หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 185-1 วั่งซูน้อยผู้กล้าหาญ
ตอนที่ 185-1 วั่งซูน้อยผู้กล้าหาญ
วั่งซูเคยพบสวินหลันที่เรือนถง รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นฮูหยินของท่านปู่ตน นางยังไม่ค่อยเข้าใจว่าคำว่าฮูหยินหมายความว่าอะไร ท่านปู่กับท่านตานางอายุพอๆ กัน ส่วนฮูหยินผู้นี้กลับอายุพอๆ กับมารดาของตน หรือว่าฮูหยินก็คือลูกสาวของท่านปู่?
วั่งซูกะพริบตาปริบๆ อย่างใช้ความคิด
สวินหลันระบายยิ้มอบอุ่น “กำลังคิดอะไรอยู่หรือ”
“กำลังคิดว่าท่านเป็นใครน่ะสิ” วั่งซูตอบไปตามจริง
สวินหลันย่อตัวลงช้าๆ กระโปรงสีขาวซ้อนกันคล้ายปุยเมฆ ทำให้ต้นหลิ่วที่เขียวเป็นคลื่นดูมีกลิ่นอายแห่งเทพเซียนขึ้นหลายส่วน
นางมองวั่งซูนิ่งๆ สาวตาอบอุ่น “เจ้าคิดว่าข้าเป็นใคร”
วั่งซูใช้ความคิด เอานิ้วชี้จิ้มปลายคาง “พี่สาว?”
สวินหลันหัวเราะเบาๆ ยกมือขึ้นจับปรอยผมตรงข้างหู “ข้าไม่ใช่พี่สาวของเจ้า”
“เช่นนั้นท่านเป็นใครกัน เหตุใดถึงอยู่เรือนเดียวกับท่านปู่ข้า” วั่งซูถาม
“ข้าเป็น…” สวินหลันชะงักไป ก่อนจะพูดต่อว่า “เจ้าเรียกข้าว่าฮูหยินก็ได้”
“อ้อ”
เรื่องนี้นางรู้อยู่แล้ว!
สวินหลันถามเสียงใจดีว่า “เมื่อครู่เจ้าไปทำอะไรที่ริมน้ำหรือ”
วั่งซูตอบ “ช่วยคนน่ะสิ! พี่สือโถวตกน้ำ ข้าช่วยนางขึ้นมา!”
วั่งซูที่มักจำชื่อคนไม่ได้ เรียกสือหลิวเป็นหลิวโถวอย่างคล่องปาก
สวินหลันเอ่ยเสียงอ่อนหวาน “เจ้าเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ ผลีผลามไปช่วยคนเช่นนี้อันตรายมากนะ”
“อ้อ”
วั่งซูทำแก้มตุ่ย
สวินหลันเอามือจับแก้มคนตรงหน้า “เจ้าว่าหากเจ้าไม่ทันระวังแล้วตกน้ำไปจะทำอย่างไร เจ้าว่ายน้ำเป็นหรือไม่”
วั่งซูส่ายหน้า
น้ำเสียงของสวินหลันคล้ายกิ่งต้นหลิวที่สะท้อนอยู่บนผิวน้ำ อ่อนนุ่มเจือความเย็นสบายที่ไม่เหมือนใคร “ก็ใช่น่ะสิ เจ้าว่ายน้ำไม่เป็น หากเกิดตกน้ำไปคงกลับขึ้นมาไม่ได้”
วั่งซูกอดอกเอ่ยว่า “ท่านพ่อจะอุ้มข้าขึ้นมาให้!”
“อย่างนั้นหรือ” สวินหวันยิ้มเล็กน้อย งดงามประหนึ่งเกสรของดอกไม้
วั่งซูบอกไปอย่างที่ใจคิด “ใช่แล้ว! มีครั้งหนึ่งพี่ชายข้าตกน้ำ มีตั้งหลายคนลงไปช่วยหา แต่ท่านพ่อเป็นคนหาเจอ!”
มุมปากสวินหลันยกขึ้นเล็กน้อย “พ่อเจ้าไปประชุมราชการ”
“อ้อ”
ทำอย่างกับนางรู้ว่าประชุมราชการคืออะไรอย่างนั้นแหละ
สวินหลันยื่นมืออกไป นิ้วมือที่เรียวขาวตบเบาๆ ลงบนบ่าของวั่งซู “ดังนั้นเจ้าว่า อันตรายมากจริงหรือไม่ ที่นี่ก็ไม่มีคนอยู่ หากเจ้าก้าวพลาดตกลงน้ำไป ก็คงไม่มีใครรู้…”
“ท่านไม่ใช่คนหรือ” วั่งซูกะพริบตาที่เป็นประกายระยิบระยับ
มือสวินหลันพลันชะงัก รอยยิ้มยังคงเย็นสบายดั่งสายลม “ข้าเป็นเทพธิดา”
วั่งซูเบิกตาโต “ว้าว! ท่านคือเทพธิดาหรือนี่ ท่านเป็นเทพธิดาบนชั้นฟ้าหรือ”
สวินหลันตอบว่า “ไม่ใช่ ข้าเป็นเทพธิดาใต้น้ำ”
“อ้อ ท่านอยู่ในน้ำนี่เอง!” สำหรับเด็กน้อยแล้ว ไม่มีเรื่องใดที่เป็นไปไม่ได้ วั่งซูมองผิวน้ำสีเขียวเป็นประกายแล้วพลันเชื่อว่าบ้านของอีกฝ่ายอยู่ในน้ำจริงๆ วั่งซูนึกอิจฉายิ่งนัก นางเองก็อยากเป็นเทพธิดากับเขาเหมือนกัน เทพธิดามีอิทธิฤทธิ์ร่ายมนต์ได้ เทพธิดาไม่ต้องเรียนหนังสือ เทพธิดาอยากกินขนมเมื่อไรก็ได้ไม่ต้องกลัวแมงจะกินฟัน “ฮูหยินเทพธิดา ท่านร่ายมนต์เป็นหรือไม่”
“เจ้าอยากดูหรือ” สวินหลันถามกลับ
วั่งซูกำลังคิดจะตอบว่าอยากสิ แต่เมื่อคิดอีกทีว่าตนรับปากพี่ฉานเอ๋อร์ไว้ว่าจะรอนางที่หน้าห้องสุขา เลยก้มหน้าลงด้วยความเศร้าสร้อย “ไม่อยากก็แล้วกัน ข้าต้องไปแล้ว ไว้พบกันใหม่นะฮูหยินเทพธิดา”
พูดจบนางก็เดินคอตกกลับไปทางห้องสุขา
ปลายเท้าของสวินหลันเหยียบเบาๆ อยู่ที่กระโปรงของวั่งซู
วั่งซูไม่รู้ว่ากระโปรงของคนมีคนเหยียบไว้อยู่ จึงก้าวยาวๆ จะเดินไป แต่รู้สึกคล้ายเดินไม่ไป มือน้อยๆ จึงจับกระโปรงแล้วออกแรงดึงเบาๆ สวินหลันเลยตกน้ำแทน
วั่งซูได้ยินเสียงอะไรตกลงไปในน้ำ เลยคิดว่าฮูหยินเทพธิดาจะกลับบ้านแล้ว นางหันกลับไปโบกไม้โบกมือให้สวินหลันที่ตะเกียกตะกายอยู่ในน้ำ “ฮูหยินเทพธิดา ไว้พบกันใหม่นะ”
วั่งซูเดินต่อไปได้ไม่เท่าไรก็นึกอะไรขึ้นมา จึงกลับไปตรงริมน้ำอีกครั้ง ดึงตัวสวินหลันที่ดิ้นรนเอาตัวรอดอยู่ขึ้นมา “ฮูหยินเทพธิดา พรุ่งนี้ท่านค่อยแสดงการร่ายมนต์ให้ข้าดูก็แล้วกัน ข้ากลับไปบอกท่านแม่ก่อน หากท่านแม่ตกลงก็พอดีเลย ข้ากับพี่ชายจะมาดูท่าน ตกลงตามนี้นะ”
สวินหลันสำลักน้ำ พูดอะไรไม่ออกสักประโยค อุตส่าห์ได้อากาศมาหายใจ กำลังคิดจะร้องให้คนช่วย แต่ก็ถูกวั่งซูกดลงน้ำไปอีก
วั่งซูไม่มีประสงค์ร้าย นางแค่เพียงอยากให้ฮูหยินเทพธิดาได้กลับบ้านเร็วๆ เท่านั้น
สวินหลันดิ้นรนอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ในน้ำ
วั่งซูจับนางขึ้นมาอีกครั้ง “ใช่สิ ฮูหยินเทพธิดา เมื่อกี้ข้าลืมบอกท่านไป เสี่ยวไป๋ของข้าก็จะมาดูด้วยนะ”
สวินหลันสูดอากาศเข้าไปเฮือกใหญ่ คว้าข้อมือวั่งซูไว้
วั่งซูเอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ไม่ต้องอาลัยอาวรณ์ข้าหรอก ข้าต้องกลับไปกินข้าวแล้ว ท่านก็รีบกลับไปเถอะ อย่าลืมที่พวกเรานัดกันไว้นะ พรุ่งนี้ไม่เจอไม่กลับ”
พูดจบวั่งซูก็ส่ง (จับ) นางกลับ (กด) ลงน้ำไปอีกครั้ง ครานี้นางใช้พละกำลังทั้งหมดที่มี ฮูหยินเทพธิดาเลยจมลงไปใต้น้ำเข้าให้จริงๆ
ข้าช่างเป็นแม่นางน้อยที่ใจดีนัก!
วั่งซูคิดในใจ
เมื่อส่งฮูหยินเทพธิดากลับบ้านไปแล้ว วั่งซูอารมณ์ร่าเริง กระโดดพลางฮัมเพลงไปตลอดทาง
“วั่งซู!”
เอ๋?
ใครกำลังเรียกนาง
วั่งซูหันไปมอง ไม่มีใครนี่!
“ทางนี้!”
วั่งซูยืนหมุนอยู่กับที่ พอเห็นว่าเป็นใคร ตาก็พลันเป็นประกายแล้ววิ่งตึกตักๆๆ เข้าไปหาทันที “ท่านป้า!”
จีหว่านเคยถูกแม่นางน้อยคนนี้พุ่งชนจนหวาดกลัวไปหมด พอเห็นอีกฝ่ายวิ่งปรี่เข้ามาหาตน จึงเบี่ยงตัวหลบไปอยู่ข้างหนึ่งทันที
พอนางเบี่ยงตัวเช่นนี้ หลินซูเยี่ยนที่อยู่ด้านหลังเลยต้องรับเคราะห์แทน หลินซูเยี่ยนอยากหลบก็ไม่ทันแล้ว ทำได้เพียงเบิกตาโตแล้วถูกชนจนกระเด็นออกไป…
สวินหลันตะเกียกตะกายอยู่ในน้ำ นางพยายามสุดความสามารถ ในที่สุดกับคว้าเอาหญ้าน้ำที่ลอยอยู่บนผิวน้ำไว้ได้ แต่กระนั้นนางยังไม่ทันได้พักหายใจ ก็ถูกอะไรไม่รู้กระแทกใส่ดังโป้กจนจมน้ำไปอีก
หลิวซูเยี่ยนถูกวั่งซูกระแทกจนมึนหัวไปหมด เขาคลับคล้ายคลับคลาว่าตนกระแทกถูกใครบางคน แต่มองซ้ายก็แล้วขวาก็แล้ว บนก็แล้วล่างก็แล้วไม่เห็นมีอะไร…
แต่กระนั้นตอนที่เขาคิดจะว่ายขึ้นฝั่ง ก็มีมือที่เย็นเฉียบข้างหนึ่งยื่นมาคว้าข้อเท้าเขาไว้!
หลินซูเยี่ยนมีความลับหนึ่งที่เก็บงำไม่เคยมีใครรู้มาก่อน นั่นคือตุลาการศาลต้าหลี่ผู้ยุติธรรมไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมผู้นี้ อันที่จริงเป็นเด็กน้อยที่กลัวผีขึ้นสมอง
หลินชูเยี่ยนก้มหน้ามองก็พอดีเห็นเป็นเส้นผมที่กำลังเคลื่อนไหว
ตอนแรกยังคิดว่าเป็นพืชน้ำเสียอีก!
นี่จะต้องเป็นพรายน้ำแน่ๆ!
พระเจ้าช่วย!
กลัวอะไรได้อย่างนั้นจริงๆ!
มาบ้านตระกูลจี ถึงขั้นโดนพรายน้ำมาหลอกหลอนเสียได้!
เด็กน้อยหลินที่ถูกพรายน้ำรั้งตัวไว้ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ เขาย่ำเท้าถีบไปที่ศีรษะของนางพราย นางพรายถูกถีบกระเด็นออกไป เด็กน้อยหลินว่ายขึ้นฝั่งอย่างเอาเป็นเอาตาย
นางพรายตามมาอีกแล้ว!
นางพรายยังเงยหน้าที่อาจทำให้เด็กน้อยหลินขวัญผวาอย่างไม่กลัวตายอีกด้วย
เด็กน้อยหลินไม่หันไปดูหรอก!
เด็กน้อยหลินปีนขึ้นฝั่งทันที!
จมูกที่อยู่ตรงกลางหน้านางพรายมีเลือดไหลออกมาเป็นทาง
ผีไม่มีทางมีเลือดไหล แต่ก็จนใจที่เด็กน้อยหลินไม่ทันได้สนใจความประหลาดนี้ เขาคิดแต่จะรีบหนีกลับไปหาอ้อมแขนของหว่านหว่านให้เร็วที่สุด!
บนฝั่ง วั่งซูก้มหน้าคอตกอย่างรู้สึกผิดเต็มที่ “ขอโทษด้วยท่านป้า ข้ากระแทกท่านลุงเขยตกน้ำไปแล้ว”
จีหว่านเอ่ยสบายๆ ว่า “ไม่เป็นไร ลุงเขยเจ้าว่ายน้ำเป็นอยู่”
ลุงเขยที่ว่ายน้ำเป็นว่ายน้ำขึ้นฝั่งมาแล้ว ไม่เคยมีครั้งใดที่เขาอยากหนีขึ้นจากน้ำเท่าครั้งนี้มาก่อน ต้องรู้ก่อนว่ามารดาเขาเกิดและโตริมแม่น้ำ สมัยเด็กๆ ตอนเขาไปอยู่บ้านท่านตาก็เคยลงน้ำอยู่หลายครั้ง แต่เมื่อได้ประสบกับเหตุการณ์อันน่าเวทนาเช่นในวันนี้ น่ากลัวว่าเขาคงไม่กล้าลงน้ำไปอีกตลอดชีวิต!
หลินซูเยี่ยนกอดจีหว่านไว้ เอ่ยอย่างน่าสงสารว่า “หว่านหว่าน ในน้ำมีนางพราย!”
จีหว่านเหลือบมองอีกฝ่ายทีหนึ่ง ก่อนจะบอกอยางทั้งโกรธทั้งขันว่า “อย่าพูดมั่วซั่ว ตระกูลจีจะมีนางพรายได้อย่างไร”
“มีจริงๆ นะ! นางคว้าข้อเท้าข้า! เจ้าดูสิ บวมไปหมดแล้ว!” หลินซูเยี่ยนดึงกางเกงให้อีกฝ่ายดูข้อเท้าที่ขาวผ่องของตน
บวมหรือไม่จีหว่านดูไม่ออก แต่ที่เห็นคือเขียวเป็นปื้นจริงๆ หรือจะมีพรายน้ำอยู่จริง
วั่งซูเบิกตาโต “ไม่ใช่พรายน้ำนะ ฮูหยินเทพธิดาต่างหาก”
จีหว่านรีบพูดเสียดัง “เป็นเด็กเป็นเล็กห้ามพูดซี้ซั้ว”
“ไม่ได้พูดซี้ซั้วนะ ข้าเห็นจริงๆ! นางยังพูดคุยกับข้าเลย!”
“อ๊าๆๆ! พรายน้ำ…” จู่ๆ หลินซูเยี่ยน ก็ร้องลั่นขึ้นมา
“ว้าวๆๆ! ฮูหยินเทพธิดา!” วั่งซูก็ร้องตะโกนขึ้นมาเช่นกัน
จีหว่านมองร่างที่พยายามตะเกียกตะกายอยู่บนผิวน้ำแล้วขมวดคิ้ว พรายน้ำอะไรกัน ฮูหยินเทพธิดาอะไรกัน คนนั้นมัน…ภรรยาสาวของบิดานาง สวินหลัน!
ตอนสวินหลันถูกดึงขั้นมา นางหมดสติไปแล้ว
ที่จมูกเขียวหน้าช้ำนั้นได้มาจากที่หลินซูเยี่ยนถีบ
ผมที่หายไปหลายหย่อมมาจากที่วั่งซูดึง
หลิวซูเยี่ยนกับวั่งซูก้มหน้านิ่ง คล้ายเด็กที่ทำผิดแล้วถูกจับได้ พวกเขายืนเรียงกันเก็บไม้เก็บมืออย่างเรียบร้อย
จีหว่านถลึงตาใส่ทั้งสองคนทีหนึ่ง “พวกเจ้า…พวกเจ้านี่จริงๆ เชียว…”
ทั้งสองขมขื่นอยู่ภายใน
วั่งซู: ข้าไม่รู้เสียหน่อยว่านางเป็นเทพธิดาตัวปลอม
หลินซูเยี่ยน: ข้าเองก็ไม่รู้ว่านางเป็นพรายน้ำตัวปลอม
แน่นอนว่าจีหว่านย่อมไม่คิดว่าพวกเขาตั้งใจ พูดถึงวั่งซูก่อน เด็กคนหนึ่งจะไปรู้อะไร ก็นางเป็นคนพูดเองโดยไม่อายปากว่าตนเป็นเทพธิดา วั่งซูยังเด็กเพียงนี้ ย่อมต้องเชื่อที่นางพูดอยู่แล้ว
ส่วนหลินซูเยี่ยน เขากลัวผีมาตั้งแต่เด็ก ด้วยสถานการณ์ในตอนนั้นจะเข้าใจผิดก็เป็นเรื่องธรรมดา ใครใช้ให้นางมาถึงก็จับข้อเท้าเขาเลยเล่า ทำอย่างนั้นใครบ้างจะไม่กลัว
จีหว่านมัวแต่คิดหาข้อแก้ต่างให้กับคนทั้งสอง จึงไม่ได้สงสัยอะไรในตัวสวินหลัน
จีหว่านเอาตัวสวินหลันไปส่งที่เรือนถงด้วยตนเอง ที่บอกว่าไปส่งด้วยตนเองเอาเข้าจริงก็คือเรียกหญิงรับใช้มาให้พวกนางเอาตัวสวินหลันไปส่งส่วนนางเดินตามไปที่เรือนถงด้วยเท่านั้น
จีซั่งชิงทะนุถนอมภรรยาสาวผู้อ่อนหวานของตนมาตลอด จีหว่านเลยกลัวว่าเขาจะโกรธวั่งซูกับหลินซูเยี่ยน จึงข่มความไม่พอใจที่มีต่อจีซั่งชิงไว้ เอ่ยวาจารื่นหูเสียมากมายอย่างปากหวาน ถึงทำให้เรื่องนี้ผ่านไปได้ในท้ายที่สุด
จากนั้นจีหว่านก็พาหลินซูเยี่ยนที่เนื้อตัวเปียกปอนกลับหอหมิงเย่ว์ไป
หอหมิงเย่ว์เป็นหอตัดชุดเล็กๆ ที่สร้างไว้ให้จีหว่านโดยเฉพาะ ก่อนที่จีหว่านจะออกเรือน อันที่จริงนางพักอยู่ในเรือนถง ตอนหลังพอเรือนถงมีนายหญิงคนใหม่มา จีหว่านจึงให้คนสร้างหอหมิงเย่ว์เอาไว้ใกล้ๆ กับน้องชาย
ระหว่างทางกลับหอหมิงเย่ว์ ใบหน้าวั่งซูดูยู่ยี่ คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันแทบจะผูกเป็นปม อารมณ์ดูห่อเหี่ยวยิ่งนัก
“เป็นอะไรไปเล่า วั่งซู มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือ” จีหว่านถาม
วั่งซูเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าสร้างเรื่องเสียแล้ว ท่านแม่ต้องโกรธแน่”
จีหว่านเลยถามว่า “นางโกรธแล้วจะตีเจ้าหรือไม่”
วั่งซูส่ายหน้า
จีหว่านยิ้ม “ไม่ตีแล้วเจ้าจะกลัวไปไย”
“นางจะไม่ให้ข้ากินลูกกวาด” ถ้าเทียบกันแล้ว วั่งซูยอมถูกมารดาตีเสียยังดีกว่า ถึงอย่างไรตีไปนางก็ไม่เจ็บ
จีหว่านหยิกแก้มน้อยๆ ของอีกฝ่าย “ถ้าอย่างนั้นเจ้ากลับไปอยู่กับป้าสักสองสามวันไหมเล่า ไว้รอให้ท่านแม่เจ้าหายโกรธแล้วค่อยกลับมา”
วั่งซูกะพริบตาปริบๆ “อย่างนั้นได้หรือ”
จีหว่านเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ย่อมได้สิ! บ้านป้ามีลูกกวาดเยอะมากเยอะมากเลยนะ เจ้ากินได้ตามสบายเลย!”
วั่งซูสูดน้ำลาย “แต่ข้าไม่อยากอยู่ห่างจากท่านแม่…”
จีหว่าน “ถังหูลู่ นมน้ำตาลมะพร้าว พุทราเชื่อม…”
วั่งซู “อยู่ห่างบ้างสักครั้งก็คงไม่เป็นอะไร”
สหายน้อยวั่งซูที่แสนจะตรงไปตรงมาจึงถูกท่านป้าผู้แสนเจ้าเล่ห์หลอกล่อไปด้วยประการฉะนี้!
จากนั้นไม่นานนัก จิ่งอวิ๋นที่เดินมาเจอระหว่างทางก็ถูกท่านป้าตัวร้าย “หลอกล่อ” ไปอีกคน!
เมื่อได้รู้ว่าบุตรทั้งสองถูกจีหว่านพาตัวไป เฉียวเวยไมได้ว่าอะไร บางทีสตรีในเมืองหลวงที่เกลียดจีหว่านในหนึ่งร้อยคนจะมีอยู่เก้าสิบเก้าคน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจีหว่านเป็นคนที่เลวร้ายจริงๆ อย่างน้อยสำหรับจีหมิงซิว สำหรับเด็กทั้งสอง จีหว่านก็ดีมากจนถึงมากที่สุด เพียงแค่การมาพาตัวเด็กน้อยไปโดยไม่บอกไม่กล่าวกันสักคำนั้นออกจากประหลาดอยู่สักหน่อยเท่านั้นเอง
บนรถม้าที่วิ่งห้อราวกับต้องการหนีอะไรสักอย่าง จีหว่านหยิกแก้มเด็กทั้งสองด้วยความยินดี ยิ่งหยิกก็ยิ่งมันเขี้ยว
หลิวซูเยี่ยนถามด้วยความแปลกใจว่า “พวกเราไม่ได้มาหาเฉียวซื่อเพื่อตรวจอาการที่ไม่ตั้งท้องสักทีหรอกหรือ”
จีหว่านหน้าเครียดทันที
มัวแต่จะแย่งลูกคนอื่นเขาจนลืมธุระของตนไปเสียสนิท
…
จีหมิงซิวกลับมาจากประชุมราชการ พอเห็นเฉียวเวยนั่งอยู่ในห้องคนเดียวก็เดินเข้าไปนั่งลงข้างนาง เขยิบเข้าใกล้ไปถามว่า “ลูกๆ เล่า?”
เมื่อจู่ๆ ก็เข้ามาใกล้ กลิ่นกายของเขาจึงเข้ามาโอบล้อมนางไว้ กลิ่นหอมอ่อนๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของเขาช่างหอมหวนยิ่งนัก
ขนตาของเฉียวเวยสั่นไหว ปิดสมุดบัญชีในมือลงแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “พี่สาวท่านมารับไปแล้ว”
จีหมิงซิวเลิกคิ้ว แววยินดีวาบผ่านดวงตาไป แขนยาวยืดเหยียดแล้ววางลงบนพนักที่นั่งด้านหลังนาง มองดูแล้วคล้ายว่านางถูกเขาโอบกอดเอาไว้กระนั้น “หากเป็นเช่นนั้น ก็เหลือแค่พวกเราสองคนแล้วสิ”
น้ำเสียงนั่น ช่างมีนัยยะลึกซึ้งอย่างน่าโมโห!
ใจเฉียวเวยพลันขนตั้งชัน “ใช่เมื่อไร ยังมีปี้เอ๋อร์อยู่นะ!”
“อ้อ ปี้เอ๋อร์” ปลายนิ้วของจีหมิงซิวเคาะเบาๆ ลงบนพนักพิง
ปี้เอ๋อร์ที่เพิ่งเดินมาถึงหน้าประตู พอได้ยินน้ำเสียงเรียบเรื่อยนั่นก็ไม่รู้เหตุใดในใจจึงสั่นระรัว สัญชาตญาณบอกนางว่า หากนางกล้ายกน้ำกะละมังนี้เข้าไป ก็อย่าคิดจะได้กลับออกมาอย่างครบสามสิบสอง
ปี้เอ๋อร์ยกเท้าแล้วดึงกลับไป หมุนตัวกลับห้องของตนไปเงียบๆ
เฉียวเวยรออยู่ในห้องเป็นครึ่งค่อนวัน น้ำกะละมังนั้นที่ตนเรียกหาไว้ไม่มีเสียที
แขนของจีหมิงซิววางอยู่บนพนักเก้าอี้ไม่ยอมยกออกไปไหน ปลายนิ้วเคาะลงเบาๆ ทุกครั้งที่เคาะลงไปคล้ายเคาะลงบนใจของนาง มืออีกข้างหนึ่งของเขากลับเรียบร้อยไม่น้อย เพียงจับพู่ตรงปลายพัดเล่นไปเรื่อยๆ นิ้วมือที่ประณีตงดงามลูบไล้เม็ดหยกที่ห้อยอยู่กับพู่เบาๆ ท่าทางจริงจังของเขาไม่รู้ว่าเหตุใดถึงดูแล้วมีเสน่ห์อย่างประหลาด