หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 201 ครรภ์แข็งแรงดี
ตอนที่ 201 ครรภ์แข็งแรงดี
การล่าสัตว์ดำเนินมาจนถึงยามบ่าย แต่เดิมยามเที่ยงควรจะไปรับประทานอาหารที่ตำหนักผิงชุน แต่จู่ๆ ครรภ์ของจีซวงก็เจ็บขึ้นมา เจ็บเป็นพักๆ ทำเอานางตกใจคิดว่าตนเองจะคลอดแล้ว
เฉียวเวยจับชีพจรให้นาง ชีพจรสงบดี “อาการของท่านอาคือการเจ็บครรภ์หลอก ไม่ได้กำลังจะคลอดจริงๆ ท่านอาอย่าตื่นตระหนก”
จีซวงไม่ค่อยเข้าใจ สะอื้นเอ่ยว่า “จะแท้งหรือ แต่วันนี้ข้าไม่ได้กินขนมไข่ปูนั่นนะ!”
เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ บอกว่า “ไม่ได้จะแท้ง ครรภ์ของท่านอาแข็งแรงดีอยู่”
จีซวงไม่วางใจ ยืนกรานจะกลับไปนอนพักที่บ้าน สตรีตระกูลจีจึงออกจากวังไปพร้อมกัน
ฝั่งฮ่องเต้ส่งคนมาเร่งให้จีหมิงซิวเดินทางไปร่วมงานเลี้ยง จีหมิงซิวเป็นห่วงเรื่องพาจีหว่านกับหลินซูเยี่ยนไปหาเฉียวเจิง จึงขอลางานฮ่องเต้หนึ่งชั่วยาม
ตอนเดินทางออกมาจากตำหนักผิงชุน ตัวน้อยทั้งสามกอดจิ่งอวิ๋นไม่ยอมปล่อย คอของจิ่งอวิ๋นใกล้จะถูกรั้งจนหักแล้ว เขาหายใจไม่ออก ใบหน้าแดงจนเป็นสีตับหมู
ซื่อจื่อน้อยผู้น่าสงสารกระโดดไปกระโดดมาอยู่หลังตัวน้อยทั้งสาม “พวกเจ้ากอดข้าบ้างสิ กอดข้าบ้าง!”
ไม่มีผู้ใดสนใจเขา
หลิวเกอร์มองทุกคนมะรุมมะตุ้มกันอย่างอิจฉา เขาวิ่งเล่นส่งเดชไม่ได้ เขาทำได้เพียงนั่งอยู่นิ่งๆ แต่ได้นั่งอยู่กับสหายตัวน้อยมากมายเช่นนี้ เขาก็ยังเบิกบานใจยิ่งนัก
ระหว่างทางที่ออกจากพระราชวัง จีหมิงซิวกับเฉียวเวยอุ้มเจ้าซาลาเปาน้อยคนละคน เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองต่างก็อุ้มเพียงพอนหิมะตัวน้อยอยู่ในอ้อมแขนคนละตัวอย่างชอบใจยิ่งนัก
เพียงพอนเมฆาแสนดุร้ายนิ่งสงบอย่างยิ่ง สาเหตุประการสำคัญก็เพราะว่ามันสลบไปแล้ว
ทุกคนขึ้นรถม้าของแต่ละคน
พอพวกจีซวงกลับไปถึงจวนแล้ว พวกจีหมิงซิวจึงเดินทางมายังหอหลิงจือที่อยู่ใกล้กับจวนสกุลจี แต่เดิมแถวนี้ไม่มีหอหลิงจือ แต่หลังจากเกือบได้ ‘ผ่ากะโหลก’ ให้สวินหลัน หอหลิงจือจึงซื้อร้านผ้าแห่งหนึ่งแล้วสร้างร้านสาขาของหอหลิงจือขึ้นมาทันที
กิจการไม่เลวนัก ทว่าเฉียวเจิงมักลืมเก็บค่ารักษา ทำให้ร้านสาขาแห่งนี้มักตกอยู่ในสภาพรายรับไม่พอรายจ่ายอยู่บ่อยครั้ง
เฉียวเวยรู้สึกโชคดีอย่างยิ่งที่ตอนแรกฝากฝังกิจการไว้กับอาสี่ หากปล่อยให้บิดาของตนจัดการจริงๆ เกรงว่าไม่ถึงปีคงขาดทุนหมดสิ้น
“ท่านพ่อ!” เฉียวเวยเข้ามาในห้องบัญชีของเฉียวเจิง
“ท่านตา!”
“ท่านตา!”
เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองวิ่งตึงตังเข้ามา
เฉียวเจิงวางสากบดยาลงอย่างเบิกบานใจ เขากอดเจ้าตัวน้อยทั้งสองคนเข้ามาในอ้อมแขน อยากจะอุ้มทั้งสองคนขึ้นมา แต่อุ้มตั้งนานก็อุ้มขึ้นแต่จิ่งอวิ๋น เขากระแอม หันไปมองก้อนขนสีขาวตัวน้อยในอ้อมแขนของจิ่งอวิ๋น “ตัวนี้ซื้อมาใหม่หรือ”
จิ่งอวิ๋นตอบว่า “ท่านแม่จับมาขอรับ”
ฟังดูเหมือนเรื่องที่ลูกสาวน่าจะทำ เฉียวเจิงถามอีกว่า “มันชื่อว่าอะไร”
จิ่งอวิ๋นคิดครู่หนึ่ง “ท่านตาเดาสิขอรับ”
เฉียวเจิงทำสีหน้ายุ่งยาก “เรื่องนี้จะให้ข้าทายได้อย่างไรเล่า”
“เสี่ยวไป๋เป็นสีขาว ดังนั้นมันจึงชื่อเสี่ยวไป๋ ส่วนมันมีขนต่างสีแซมนิดหน่อย”
เฉียวเจิงเดาตามสัญชาตญาณ “เจ้าด่าง?”
จิ่งอวิ๋นผายมือ “ต้าไป๋ต่างหาก”
เฉียวเจิงเบิกตาโต ชื่อนี้ไม่เห็นเกี่ยวกับขนสีด่างตรงไหนเลย!
จิ่งอวิ๋นกระซิบเบาๆ “ต้าไป๋นอนหลับอยู่ ท่านตาอย่างเสียงดังปลุกมันนะขอรับ”
เฉียวเจิงมองต้าไป๋ที่หางแหว่งไปครึ่งหนึ่ง ใบหน้าเล็กๆ ครึ่งซีกก็บวมเป่ง เจ้าหนูน้อย เจ้าแน่ใจหรือว่ามันหลับอยู่ ไม่ได้ถูกผู้ใดตีจนสลบไป
ผู้ใหญ่จะคุยเรื่องสำคัญกัน เด็กๆ จึงอุ้มสัตว์เลี้ยงตัวน้อยทั้งสองไปหาจูเอ๋อร์ที่สวนด้านหลัง
จูเอ๋อร์กำลังสวมมงกุฎดอกไม้ หันมองทางซ้ายเห็นสหายตัวน้อยอยู่ในอ้อมแขนของวั่งซู แต่พอหันมองทางขวาก็เห็นสหายตัวน้อยอยู่ในอ้อมแขนของจิ่งอวิ๋นอีก โรคลืมใบหน้ากำเริบในพริบตา!
…
หลังจากเด็กๆ ออกไปแล้ว จีหมิงซิวก็ชี้แจงสาเหตุที่มาให้เฉียวเจิงฟัง
จีหว่านกับหลินซูเยี่ยนนั่งตัวเกร็งอยู่ฝั่งหนึ่ง ทั้งสองคนต่างเคยไปหาหมออย่างลับๆ มาไม่น้อย แต่สองสามีภรรยาเพิ่งจะเคยมาหาหมอร่วมกันอย่าง ‘สง่าผ่าเผย’ เช่นนี้เป็นครั้งแรก ยังไม่ต้องพูดถึงว่าท่านหมอคนนี้เป็นบิดาของน้องสะใภ้อีก
เฉียวเจิงครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ขมวดคิ้ว “อาการมีบุตรยากที่เป็นมาหลายปีเช่นนี้ น่าจะยุ่งยากอยู่เล็กน้อย”
“รักษาได้หรือไม่” จีหมิงซิวถาม
เฉียวเจิงตอบว่า “ข้าจะลองดู ข้าขอตรวจหลินซื่อจื่อก่อน”
หลินซูเยี่ยนชี้ตนเอง “ข้าหรือ”
จีหว่านถีบเขาหนึ่งที “รีบไปสิ!”
หลินซูเยี่ยนเดินมานั่งหน้าโต๊ะของเฉียวเจิงแล้วยื่นมือออกมา พูดกันตามตรง เขาก็ประหม่าอยู่เล็กน้อย แม้เขาไม่คิดว่านี่เป็นปัญหาจากตัวเขา แต่หากว่าใช่ขึ้นมาเล่า
เฉียวเวยดึงแขนเสื้อของสามีตน “พวกเราหลบออกไปกันเถิด”
จีหมิงซิวพยักหน้า จูงมือเฉียวเวยเดินออกมาจากห้อง
เฉียวเจิงวางสามนิ้วลงบนชีพจรของเขา
หลินซูเยี่ยนใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น เขาสาบานว่าตอนไล่ตามขอความรักจากจีหว่าน เขายังไม่เคยตื่นเต้นเท่านี้
“ชีพจรไม่ผิดปกติอะไร” เฉียวเจิงบอก จากนั้นก็เอ่ยกับจีหว่าน “ข้าขอจับชีพจรของเจ้าหน่อย”
หลินซูเยี่ยนพรูลมหายใจยาว ลุกขึ้นตบหัวไหล่ของจีหว่านเบาๆ “ไม่เป็นไร ความจริงข้าก็ไม่ได้ชอบเด็กน้อยมากนัก เจ้ามีลูกหรือไม่ก็ไม่เป็นไร ข้าไม่ต้องการสักนิด”
จีหว่านไม่ตอบคำใด นางนั่งลงตรงข้ามกับเฉียวเจิง
เฉียวเจิงหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกมาวางบนข้อมือของนาง จากนั้นทาบสามนิ้วลงบนชีพจรของนาง “เอ๋ ชีพจรมงคล”
จีหว่านตกตะลึง “ชีพ ชีพจรมงคลหรือ เป็นไปไม่ได้ หลายวันก่อนข้า…ระดูข้าเพิ่งมา”
เฉียวเจิงจึงบอกว่า “บางคนช่วงแรกของการตั้งครรภ์จะมีระดูมาเล็กน้อย เป็นเรื่องปกติ”
“ข้า…ตั้งครรภ์แล้วจริงหรือ” จีหว่านยกมือปิดปาก ไม่กล้าเชื่อว่านี่เป็นเรื่องจริง
เฉียวเจิงคลี่ยิ้ม “ยินดีกับหลินฮูหยิน ท่านตั้งครรภ์แล้วจริงๆ”
หลินซูเยี่ยนเบิกตาโต “ซื่อจื่อน้อยที่เฝ้าฝันหาในที่สุดก็มาแล้ว!”
…
จีหว่านตั้งครรภ์ได้หนึ่งเดือนแล้ว นี่เป็นข่าวดีครั้งใหญ่อย่างแท้จริง
ไม่มีผู้ใดรู้ดีไปกว่าพวกเขาว่าจีหว่านปรารถนาบุตรสักคนมากเพียงใด และเพื่อลูกแล้วนางทุ่มเทความพยายามมาเท่าไร จีหว่านเคยได้ยินคนพูดถึงหมอผีคนหนึ่ง บอกกันว่าเขาใช้วิชาไสยเวทช่วยให้ตั้งครรภ์ได้ นางเชื่อคำของหมอผีผู้นั้น คุกเข่าอยู่บนเสื่อที่ปูหนามทั้งผืน
ไม่กี่วันต่อมา นางก็ตั้งครรภ์จริงๆ แต่เพราะบาดเจ็บหนักเกินไป เด็กจึงแท้ง
หลังจากครั้งนั้น ร่างกายของนางก็ไม่ค่อยดีมาตลอด
ตอนที่ตั้งครรภ์อีกหนคือสามปีให้หลัง ระหว่างสามปีนั้นนางกินยาไปไม่รู้กี่เทียบ พริบตาที่ทราบว่าตั้งครรภ์ ยาบำรุงครรภ์เอย ยาลูกกลอนคุ้มครองครรภ์เอย นางขนเข้าบ้านมาราวกับไม่ต้องจ่ายเงินซื้อ น่าเสียดายก็ยังคงรักษาไว้ไม่ได้
วันนี้ผ่านไปอีกสามปี แม้นางจะตั้งครรภ์แล้ว แต่ก็หวาดกลัวว่าจะเหมือนสองครั้งก่อน
“ข้าต้องกินยาอะไรหรือไม่ ยาบำรุงครรภ์ แพงเท่าใดก็ได้ทั้งนั้น!”
เฉียวเจิงเอ่ยปลอบ “ไม่ต้องกิน ชีพจรของเจ้าดีมาก ครรภ์แข็งแรงยิ่งนัก นอกจากสามเดือนแรกที่ต้องงดร่วมอภิรมย์ สิ่งอื่นก็ไม่มีอะไรแล้ว ไม่ต้องกังวล ทำตัวเหมือนปกติ”
“ไม่…ไม่ต้องกินยาจริงหรือ” จีหว่านถามอย่างเป็นกังวล
เฉียวเจิงเอ่ยย้ำ “ไม่ต้องจริงๆ”
เฉียวเวยดีใจแทนจีหว่านยิ่งนัก แต่งงานมาหลายปี ต้องฝืนทนกล้ำกลืนมาเท่าใด ในที่สุดก็อดทนจนถึงวันที่เมฆเปิดฟ้ากระจ่างแล้ว
จีหมิงซิวเรียกหลินซูเยี่ยนมายังเพิงปลดทุกข์ แล้วกระชากคอเสื้อของเขา ข่มขู่ด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “หากลูกของพี่สาวข้าเป็นอะไรไปอีก ข้าจะคิดบัญชีใหม่ทบบัญชีเก่ากับเจ้า!”
จีหว่านก้าวขึ้นรถม้าอย่างลิงโลด ก่อนจากไปยังซื้อถังหูลู่ให้เสี่ยวไป๋อีกหนึ่งไม้ หากไม่ใช่ว่าเจ้าตัวจ้อยตัวนี้ตะกละ วันนี้ขนมไข่ปูจานนั้นคงลงไปอยู่ในท้องของนางแล้ว
นางเปิดม่านหันไปมองน้องชายกับเฉียวเวย “จริงสิ ครรภ์ยังอ่อนอยู่ ข้าอยากจะรอให้ผ่านสามเดือนแล้วค่อยบอกคนในบ้าน พวกเจ้าช่วยข้าปิดเป็นความลับไว้ก่อน”
เฉียวเวยถามขึ้นมา “นอกจากพวกเราแล้วมีคนอื่นรู้หรือไม่”
จีหว่านยิ้มพลางส่ายหน้า “ไม่มี”
รถม้าเคลื่อนจากไปอย่างช้าๆ จีหมิงซิวเล่นหมากเป็นเพื่อนเฉียวเจิงสองสามกระดาน จากนั้นจึงพาเฉียวเวยกับลูกๆ ขึ้นรถม้ากลับจวน
หอหลิงจืออันกว้างขวางเหลือเพียงเฉียวเจิงกับจูเอ๋อร์อีกหน
เฉียวเจิงส่ายหน้า เดินไปจัดยาในร้าน เขาเปิดลิ้นชักน้อยชั้นหนึ่ง จัดสมุนไพรที่ยังแยกไม่ทันเสร็จเก็บลงไปทีละต้น “จูเอ๋อร์ ส่งเห็ดฝูหลิงแห้งให้ข้าหน่อย”
เห็ดฝูหลิงแห้งดอกหนึ่งถูกส่งมาให้จากข้างหัวไหล่ของเฉียวเจิง
เฉียวเจิงรับมาไว้ในมือ ขณะที่กำลังจะเก็บเข้าไปในลิ้นชัก ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ถึงความผิดปกติ จูเอ๋อร์ตัวเตี้ยปานนั้น จะยื่นมือมาถึงตรงนี้ได้หรือ
เขาหันขวับกลับไปทันที!
ท้องฟ้ามืดแล้ว ภายในห้องจุดตะเกียงน้ำมันไว้ดวงหนึ่ง แสงตะเกียงริบหรี่ เกิดเป็นเส้นแสงสลัวสีเหลืองหม่น ภายในห้องที่แต่เดิมก็ไม่สว่างอยู่แล้ว เวลานี้มีบุรุษอาภรณ์สีดำผู้หนึ่งยืนอยู่ หมวกของผ้าคลุมสีดำปกปิดใบหน้ากว่าครึ่งของเขาไว้ ยามแสงส่องต้องร่างเขาเห็นเพียงคางเกลี้ยงเกลา
“เฉียวปั๋ว ไม่พบกันนาน”
เฉียวเจิงมองเขาอย่างประหลาดใจ “เจ้าคือผู้ใด”
มุมปากของบุรุษผู้นั้นคลับคล้ายว่าจะยกโค้งขึ้นหน่อยๆ “ข้าเป็นผู้ใดไม่สำคัญ”
เฉียวเจิงจ้องมองเขา จากนั้นหลุบตาลง “หากเจ้าอยากมาหาหมอก็เชิญที่ห้องโถงใหญ่ เดี๋ยวข้าก็จัดการตรงนี้เสร็จแล้ว” พูดพลางก็หันกลับไปดึงลิ้นชักน้อยใบหนึ่ง
บุรุษผู้นั้นเอ่ยว่า “ข้าแนะนำว่าเฉียวปั๋วอย่าทำอะไรบุ่มบ่ามจะดีกว่า”
มือของเฉียวเจิงที่กำลังจะเอื้อมไปหยิบมีดหยุดชะงัก
“เด็กเมื่อตอนนั้นอยู่ที่ใด” บุรุษผู้นั้นเปิดปากถาม
เฉียวเจิงคว้ามีดสั้น “ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้ากำลังพูดถึงอะไร”
เขากลับกล่าวตอบว่า “ไม่เป็นไร ข้าหานางพบแล้ว ข้าเพียงแต่มายืนยันกับท่านก็เท่านั้น”
แววตาของเฉียวเจิงดำทะมึน “นางอยู่กับตระกูลจี มีความสามารถเจ้าก็ลองบุกเข้าไปดู”
เขาหัวเราะ “ความคิดดี”
เฉียวเจิงสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่ง จากนั้นก็หมุนตัวเหวี่ยงมีดสั้นแทง ทว่ากลับแทงไม่ถูกสิ่งใดทั้งสิ้น ภายในห้องว่างเปล่า ยังมีเงาคนอยู่เสียที่ไหน
…
ครึ่งชั่วยามหลังจากนั้น บุรุษผู้หนึ่งยืนอยู่นอกกำแพงสีเทาเข้ม เขาเงยหน้ามองกำแพงสูงสิบฉื่อตรงหน้า ริมฝีปากยกยิ้มเย็นชา จากนั้นใช้วิชาตัวเบาลอยผ่านกำแพงเข้าไปด้านใน
พริบตาที่ร่อนลงบนพื้น หน้าอกของเขาพลันเจ็บแปลบ กระอักเลือดออกมาหนึ่งคำ
เขากระโจนออกมาทันที เขามองกำแพงสูงด้วยแววตาเย็นยะเยือก จากนั้นเช็ดคราบโลหิตตรงมุมปากอย่างไม่สะทกสะท้าน “เข้าไม่ได้จริงๆ สินะ”