได้ เช่นนั้นจิตใจเจ้าก็คงยากแท้หยั่งถึงเกินไป วันนี้พอได้มาเจอคนที่ใจดีราวพระโพธิสัตว์อย่างข้าจึงไม่ได้ทำอะไรพวกนาง หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นที่ร้ายกาจและโหดเหี้ยมกว่านี้ คนเหล่านี้จะไม่หมดสิ้นชีวิตกันไปแล้วหรือ หากพวกนางไม่รอดจริงๆ บัญชีครั้งนี้จะเป็นของข้าที่ทำไปเพราะบันดาลโทสะ หรือเป็นของเจ้าที่ผลักพวกนางเข้ามาหาไฟโทสะของข้ากัน”
ทุกคนต่างหันไปมองทางเหลียนเอ๋อร์ นางวางแผนไว้เช่นนั้นจริงๆ หรือ นางเพียงคิดอยากใช้พวกตนยั่วยุให้ฮูหยินน้อยโกรธ แต่กลับไม่สนใจความเป็นความตายของพวกตนอย่างนั้นหรือ
เฉียวเวยยิ้มเยาะ คิดจะเล่นเกมวัดใจกับเจ๊หรือ ตอนเจ๊ทำศึกสามรอยด้านอยู่ใน office เจ้ายังไม่รู้อยู่ที่ไหนด้วยซ้ำ!
เฉียวเวยพูดต่อว่า “ข้าเพิ่งมาบ้านตระกูลจีได้ไม่นาน ไม่รู้ว่าตามกฎของบ้านตระกูลจีแล้วควรจัดการอย่างไร สู้ให้คุณชายของพวกเจ้ากลับมาก่อน แล้วลองถามเขาดูว่าควรจัดการเช่นไรก็แล้วกัน”
เหลียนเอ๋อร์พลันหน้าถอดสี
สายตาเฉียวเวยกวาดผ่านใบหน้าทุกคนไป “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าคิดกันอย่างไร พวกเจ้าเห็นว่าข้ากับหมิงซิวแต่งงานกันก็เพราะมีบุตร ข้าเป็นบุตรสาวที่ถูกตระกูลเฉียวทอดทิ้ง เป็นแม่หม้ายที่ระหกระเหินอยู่ในหมู่ชาวบ้านมาหกปี ที่หมิงซิวแต่งงานกับข้า หนึ่งเพราะเรื่องลูก สองเพราะราชโองการของฮองเฮา แต่ในสายตาจีหมิงซิว บางทีข้าอาจจะไม่ได้สะอาดผุดผ่องตั้งแต่แรก ยามพวกเจ้าเข้าไปเก็บเตียงนอน เห็นว่าข้ากับเขายังไม่ได้ร่วมหอกัน จึงยิ่งมั่นใจว่าเขารังเกียจข้า ดูถูกข้า ดังนั้นพวกเจ้าจึงไม่เห็นความสำคัญของข้า ที่แต่ละคนคิดอยากจะขึ้นมาขี่หัวข้าก็เพราะมั่นใจว่าข้าไม่ได้รับความโปรดปราน ไม่กล้าทำอะไรพวกเจ้าและไม่กล้าไปฟ้องอะไรต่อหน้าหมิงซิว”
ใบหน้าของเหลียนเอ๋อร์พลันแดงก่ำอีกครั้ง
แต่ละประโยคช่างจี้ใจดำนัก ไม่เพียงแค่นาง บ่าวทุกคนในบ้านชิงเหลียนเริ่มละอายใจและหวาดกลัวกันขึ้นมาแล้ว
เฉียวเวยเก็บซ่อนเอาไว้ พวกนางคงยังไม่กลัว แต่เมื่อเอาทุกอย่างออกมากางลงต่อหน้า ก็เห็นได้ชัดว่าท่าทางนางดูไม่เกรงกลัวสักนิด หรือว่าพวกนางจะคาดเดากันผิดจริงๆ คุณชายไม่ได้รังเกียจนาง?
แต่หากไม่รังเกียจ เหตุใดถึงไม่ร่วมหอกับนางเล่า
ถึงอย่างไรเฉียวเวยก็ไม่ใช่คนโบราณ จึงไม่รู้ว่าการร่วมหอสำหรับคนโบราณแล้วถือเป็นเรื่องใหญ่ ภรรยาที่ไม่ได้ร่วมหอในคืนแรกของการแต่งงาน หรือร่วมหอแล้วไม่มีเลือดออก จะไม่อาจเชิดหน้าอยู่ในบ้านสามีได้
นางมีกระทั่งบุตรแล้ว ย่อมไม่อาจมีเลือดออกได้ เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของนาง แต่ก็ยังมีคนอดคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ได้ ความคิดร้ายของคนไม่มีที่สิ้นสุด นางอยู่ในหมู่ชาวบ้านมาหกปี จะรักษาตัวไว้ประหนึ่งหยกได้หรือไม่ ใครเลยจะกล้ารับประกัน
บนเตียงไม่มีร่องรอยของการร่วมรัก จึงยิ่งสนับสนุนการคาดเดาในทางร้ายของพวกนางเข้าไปใหญ่
หากรู้แต่แรกว่าจะนำความยุ่งยากมาให้มากเพียงนี้ เมื่อวานนางกับหมิงซิวควร…
คิดอะไรน่ะ
ก็แค่พวกพูดไปเรื่อยเท่านั้น
เหลียนเอ๋อร์เริ่มขอความเห็นใจ “บ่าวเลอะเลือนไปชั่วขณะ ขอฮูหยินน้อยโปรดเห็นแก่หน้าเหล่าฮูหยิน ให้อภัยบ่าวด้วยเถอะเจ้าค่ะ”
ปากแม่สาวนี่ร้ายกาจนัก ถึงขั้นเอาเหล่าฮูหยินออกมากดดันนาง หากนางยังดึงดันจะทำอะไรอีกฝ่ายต่อ จะไม่เท่ากับไม่เห็นแม้แต่เหล่าฮูหยินอยู่ในสายตาหรือ ภรรยาที่เพิ่งแต่งงานเข้ามาใหม่ไปล่วงเกินมารดาเลี้ยงก็แล้วไปเถอะ แต่หากยังล่วงเกินท่านย่าอีก นางยังอยากจะใช้ชีวิตในวันข้างหน้าต่อไปหรือไม่
เฉียวเวยยิ้มอย่างมีนัยยะลึกซึ้ง “แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ข้าย่อมต้องอภัยให้เจ้าแน่ พวกเจ้าทุกคนก็เหมือนกัน เห็นแก่ที่พวกเจ้าทำผิดครั้งแรก ข้าจะขอความเห็นใจจากคุณชายให้พวกเจ้าเอง”
ผ่านไปไม่นาน จีหมิงซิวก็อุ้มลูกทั้งสองที่เนื้อตัวเปียกปอนไปด้วยเหงื่อกลับมา
“ท่านแม่!” ซาลาเปาน้อยดิ้นยุกยิกแล้วกระโดดลงพื้น โผเข้าไปให้เฉียวเวยกอด
เฉียวเวยลูบหลังทั้งสองดู เปียกชื้นไปหมด จึงรีบบอกปี้เอ๋อร์ว่า “พาจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูไปเปลี่ยนชุดที”
ปี้เอ๋อร์พาซาลาเปาน้อยออกไป