หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 184-1 ความจริงเปิดเผย
ตอนที่ 184-1 ความจริงเปิดเผย
วันหยุดแต่งงานสามวันสิ้นสุดลง จีหมิงซิวเริ่มกลับไปเข้าประชุมราชการ คนเราเมื่อมีเรื่องมงคลเกิดขึ้น จิตใจมักจะเบิกบานแจ่มใส ยิ่งไปกว่านั้นในบ้านยังมีสตรีผู้เลอโฉมเพิ่มเข้ามา แม้แต่ผู้ตรวจการจีหมิงซิวก็ไม่ต่อต้านอีก ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เก็บอย่างไรก็เก็บไม่อยู่
ในยุคราชวงศ์ต้าเหลียง นอกจากกลับไปเยี่ยมบ้านแล้ว เดือนแรกของการแต่งงานจะต้องอยู่แต่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ซึ่งนี่เรียกว่าการเฝ้าห้องหอ
ดังนั้นเฉียวเวยจึงใช้ชีวิตแต่งงานใหม่ราวกับการอยู่เดือน พวกเด็กๆ เพิ่งมาอยู่บ้านใหม่ จึงสนใจใคร่รู้ไปเสียทุกอย่าง วันๆ เดินเล่นไปทั่วจวน ถึงเวลากินข้าวถึงจะพอได้เห็นตัว ยังดีที่ในบ้านชิงเหลียนมีคนมาขอให้ตรวจโรคมาก เฉียวเวยจึงไม่มีเวลาว่างมากนัก
“นี่เป็นแค่ผิวหนังอักเสบธรรมดา ไม่ได้ถูกแมลงอะไรกัดหรอก ทายาสักหน่อยก็ไม่เป็นอะไรแล้ว” เฉียวเวยหันไปมองปี้เอ๋อร์ “ยาชิงเหลียงหนึ่งช้อน”
ปี้เอ๋อร์ตักยาจากโหลใหญ่ช้อนหนึ่งแล้วใส่ลงในขวดกระเบื้องเคลือบ ตอนส่งให้สาวใช้ก็บอกว่า “ตอนเจ้าจะใช้ ใช้ไม้เขี่ยขึ้นมานิดเดียวก็พอ ไม่ต้องทาหนานัก”
สาวใช้รับไปแล้วหันไปเอ่ยของคุณเฉียวเวย “ขอบคุณฮูหยินน้อยมากเจ้าค่ะ!”
เฉียวเวยจดใส่ลงในบัญชี นางไม่ได้จะตรวจอาการให้ใครเปล่าๆ เดี๋ยวนางจะต้องเอากลับไปเบิกเงินจากจีหมิงซิว “ยังมีอีกกี่คน”
ปี้เอ๋อร์มองออกไปด้านนอกเรือน อู๋มามากำลังกวาดใบไม้อยู่พอดี พอเห็นว่าปี้เอ๋อร์กำลังมองมาที่ตน นางจึงส่งยิ้มไปให้ ปี้เอ๋อร์ยิ้มตอบบางๆ แล้วหันไปบอกเฉียวเวยว่า “ไม่มีแล้วเจ้าค่ะฮูหยิน อู๋มามาก็หายดีแล้ว”
เฉียวเวยเลยพูดขึ้นว่า “ดูท่าคงจะขาดโพแทสเซียมจริงๆ”
“โพแทสเซียมคืออะไรหรือ” ปี้เอ๋อร์เคยได้ยินเฉียวเวยพูดขึ้นมาครั้งหนึ่งแล้ว แต่ไม่สู้จะเข้าใจนัก
เฉียวเวยจึงอธิบายว่า “โพแทสเซียมเป็นจุลธาตุชนิดหนึ่ง เจ้าจะเข้าใจว่ามันเป็นสารอาหารชนิดพิเศษอย่างหนึ่งก็ได้ ตัวอย่างเช่นตับหมูช่วยบำรุงสายตา บำรุงเลือด รักษาโรคโลหิตจาง โรคมองไม่เห็นในที่มืดเป็นต้น ทำไมมันถึงสามารถบำรุงสายตาได้ ก็เพราะมันมีวิตามิน A อยู่ในปริมาณมาก วิตามินประเภทนี้ส่งผลดีต่อสายตา ทำไมมันถึงรักษาโรคเลือดได้ ก็เพราะมันอุดมไปด้วยธาตุเหล็ก ธาตุเหล็กมีส่วนสำคัญมากในการช่วยบำรุงเลือด”
ปี้เอ๋อร์ยิ่งฟังยิ่งงงไปหมด
เฉียวเวยมองสีหน้างุนงงของอีกฝ่ายแล้วถอนหายใจ “เฮ่อ ข้าจะพูดเรื่องนี้กับคนโบราณอย่างเจ้าไปไย แม้แต่โฆษณาแคลเซียม ธาตุเหล็ก ซิงค์ เจ้ายังไม่เคยดูเลย”
ปี้เอ๋อร์: แคลเหล็กซิ้งนี่คืออะไรไปอีก โฆษณาคืออะไร เหตุใดนางถึงฟังไม่เข้าใจสักนิด
เฉียวเวยมองนาฬิกาทรายบนกำแพงแล้วกะเวลาดูว่าลูกๆ น่าจะใกล้กลับมากินข้าวแล้ว นางจึงเตรียมจะเก็บของกลับไปที่ห้อง แต่จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเยียนเอ๋อร์รายงานว่า “ฮูหยินรองมา”
ฮูหยินรอง? หลี่ซื่อที่หาเรื่องให้นางวางตัวลำบากบนโต๊ะอาหารผู้นั้นน่ะหรือ
หลี่ซื่อไม่ได้ดูถูกนางหรอกหรือ นี่ตะวันขึ้นทางทิศตะวันตกหรือไร นางถึงกับมาที่บ้านชิงเหลียนได้
เฉียวเวยเลยบอกว่า “บอกนางว่าคุณชายไม่อยู่” คงไม่ได้มาหานางหรอกกระมัง
เยียนเอ๋อร์เอ่ยเสียงเบาว่า “บ่าวบอกไปแล้วเจ้าค่ะ ฮูหยินรองบอกว่านางมาหาท่านเจ้าค่ะ”
ปี้เอ๋อร์ทำเสียงหึทีหนึ่ง “นางมาหาฮูหยินทำไมกัน คงไม่ได้รังเกียจว่าไข่ที่ฮูหยินให้ไม่อร่อย เลยจะมาคืนของขวัญหรอกกระมัง”
เฉียวเวยยิ้มบางๆ “ผู้มาเป็นแขก เชิญฮูหยินรองเข้ามา”
หลี่ซื่อได้รับเชิญให้เข้ามาในโถงหมิง ปี้เอ๋อร์ชงชาแล้วยกมาให้เฉียวเวยกับนาง
เฉียวเวยเอ่ยยิ้มๆ ว่า “วันนี้ที่อาสะใภ้รองมาหาข้า เพราะมีเรื่องอันใดหรือ”
หลี่ซื่อขยับปาก เหลือบมองปี้เอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ แล้วก็นิ่งไป
เฉียวเวยสังเกตเห็นว่านางมาคนเดียว ไม่ได้ให้สาวใช้เข้ามาด้วย คิดว่าคงไม่ใช่เรื่องที่พูดได้สะดวกนัก จึงหันไปส่งสายตาให้ปี้เอ๋อร์ ปี้เอ๋อร์เลยถอยออกไป เฉียวเวยพูดขึ้นว่า “อาสะใภ้รองเชิญพูดเถอะ”
หลี่ซื่อรู้สึกกระอักกระอ่วนและอึดอัดเล็กน้อย นางสูดหายใจเข้าออกลึกๆ หลายทีก่อนจะเอ่ยออกมาช้าๆ ว่า “ข้าได้ยินว่าที่เจ้านี่…ตรวจโรคให้ได้”
เฉียวเวยเดาออกแล้วว่านางจะมาทำอะไร มิน่าเล่าถึงพูดไม่ออกเพียงนี้ หากนางไปหาเรื่องคนอื่นเขาก่อนแล้วจะไปขอให้คนนั้นช่วยตรวจโรคให้ นางคงพูดไม่ออกเช่นกัน
เฉียวเวยเลยยิ้ม “ท่านพ่อท่านแม่ข้าทิ้งหนังสือแพทย์เอาไว้ให้ข้าเล็กน้อย ข้าเอามาอ่านยามไม่มีอะไรทำเลยพอจะรู้อยู่บ้าน อาสะใภ้รองมีตรงใดไม่สบายหรือ”
หลี่ซื่อไม่ได้ตอบคำถามนางแต่กลับพูดว่า “วันนั้นข้าก็ไม่ได้ตั้งใจจะปากมาก ข้าเพียงแค่อยากรู้มากเท่านั้น เจ้าตัวคนเดียวเลี้ยงเด็กสองคนให้เติบใหญ่ ไม่ง่ายเลยจริงๆ หากเป็นข้าคิดว่าคงทำไม่ได้”
เริ่มจะยกยอปอปั้นกันเสียแล้ว
ก็แค่พูดจาไม่ถูกหูกันเล็กน้อยเท่านั้น เฉียวเวยยังไม่ใจแคบถึงเพียงนั้นหรอก
เฉียวเวยยิ้มบางๆ “เรื่องมันผ่านไปแล้ว ข้าลืมไปหมดแล้ว”
หลี่ซื่อยิ้มแหยๆ
เฉียวเวยระบายยิ้มถามว่า “สะใภ้รองมีตรงใดไม่สบายบอกข้ามาได้เลย หากข้าสามารถรักษาได้ จะต้องทำเต็มที่แน่นอน หากรักษาไม่ได้ ก็จะช่วยท่านรักษาความลับเอาไว้เช่นกัน”
ประโยคสุดท้ายเรียกว่าพูดจี้ถูกจุดหลี่ซื่อเต็มๆ อาการป่วยนี้ของนางเป็นมานานประมาณหนึ่งแล้ว นางไม่กล้าให้ใครดูให้มาตลอด หนึ่งเพราะไม่ค่อยสะดวก เหตุผลข้อสองก็เป็นอย่างที่เฉียวเวยพูด กลัวว่าคนจะแพร่งพรายอาการป่วยของนางออกไป
“เจ้า เจ้าจะไม่บอกใครจริงๆ หรือ” หลี่ซื่อถามด้วยความกระวนกระวาย
เฉียวเวยคลี่ยิ้มแล้วส่ายหน้า “ไม่มีทาง คนเป็นหมอ จรรยาบรรณเหล่านี้อย่างไรก็ต้องมี”
หากเป็นคนอื่นพูดเช่นนี้ หลี่ซื่ออาจจะไม่เชื่อ แต่เฉียวเวยเกิดในครอบครัวแพทย์ พ่อแม่นางล้วนเป็นหมอเทวดาที่มีชื่อเสียงไปทั้งใกล้และไกล จรรยาบรรณของเฉียวเวยนางย่อมเชื่อถือได้
หลี่ซื่อยื่นข้อมือออกมาด้วยความลำบากใจเล็กน้อย
เฉียวเวยใช้สามนิ้วกดลงบนเส้นชีพจรของหลี่ซื่อ ช่วงแรกเส้นชีพจรของหลี่ซื่อออกจะตึงอยู่สักหน่อย ตึงกว่าสายพิณเสียอีก ไม่สู้จะมั่นคงนัก คล้ายบิดจนเชือกตึงเกินไป
แน่นลอยหมายถึงร่างกายมีไอเย็นทำให้เจ็บปวด จมแน่นหมายถึงปวดในท้อง
เฉียวเวยถามว่า “อาสะใภ้รองมักรู้สึกหนาวสะท้านอยู่บ่อยๆ หรือไม่”
“ใช่”
“มักจะปวดท้อง?”
หลี่ซื่อคิดแล้วส่ายหน้า “ไม่ถึงกับเป็นบ่อยๆ”
“เวลาใดถึงจะปวด” เฉียวเวยถามต่อ
หลี่ซื่อตอบว่า “ปวดเป็นครั้งคราว ตอนมีระดูจะชัดเจนขึ้นหน่อย”
“ยังมีตรงอื่นที่ไม่สบายอีกหรือไม่”
“นั่นก็…ไม่สู้จะปกตินัก” หลี่ซื่อกระเถิบเข้าไปหาเฉียวเวยแล้วกระซิบบอกเบาๆ
เฉียวเวยพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ก่อนหน้านี้อาสะใภ้รองไม่เคยให้หมอมาช่วยดูเลย?”
ก็ไม่ถึงกับไม่เคยหา แต่หมอทุกคนที่มามักจะเป็นบุรุษ นางจึงยากจะเอ่ยปาก
บ้านเดิมของนางหาหมอตำแยมาดูอาการให้นาง แต่หมอตำแยคนนั้นพอเข้ามาก็จะให้นางถอดกระโปรงท่าเดียว นางทั้งโกรธทั้งอาย ไม่ได้จะคลอดบุตรเสียหน่อย จะมาถอดกระโปรงอะไรกัน
เฉียวเวยบอกว่า “อาสะใภ้รอง ท่านเป็นโรคไข้รากสาดน้อย”
ไอเย็นเข้าโจมตี ธาตุหยางถูกกักระบายออกไม่ได้ เลือดลมไหลเวียนไม่ดี เมื่อไม่ดีก็เลยปวด
“ไม่ใช่โรคเกี่ยวกับอะไรนั่นหรือ” หลี่ซื่อถามด้วยความสงสัย
เฉียวเวยยิ้ม “โรคของสตรี? นี่ไม่ได้เป็นโรคที่เกิดกับสตรีเท่านั้น ที่อาสะใภ้รองปวดท้องแค่เพียงเพราะตอนมีระดู ร่างกายอ่อนแอ ความรู้สึกเดียวกันเลยชัดเจนขึ้น แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะเป็นโรคของสตรี ส่วนที่อาสะใภ้รองบอกว่าระดูมาไม่ปกติ เป็นคนละเรื่องกับอาการนี้ อาสะใภ้รองรักษาโรคนี้ให้หายเสียก่อน แล้วค่อยไปปรับเรื่องนั้น”
หลี่ซื่อพลันยกภูเขาออกจากอก นางถามต่อว่า “รักษาได้รึไม่”
เฉียวเวยพยักหน้า “รักษาได้ อาสะใภ้รอสักครู่ ข้าจะเขียนใบยาให้”
พูดจบนางก็เดินไปเขียนใบยาที่โต๊ะหนังสือแล้วส่งให้หลี่ซื่อ “วิธีการต้มกับปริมาณที่ใช้ข้าเขียนไว้ในนี้แล้ว อาสะใภ้รองกินตามเวลา หลังจากนี้เจ็ดวันค่อยกลับมาดูใหม่”