หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 189-2 สืบเรื่องอดีต
ตอนที่ 189-2 สืบเรื่องอดีต
เฉียวเวยเริ่มด้วยการถามถึง “ผ้าเช็ดหน้า” ของตนอย่างจริงจัง สือหลิวย่อมไม่เห็นผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น เฉียวเวยยังเลียบๆ เคียงๆ ถามนางต่อว่าวันนั้นนางทำอีท่าไหนถึงตกน้ำไปได้ ก่อนที่จะตกน้ำไปพบเจอใครบ้าง คนผู้นั้นได้มาที่สวนฉุยหลิ่วพร้อมกับนางหรือไม่ บางที่อาจเกี่ยวโยงไปถึงผ้าเช็ดหน้าของตนก็เป็นได้
นางถามได้อย่างแนบเนียนไม่ทำให้สือหลิวนึกสงสัยสักนิด
“บ่าวก็แค่เดินๆ อยู่แล้วเหมือนเหยียบถูกหินก้อนเล็กๆ เท้าเลยลื่นแล้วตกลงไปเจ้าค่ะ! ก่อนหน้านั้นข้าได้พบโจวมามา โจวมามายังบอกว่าไม่ต้องให้ฮูหยินของข้ากินยาของท่าน จะให้ตามหมอหลูมา! ข้าเลยบอกว่าข้าเชื่อท่าน!”
สือหลิวยังไม่ลืมจะเยินยอเฉียวเวย
เฉียวเวยนั่งอยู่ในเรือนรองเกือบครึ่งชั่วยาม หลอกถามข้อมูลอะไรมาได้ไม่น้อย หลี่ซื่อพอมองออกแล้วว่านางดูจะต้องการสืบบางอย่าง แต่กลับแสร้งทำเป็นไม่รู้ เฉียวเวยถามอะไร นางก็ให้ข้อมูลที่ตนจะไม่ต้องเจ็บตัวและสามารถรักษาความปลอดภัยของตนได้
หลังจากนั้นเฉียวเวยก็กลับบ้านชิงเหลียนแล้วเรียกเยียนเอ๋อร์ให้มาพบ นางถามถึงอาการของชุ่ยผิง “ก่อนหน้าจะเกิดเรื่องกับนาง นางได้พบใครหรือไม่”
เยียนเอ๋อร์บอกว่า “เจอหลายคนกระมัง” วันนั้นบ้านชิ่งเหลียนเปิดประตูตรวจโรคให้บ่าวไพร่ ในเรือนมีแต่คนเต็มไปหมด ข้างในสามชั้นข้างนอกสามชั้น ล้วนได้พบชุ่ยผิงทั้งสิ้น
“แล้วได้พบคนของเรือนถงหรือไม่” เฉียวเวยถาม
เยียนเอ๋อร์ร้องอ้อขึ้นคำหนึ่ง “มีเจ้าค่ะ โจวมามา”
โจวมามาอีกแล้ว!
เฉียวเวยถามต่อว่า “พบที่ไหน”
เยียนเอ๋อร์ตอบว่า “ที่หน้าประตูบ้านชิงเหลียนนี่เองเจ้าค่ะ วันนั้นเกิดเรื่องกับอู๋มามา มีคนไปแจ้งให้ฮูหยินใหญ่ทราบ ใครไปแจ้งบ่าวก็ไม่ทราบได้ สรุปก็คือฮูหยินใหญ่กับโจวมามาไปพาท่านหมอหลูมา แต่พอได้ยินว่าอู๋มามาไม่ได้เป็นอะไรมาก พวกเขาก็กลับกันไปเจ้าค่ะ”
“โจวมามาพูดอะไรกับชุ่ยผิง” เฉียวเวยซักต่อ
เยียนเอ๋อร์ไม่กล้าปิดบัง “ชุ่ยผิงมาให้ท่านช่วยตรวจดูอาการ นางถูกโจวมามาจับตัวไว้ที่หน้าประตู ท่าทางโจวมามาดูไม่ค่อยพอใจ ชุ่ยผิวเลยไม่กล้าบอกว่าตัวเองมาให้ท่านตรวจให้ บอกเพียงว่ามาหาบ่าวเจ้าค่ะ”
เฉียวเวยยิ้มเย็น “แล้วพอตกเย็น ก็เกิดเรื่องกับชุ่ยผิง?”
เยียนเอ๋อร์พลันเลิกคิ้ว ฮูหยิน ฮูหยินกำลังสงสัย…
เฉียวเวยเหลือบมองนางทีหนึ่ง “ข้าไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น เจ้าอย่าเดามั่วซั่ว วันนี้สิ่งที่ข้าถามเจ้า เจ้าห้ามไปแพร่งพรายให้ผู้ใดรู้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นข้าไม่รับประกันว่าเจ้าจะเป็นชุ่ยผิงคนที่สองหรือไม่”
เยียนเอ๋อร์ตกใจจะสะอึกไป “บ่าวรับทราบเจ้าค่ะ!”
เมื่อเป็นเช่นนี้ เฉียวเวยก็เริ่มจะมั่นใจแล้วว่าเรื่องของสือหลิวกับชุ่ยผิงไม่ใช่เหตุบังเอิญ ส่วนว่าโจวมามาจะคิดเองทำเองหรือได้รับคำสั่งจากสวินหลัน น่ากลัวว่าคงต้องไปถามจากเจ้าตัวแล้ว
ไม่เข้าใจจริงๆ ดอกไม้กินคนอย่างนางมาเป็นแม่เลี้ยงให้หมิงซิวได้อย่างไร จีซั่งชิงตามืดบอดไปแล้วหรือ
“ฮูหยิน บ่าวคิดว่าเรื่องของสือหลิวกับชุ่ยผิงต้องเป็นคนจากเรือนถงแน่ที่ทำ! ห้าทิวาสราญของท่านก็เป็นคนเรือนถงที่วางยาใส่!” ปี้เอ๋อร์รู้เรื่องที่เฉียวเวยถูกพิษห้าทิวาสราญแล้ว แต่ยังไม่รู้เรื่องที่เฉียวเวยถูกคนไล่ฆ่า “ไว้รอคุณชายกลับมาก่อนเถอะ จะบอกเรื่องที่คนเรือนถงทำให้หมดเลย ให้คุณชายจัดการแทนท่าน!”
มีชั่วขณะหนึ่งที่เฉียวเวยคิดจะบอกทุกอย่างให้เขาฟัง แต่เมื่อคิดถึงภาพตอนที่หมิงซิวเอ่ยถึงสวินหลัน สวินหลันบอกว่านางไม่รู้ว่าเฉียวเวยเป็นคนให้เนื้อแดดเดียวกับบุตรชายตน หมิงซิวก็เชื่อนาง
นางไม่มีหลักฐาน หากอาศัยเพียงการคาดเดาไปกล่าวหาสวินหลัน หมิงซิวจะเชื่อหรือไม่
ไม่ว่าเรื่องใดคนนอกมักมองได้กระจ่าง คนในมักงุนงงคิดไม่ตก ปี้เอ๋อร์คิดว่าจีหมิงซิวจะต้องเชื่อเฉียวเวยแน่ แต่ตัวเฉียวเวยกลับไม่มีความมั่นใจเช่นนั้น
ความเชื่อใจที่หมิงซิวมีต่อสวินหลันเสมือนเข็มเล่มเล็กๆ ที่ขวางอยู่ในใจนาง
ยามปกติไม่คิดถึงก็ไม่เจ็บไม่คัน แต่เมื่อถึงคราวต้องไปแตะถูกเข้าจริงๆ ก็จะรู้สึกเจ็บอยู่ลึกๆ
น้อยนักที่นางงจะนึกริษยาใครสักคน เพราะการริษยาถือเป็นการยอมรับว่าตนสู้อีกฝ่ายไม่ได้ แต่แค่เพียงคิดว่าสวินหลันได้เดินเคียงข้างกับหมิงซิวในช่วงชีวิตที่สดใสสะอาดบริสุทธิ์ที่สุด และในช่วงวัยนั้นนางไม่มีวันได้เข้าไปมีส่วนร่วมด้วย นางก็ไม่อาจปล่อยใจให้เบาสบายเช่นนั้นได้อีก
เฉียวเวยยิ้มบางๆ “เจ้าจะเข้าใจอะไร เด็กโง่ คนเขาเป็นเพื่อนเล่นโตมาด้วยกัน ไม่ใช่คนที่ต่อสู้มาครึ่งชีวิตอย่างข้าจะสามารถเทียบเคียงได้”
เฉียวเวยลูบคาง “ความชั่วเอาชนะความดีไม่ได้ ข้าไม่เชื่อหรอกว่านางอยู่ในบ้านตระกูลจีมาสิบกว่าปี นางจะไม่ทิ้งจุดอ่อนอะไรเอาไว้เลย!”
ปี้เอ๋อร์ถามว่า “ท่านจะเริ่มสืบจากจุดใดหรือ หรือเราเรียกเสี่ยวเว่ยมาดีหรือไม่ เขาสืบข่าวเก่งที่สุดแล้ว!”
เฉียวเวยปรายตามองนางทีหนึ่ง “กลัวข้าจะไม่รู้ว่าพวกเจ้าสนิทกันงั้นหรือ”
ปี้เอ๋อร์หน้าแดงด้วยความเขินอาย
เฉียวเวยค่อยๆ เอนตัวพิงพนักเก้าอี้ “เริ่มจากว่านางแต่งงานเข้าบ้านตระกูลจีได้อย่างไรก็แล้วกัน”
นางมักรู้สึกว่าด้วยอายุ ฐานะและพื้นเพของสวินหลันดูไม่ควรคู่กับจีซั่งชิงสักนิด ในยุคสมัยนี้ไม่ถือสาเรื่องสามีสูงอายุที่มีภรรยาเด็ก ยิ่งไปกว่านั้นตอนจีซั่งชิงแต่งงานกับสวินหลัน เขาอยู่ในวัยที่กำลังรุ่งโรจน์ กลับเป็นสวินหลันที่อายุออกจะมากอยู่สักหน่อย คือใกล้จะยี่สิบปีแล้ว
ในยุคโบราณเช่นนี้ นางถือว่าเป็นสตรีที่มีอายุแล้ว คนที่เป็นถึงประมุขตระกูลจี อนุที่แต่งเข้ามามีแต่จะต้องเป็นบุปผางามที่อ่อนเยาว์ นับประสาอะไรกับภรรยาเอก จะคิดอย่างไรก็ล้วนเป็นสวินหลันที่ใฝ่สูงจนได้แต่งงานกับจีซั่งชิงทั้งสิ้น
หากคำนึงถึงการปกป้องบุตรชายและบุตรสาวแล้ว ก็พอจะเข้าใจการตัดสินใจของจีซั่งชิงได้อยู่
หากแต่งกับภรรยาที่วงศ์ตระกูลฝ่ายมารดายิ่งใหญ่จนเกินไป ต่อไปเด็กที่เกิดมาก็ยากที่จะไม่แย่งชิงตำแหน่งประมุขตระกูลกับจีหมิงซิว แต่การเอาเพื่อนเล่นของบุตรชายตนเองมาแต่งเป็นภรรยาเช่นนี้ เขาไม่เคยคิดถึงความรู้สึกของหมิงซิวกับจีหว่านบ้างเลยหรือ
หลายวันนี้ เฉียวเวยไปที่จวนตะวันออกกับจวนตะวันตกอยู่หลายครั้ง
“เจ้าถามว่าสวินซื่อแต่งงานกับพี่ใหญ่ได้อย่างไรหรือ” หลี่ซื่อเอ่ย “หลังจากองค์หญิงจากไป นายท่านก็เปลี่ยวเหงา บุตรสาวแต่งงานไปแล้ว ความสัมพันธ์กับบุตรชายก็ไม่ดี นิสัยของพี่สะใภ้ใหญ่เจ้าก็รู้อยู่ อบอุ่นอ่อนหวาน รู้หนังสือมีหลักมีการ บุรุษคนใดจะไม่ชอบสตรีเช่นนี้บ้าง ทั้งสองจะเรียกว่านานวันเข้าเลยรักกันก็ได้”
“นานวันเข้าเลยรักกัน? หลี่ซื่อที่ช่างพูดเก่งจริงนะ! เจ้าอย่าไปฟังนาง นางก็แค่คนขี้ขลาด ไม่กล้ามีปัญหากับนังจิ้งจอกนั่น!” จีซวงแทะเมล็ดแตงโมงเม็ดหนึ่งพลางเอ่ยเหน็บแนมว่า “นังจิ้งจอกนั่นยั่วยวนพี่ใหญ่ข้าทุกวัน ทำพี่ใหญ่ข้าหลงมันจนหัวปักหัวปำ พอไม่ทันระวังให้มันปีนขึ้นเตียงได้ พี่ใหญ่ข้าเลยต้องแต่งกับนังจิ้งจอกนั่นด้วยเพราะความจำยอม! ไม่อย่างนั้นด้วยฐานะอย่างนาง จะคู่ควรได้ขึ้นมาเป็นพี่สะใภ้ใหญ่ของข้าหรือ ข้าจะบอกให้นะ ต่อไปเจ้าอยู่ให้ห่างนังจิ้งจอกนั่นไว้หน่อย บอกหมิงซิวให้อยู่ห่างจากนางด้วย! เจ้าเพิ่งเข้ามาอยู่บ้านตระกูลจีไม่นาน คงจะยังไม่รู้ หมิงซิวกับนางโตมาด้วยกัน มีสัมพันธ์ที่ดีต่อกันไม่น้อย ระวังไว้เถอะหากวันใดนางเกิดหน้าไม่อายขึ้นมา เดี๋ยวจะยั่วยวนหมิงซิวไปด้วยอีกคน!
ข้าไม่ได้พูดเองเออเองนะ! ข้าเห็นมากับตา นางกับหมิงซิวคุกเข่าคำนับฟ้าดินกันอยู่หลังภูเขา ผูกสัมพันธ์เป็นสามีภรรยากัน! หมิงซิวรู้จักโลกช้า เลยไม่รู้ประสีประสา เล่นพ่อแม่ลูกก็คือพ่อแม่ลูก หากรู้จักโลกเร็วหน่อยตอนนั้นคงจับนางทำอะไรไปแล้ว!”
จีหว่านมาส่งซาลาเปาน้อยทั้งสองกลับจวน เฉียวเวยบอกเล่าสิ่งที่จีซวงบอกกับนางให้อีกฝ่ายฟังโดยไม่มีตกหล่นสักคำ จีหว่านอุทานออกมาด้วยความไม่อยากเชื่อ “ตาข้างไหนของนางไปเห็นหมิงซิวกับสวินหลันคำนับฟ้าดินกันน่ะ วันนั้นเป็นวันระลึกถึงท่านแม่ข้า พวกเราเผากระดาษให้ท่านแม่กันอยู่ที่ภูเขาด้านหลัง! ข้าก็อยู่ด้วย เหตุใดนางถึงไม่บอกว่าเห็นข้าด้วยเล่า”
สีหน้าเฉียวเวยดูงงงวยเล็กน้อย
จีหว่านทำเสียงหึหึ “ท่านป้านั่นกลัวว่าใต้หล้าจะไม่วุ่นวาย เจ้าเชื่อนางก็เท่ากับเจ้าหลงกลนาง นางอยากให้ทุกคนวิ่งไปหาเรื่องสวินหลันล่ะสิไม่ว่า!”
“นางกับสวินหลันเคยมีเรื่องกันหรือ” เฉียวเวยถาม
จีหว่านจึงบอกว่า “อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก นางเองนั่นแหละที่กัดเรื่องนี้ไม่ปล่อยสักที ได้ยินว่าเมื่อหลายปีก่อนน่ะ ลุงเขยดื่มหนักแล้วคิดว่าสวินหลันเป็นนาง เลยไปกอดสวินหลันอยู่ในสวนดอกไม้ ตอนนั้นสวินหลันยังไม่ได้แต่งงานกับท่านพ่อข้า นางตกใจมาก ตะโกนเรียกให้คนช่วย พวกเราได้ยินนางตะโกนให้ช่วยกันหมด เลยรีบไปดึงลุงเขยออกมาจากนาง ท่านป้าไม่พูดพร่ำทำเพลง ปรี่เข้าไปตบหน้าสวินหลัน เอาแต่บอกว่าสวินหลันยั่วยวนลุงเขย! แต่หากสวินหลันจะยั่วยวนลุงเขยจริงๆ นางจะร้องให้คนช่วยทำไม ลุงเขยเป็นคนดี ครั้งนั้นเป็นเพราะเมาเลยเลอะเลือนไปจริงๆ ท่านป้าจับเขาโยนเข้าไปในห้องสุขา เขาก็เอาแต่กอดกระโถนตะโกนเรียกหาซวงเอ๋อร์ทั้งคืนเลย!”
เฉียวเวยนึกภาพลุงเขยฉินกอดกระโถนตะโกนเรียก “ซวงเอ๋อร์” สุดชีวิต มุมปากนางก็พลันกระตุก
แต่นี่ก็อธิบายได้แล้วว่าเหตุใดจีซวงจึงได้ไม่ชอบหน้าสวินหลันถึงเพียงนั้น ซ้ำยังทำท่าทางริษยาอีกฝ่ายมากอีกด้วย
“เช่นนั้นเหตุใดนางถึงแต่งงานกับท่านพ่อได้เล่า”
จีหว่านถอนหายใจยาว “เฮ่อ พูดไปเรื่องก็ยาว นางเคยแต่งงานมาก่อน”
เฉียวเวย “?!”
จีหว่านบอกว่า “ยังไม่ทันร่วมหอ เจ้าบ่าวก็ตายเสียแล้ว ตระกูลฝ่ายเจ้าบ่าวเอาแต่บอกว่าเป็นเพราะเจ้าสาวดวงซวยทำให้เจ้าบ่าวตาย กลัวว่าคนทั้งตระกูลจะพลอยถูกไอโชคร้ายไปด้วย จะจัดการสวินหลันให้ตาย ท่านพ่อข้าเลยไปพาตัวนางกลับมา พอพากลับมาแล้วก็ประกาศว่าจะแต่งงานกับนาง”
อดีตของแม่เลี้ยงสาวดุเดือดเพียงนี้เชียวหรือ!
เฉียวเวยกดความตกใจเอาไว้ ถามด้วยสีหน้าคงเดิมว่า “ใช่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างทางหรือไม่”
“ใครจะไปรู้เล่า” จีหว่านเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยก่อนจะนิ่งไปแล้วพูดต่อว่า “คงเพราะนางอยากตอบแทนบุญคุณกระมัง”
เล่นบทพลีกายเพื่อตอบแทนงั้นหรือ
แต่นั่นก็ต้องให้บิดาของเจ้าเห็นด้วยด้วยสิ
เฉียวเวยลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนจะถามว่า “จะว่าไปแล้ว ท่านพ่อก็ชอบสวินหลันมากอยู่ใช่หรือไม่”
“อื้อ” จีหว่านยอมรับอย่างไม่สู้จะยินดีนัก
เฉียวเวยคิดแล้วพูดว่า “ชอบกว่าที่ชอบองค์หญิงหรือไม่”
จีหว่านตอบอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร ท่านพ่อข้ารักท่านแม่ที่สุดแล้ว! ผู้หญิงคนนั้นก็แค่มาเติมห้องให้เต็มเท่านั้นแหละ! พ่อข้าพอมีอายุคงรู้สึกเหงา ข้ากับหมิงซิวก็โตกันแล้ว ไม่สนุกแล้ว! ถึงได้มีบุตรกับนางเพื่อให้มีสีสันหรอก!”
เฉียวเวยเบี่ยงตัวเล็กน้อย ต้องดุดันเพียงนี้ด้วยหรือ
ตกดึก จีหมิงซิวกลับจากประชุมราชการ เรื่องที่คณะขุนนางทูตจากหนานฉู่จะมาเยือนนั้นมีรายละเอียดซับซ้อนมาก สีหน้าเขาดูครุ่นคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา
ซาลาเปาน้อยทั้งสองโผเข้าไปให้เขากอด เขาขยี้ศีรษะทั้งสองด้วยความรักใคร่ “บ้านท่านป้าสนุกหรือไม่”
วั่งซูยิ้มแก้มปริ “สนุก! พวกเราตกลงกับท่านป้าไว้แล้ว ต่อให้จะอยู่บ้านตระกูลจีสิบวัน อยู่บ้านตระกูลหลินสิบวัน!”
จีหมิงซิวตบบ่าทั้งสอง ทั้งสองจับจูงกันออกไปวิ่งเล่น
“พี่สาวข้ามาที่นี่?” จีหมิงซิวมองน้ำชาบนโต๊ะที่ยังไม่ทันได้ยกออกไป
เฉียวเวยผายมือออก “มาก็จริงอยู่ แต่ดูเหมือนข้าจะทำให้นางโกรธกลับไปอีกแล้ว”
“เจ้าทำอะไรให้นางโกรธหรือ” จีหมิงซิวถามยิ้มๆ
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “ข้าแค่ถามเรื่องท่านพ่อกับสวินหลันเพียงไม่กี่คำเท่านั้น”
จีหมิงซิวสีหน้าราบเรียบ “ท่านพ่อข้าเป็นคนจะแต่งงานกับนางเอง”
สี่คนพูดกันสี่แบบ
จีซวงคิดว่าสวินหลันยั่วยวนจีซั่งชิง หลี่ซื่อคิดว่าทั้งสองรักกันเพราะใกล้ชิดกันมานาน จีหว่านคิดว่าสวินหลันเป็นคนเสนอตัวจะตอบแทนบุญคุณ หมิงซิวกลับบอกว่าจีซั่งชิงเป็นฝ่ายขอนางแต่งงาน
เฉียวเวยไม่รู้แล้วว่าควรเชื่อใคร
แต่มีข้อหนึ่งที่มั่นใจได้ นั่นก็คือไม่ว่าทั้งสี่คนจะพูดออกมาอย่างไร แต่ทั้งหมดไม่มีใครปฏิเสธในความชื่นชอบที่จีซั่งชิงมีต่อสวินหลัน