หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 203-1 ฉีกหน้ากากคนงาม (1)
ตอนที่ 203-1 ฉีกหน้ากากคนงาม (1)
เฉียวเวยเคยขี่ม้าเพียงหนเดียวเมื่อตอนอยู่ในสนามล่าสัตว์ ตอนนั้นจีหมิงซิวคอยจับสายบังเหียนของนางอยู่ตลอด ตัวนางเองแทบจะไม่ได้ตั้งใจขี่แต่ประการใด แต่วันนี้นางกลับทะยานอาชากลางถนน ตัวนางเองยังตกใจกับตนเองแทบตาย แส้ยกขึ้นหวด คนเดินผ่านทยอยหลีกทาง เวลานี้ข้อดีของสถานะปรากฏขึ้นมาให้เห็น นางกลับถึงจวนตระกูจีได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรค แล้วโยนแส้ม้าใส่อ้อมแขนของเด็กรับใช้ จากนั้นสาวเท้าไปยังเรือนถง
จีหว่านตั้งใจมาเยี่ยมจีซั่งชิง แต่จนปัญญาที่จีซั่งชิงพานกไปเดินเที่ยวที่ภูเขาด้านหลัง จีหว่านจึงรออยู่ที่เรือนถง นางอยู่คนเดียวย่อมเบื่อหน่าย จึงสั่งให้สาวใช้ไปเรียกเจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองคนมา
พอสหายตัวน้อยเข้ามาในเรือน หลิวเกอร์ก็นั่งไม่ติดอยู่บ้างแล้ว เขาเดินออกมาจากห้องหนังสือ หันไปมองสวินหลันก่อนแวบหนึ่ง เมื่อสวินหลันพยักหน้าอย่างอ่อนโยน เขาจึงฉีกยิ้มวิ่งไปหาสองพี่น้อง
จิ่งอวิ๋นล้วงลูกแก้วหลายลูกออกมาจากกระเป๋า “พวกเราดีดลูกแก้วกันเถิด”
หลิวเกอร์ไม่เคยเล่นดีดลูกแก้ว จิ่งอวิ๋นสาธิตให้เขาดูรอบหนึ่ง เขาเรียนรู้ได้ไวยิ่งนัก
เพียงแต่เล่นบนพื้น มากน้อยก็ดูมิสง่างามอยู่บ้าง เขาจึงหันไปมองมารดาของตนเองอีกหน
สวินหลันบอกว่า “เจ้าไปเล่นเถิด”
เขาจึงไปเล่นอย่างเต็มที่
จีหว่านให้คนตั้งโต๊ะกับเก้าอี้หวายตรงระเบียงทางเดิน อาบแดดจากดวงตะวันไปพลาง ดูเด็กๆ เล่นกันไปด้วย คิดว่าหลังจากนี้อีกไม่กี่เดือน ในจวนของตนก็คงจะได้ต้อนรับชีวิตน้อยๆ ชีวิตหนึ่งเหมือนกัน หัวใจรู้สึกอิ่มเอมจนยากจะพรรณนาออกมาเป็นคำพูด
สวินหลันชงชาดอกไม้กาหนึ่งด้วยตนเอง จากนั้นนั่งลงข้างจีหว่าน รินถ้วยหนึ่งส่งให้นาง “ต้องการชิมหน่อยหรือไม่”
จีหว่านชิมไปคำเล็กๆ “หวาน”
สวินหลันบอกเสียงเบา “ใส่น้ำผึ้งไปนิดหน่อย”
“มิน่าจึงอร่อยเช่นนี้” จีหว่านอดใจไม่ไหวดื่มไปเกือบครึ่งถ้วย
ชุนจือกับชิวผิงยกขนมเข้ามา
จีหว่านจู้จี้เรื่องของกินยิ่งนัก แต่ขนมที่เรือนถงละเมียดละไมทั้งยังถูกปาก แต่ละอย่างก็มีเพียงหนึ่งชิ้น มองดูแล้วทำให้อยากอาหารอย่างยิ่ง
จีหว่านหยิบขนมกุหลาบสีชมพูขึ้นมาชิ้นหนึ่ง ทันใดนั้นเสี่ยวไป๋ก็วิ่งเร็วจี๋เข้ามาหา แล้วนั่งลงบนพื้นตรงหน้านาง มองนางอย่างน่ารักน่าชัง
“เมื่อวานให้เจ้ากินถังหูลู่ไปแล้ว!” จีหว่านบอก
เสี่ยวไป๋ทำท่าน่ารักสุดชีวิต จีหว่านต้านทานเสน่ห์ของสัตว์เลี้ยงตัวน้อยแสนน่ารักไม่ได้อย่างสิ้นเชิงจึงมอบขนมให้มัน
เสี่ยวไป๋กินสองสามคำก็หมดเกลี้ยง
จีหว่านหยิบขนมพุทราขึ้นมาอีกหนึ่งชิ้น ผลปรากฏว่าก็ถูกเสี่ยวไป๋กินไปอีก เสี่ยวไป๋กินเองยังไม่พอ ยังจะห่อกลับไปให้ต้าไป๋ จีหว่านไม่ให้
สวินหลันยิ้มน้อยๆ “น่ารักจริง”
จีหว่านบอกอย่างจนปัญญา “แต่ตะกละยิ่งนัก”
“เจ้าตามใจมันมากเกินไป” สวินหลันบอก แล้วหยิบขนมกุ้ยฮวาชิ้นหนึ่งขึ้นมา เสี่ยวไป๋ขยับมาตรงหน้าสวินหลัน กะพริบตาปริบๆ มองขนมในมือนาง สวินหลันบิขนมเป็นสองครึ่ง “วั่งซู จิ่งอวิ๋น”
เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองก้าวขาสั้นๆ วิ่งเข้ามา
“ให้พวกเจ้า” นางมอบขนมให้ทั้งสองคน
เสี่ยวไป๋กระโจนพรวดฉกขนมเข้าไปอยู่ในปาก!
เสี่ยวไป๋แย่งอาหารบ่อยไป เจ้าซาลาเปาน้อยจึงไม่ถือสา วิ่งออกไปเล่นต่อ!
รอจนเฉียวเวยรีบมาถึงเรือนถง ขนมในจานก็เหลือเพียงไม่กี่ชิ้น
สวินหลันหันไปมองเฉียวเวยแล้วถามเสียงอ่อนโยน “กลับมาเร็วเช่นนี้ ซื้อของเสร็จแล้วหรือ”
เฉียวเวยคลี่ยิ้ม “ยังเจ้าค่ะ ข้าพบพี่เขย พี่เขยบอกว่าเขาจะช่วยข้าซื้อเอง ให้ข้ากลับมาอยู่เป็นเพื่อนพี่ใหญ่ก่อน ข้าจึงกลับมา!”
สวินหลันพยักหน้า ให้คนยกเก้าอี้หวายออกมาอีกหนึ่งตัว “ขนมเพิ่งหมด ชุนจือ”
“ฮูหยิน” ชุนจือเดินเข้ามาหา
สวินหลันสั่ง “เจ้าไปห้องครัว ให้พวกเขาทำขนมมาสักหน่อย”
“เจ้าค่ะ”
ชุนจือเดินจากไป
เฉียวเวยกุมมือจีหว่าน “พี่ใหญ่ มือท่านเหตุใดจึงเย็นเช่นนี้ ข้าเข้าไปเลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเพื่อนท่าน” พูดพลางก็ไม่รอจีหว่านตอบ ลากจีหว่านเข้าไปนห้อง
พริบตาที่ประตูถูกปิด จีหว่านก็ชักมือกลับ นวดข้อมือที่เกือบจะถูกบีบจนบวมแล้วบอกว่า “ข้าเหงื่อออกอยู่ต่างหาก เย็นที่ไหนกัน”
เฉียวเวยไม่พูดไม่จา คว้ามือของจีหว่านมาจับชีพจรให้นาง ชีพจรยังปกติอยู่ เฉียวเวยจึงวางใจลงเล็กน้อย “เมื่อครู่กินอะไรเข้าไปบ้าง”
จีหว่านแค่นเสียงดังเหอะ “ไม่ได้กินอะไรทั้งนั้น ทุกอย่างล้วนลงไปอยู่ในท้องเสี่ยวไป๋บ้านเจ้า”
เฉียวเวยดึงแขนเสื้อลงมาให้นาง “ถ้าเช่นนั้นก็ดี หลังจากนี้ของในเรือนถง ท่านห้ามกินแม้แต่คำเดียว”
“เหตุใดเล่า” จีหว่านถามอย่างไม่เข้าใจ
เฉียวเวยตอบเรียบๆ “เพื่อตัวท่านเอง”
จีหว่านมองนางนิ่งๆ “เจ้าพูดมาให้ชัด”
สายตาของเฉียวเวยหลุบลงไปจับบนหน้าท้องที่ยังแบนราบของจีหว่าน หากว่ากันตามจริงตอนนี้ยังไม่ใช่จังหวะเหมาะ ไม่สมควรบอกความลับเช่นนี้กับจีหว่าน แต่แม่เลี้ยงทราบเรื่องที่จีหว่านตั้งครรภ์แล้ว ผู้ใดจะรู้ว่าแม่เลี้ยงจะทำสิ่งใดกับจีหว่านหรือไม่ ไม่ทำย่อมดีที่สุด แต่หากทำขึ้นมา อย่างไรเสียป้องกันไว้ก่อนก็เป็นเรื่องสมควร
“ท่านรู้หรือไม่ว่าเสี่ยวไป๋ชอบกินสิ่งใดที่สุด” เฉียวเวยถาม
จีหว่านคิดครู่หนึ่งก็ตอบ “ถังหูลู่? ขนม?”
เฉียวเวยตอบ “ยาพิษ”
จีหว่านตกตะลึง “ยา…ยาพิษหรือ”
ตัวประหลาดอันใดกันนี่ ดันชอบกินยาพิษ ไม่กลัวถูกพิษหรือ
เฉียวเวยพยักหน้า “ใช่แล้ว มันชอบกินของที่มีพิษ ยิ่งพิษร้ายแรงก็ยิ่งชอบ” ขนมกับถังหูลู่ก็ชอบเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ของที่มันชอบที่สุด
จีหว่านมองสำรวจเฉียวเวยอย่างคลางแคลง “เจ้าคงจะไม่บอกว่าเสี่ยวไป๋ชอบขนมในจานปานนั้นก็เพราะว่าขนมถูกคนวางยาพิษไว้กระมัง ผู้ใดจะวางยาพิษข้า สวินซื่อหรือ”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “ท่านคิดว่าอย่างไรเล่า”
คิ้วเรียวของจีหว่านขมวดมุ่น “เจ้าสงสัยนางจริงๆ หรือ!”
เฉียวเวยไม่ตอบ โอกาสที่สวินซื่อจะวางยาพิษในขนมมีไม่มาก อย่างไรเสียเรื่องเช่นนี้ก็ถูกสืบพบง่ายดายยิ่งนัก เพียงแต่หากไม่พูดเช่นนี้ย่อมไม่พอให้จีหว่านถือเป็นเรื่องจริงจัง ยิ่งไปกว่านั้นนางก็มิได้โกหก เสี่ยวไป๋ชอบกินยาพิษที่สุดจริงๆ
จีหว่านสีหน้าตกตะลึง “เฉียวเวย!”
นับตั้งแต่รู้จักจีหว่านมานานปานนี้ นี่เป็นหนแรกที่ถูกจีหว่านเรียกชื่อแซ่ ราวกับว่าคนสองคนที่เดิมทีใกล้ชิดกัน พริบตาเดียวก็กลายเป็นคนแปลกหน้า
เฉียวเวยถอนหายใจแล้วหันไปมองนาง “เรื่องบางอย่างข้าไม่อยากพูดตอนนี้ แต่ท่านเป็นเช่นนี้ ข้าไม่มีหนทางจริงๆ”
จีหว่านรู้สึกว่าเฉียวเวยจริงจังจนแปลกพิกล “เจ้าอยากจะพูดอะไรกันแน่”
เฉียวเวยไม่ตอบแต่ถามกลับ “เรื่องของสวินซื่อ ท่านรู้มากน้อยเท่าใด”
จีหว่านย้อนถาม “เจ้าหมายถึงเรื่องไหนของนางเล่า”
เฉียวเวยดึงนางมาด้านหลังฉากกันลม แล้วนั่งลงกระซิบบอกนาง “ท่านเคยบอกข้าว่าก่อนแต่งงานกับท่านพ่อ นางเคยหมั้นหมายกับผู้อื่นมาก่อน คุณชายตระกูลโจว โจวไต้ใช่หรือไม่”
“เจ้าทราบนามของเขาได้อย่างไร” จีหว่านจำไม่ได้ว่าตนเคยบอกเฉียวเวย!
เฉียวเวยเอ่ยเสียงเบา “ข้าไม่เพียงทราบนามของคุณชายโจว ข้ายังรู้อีกว่าสวินซื่อไม่ได้เคยมีสัญญาหมั้นหมายกับคุณชายโจวคนเดียว”
จีหว่านมองเฉียวเวยอย่างไม่เข้าใจ
เฉียวเวยยิ้มเรียบๆ “ดูท่าท่านจะไม่รู้จริงๆ”
จีหว่านอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วก็สะอึก สูดลมหายใจเย็นเฉียบเข้าปอด
เฉียวเวยเล่าด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ปีที่สวินซื่ออายุสิบสาม นางถูกคนตระกูลสวินรับกลับไปกูซู”
“เรื่องนี้ข้าทราบ” จีหว่านตอบ
เฉียวเวยจึงถามว่า “ถ้าเช่นนั้นท่านทราบหรือไม่ว่าสวินซื่อกลับกูซูไปทำสิ่งใด ตระกูลจีรักนางปานนี้ เหตุไฉนจึงตัดใจปล่อยนางกลับกูซูไปอยู่ในมือญาติไร้มโนธรรมฝูงนั้น”
จีหว่านนึกย้อนความทรงจำแล้วตอบว่า “บอกกันว่ามารดาของนางคิดถึงนาง”
เฉียวเวยส่ายหน้า “ท่านผิดแล้ว เพราะว่าคู่หมั้นที่หมั้นหมายกับนางตั้งแต่ยังอยู่ในท้องมาหาถึงบ้าน จะตบแต่งนางเป็นภรรยาต่างหาก”
มือที่ยกขึ้นลูบหัวไหล่ของจีหว่านชะงัก “เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ หากนางมีสัญญาหมั้นหมายกับผู้อื่นตั้งแต่อยู่ในครรภ์ เหตุไฉนข้าจึงไม่รู้”
เฉียวเวยหยิบใบไม้แห้งใบหนึ่งที่ร่วงลงมาบนเรือนผมของนางตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบออก “คุณหนูใหญ่ เรื่องที่ท่านไม่รู้ยังมีอีกมากนัก หลังจากสวินซื่อกลับถึงกูซู นางอยู่ที่กูซูสองปี สองปีนั้นเกิดสิ่งใดขึ้นบ้างข้าไม่ค่อยทราบกระจ่างนัก แต่ทราบว่าก่อนหน้าวันแต่งงานไม่นาน คุณชายซุนที่หมั้นหมายกับนางตั้งแต่ในครรภ์ผู้นั้นก็ติดโรคฝีดาษตาย หลังจากนั้นตระกูลจีก็รับนางกลับมา”
จีหว่านตกอยู่ในภวังค์ความคิด ระหว่างอายุสิบสามถึงสิบห้า สองปีนั้นสวินหลันอยู่กูซูจริง เหล่าไท่ไท่บอกนางว่าอีกฝ่ายกลับบ้านไปอยู่เป็นเพื่อนมารดา มารดากับบุตรสาวต้องการอยู่พร้อมหน้ากัน ผู้ใดจะสะดวกพูดอะไรเล่า ที่แท้เพื่อการแต่งงานหรอกหรือ
เฉียวเวยเอ่ยต่อ “หลังจากตระกูลจีรับสวินซื่อกลับเมืองหลวงมามินาน ก็หาคู่แต่งงานอีกคนหนึ่งให้สวินซื่อ คู่แต่งงานคือคุณชายจากตระกูลของใต้เท้าหยวนอดีตราชเลขาธิการ”
“อะไรนะ” จีหว่านตกใจจนเบิกตาโต “คุณชายคนไหน คนที่รับตำแหน่งอยู่ในกรมพิธีการ หรือคนที่ภรรยาตาย หรือคนที่หนีไปกับนางคณิกาอันดับหนึ่งแห่งหอคณิกา”
เฉียวเวยตอบ “คนที่หนีไปกับนางคณิกาอันดับหนึ่งจากหอคณิกา”
จีหว่านอึ้ง
เรื่องนี้ความจริงนางทราบอยู่แล้ว กล่าวจริงๆ แล้วทั่วทั้งเมืองหลวงต่างรู้กันทั่ว คุณชายตระกูลหยวนผู้นั้นหมั้นหมายกับคุณหนูตระกูลขุนนางผู้หนึ่ง แต่ก่อนแต่งงานไม่นาน เขากลับหนีตามไปกับนางคณิกาอันดับหนึ่งแห่งหอคณิกา ในเวลานั้นเรื่องนี้เป็นที่ฮือฮายิ่งนัก นางเคยสืบด้วยความสงสัยใคร่รู้ว่าผู้ใดคือคุณหนูตระกูลขุนนางผู้โชคร้ายคนนั้น แต่จนปัญญาที่ตระกูลหยวนปิดข่าวมิดอย่างยิ่งจึงสืบสิ่งใดอออกมามิได้ทั้งสิ้น
ที่แท้ก็สวินซื่อเองหรือ
“ผู้ใดบอกเรื่องเหล่านี้กับเจ้า” จีหว่านถาม
เฉียวเวยตอบ “ท่านย่า”
จีหว่านงุนงงเล็กน้อย “เหตุใดท่านย่าจึงบอกเรื่องเหล่านี้กับเจ้า แม้แต่ข้า นางยังไม่เคยบอก!”
มิใช่เรื่องน่าอวดโอ่อันใดเสียหน่อย เหล่าฮูหยินย่อมหวังว่ายิ่งมีคนรู้น้อยยิ่งดี หนนี้หากมิใช่เพื่อปกป้องสวินซื่อ เหล่าฮูหยินก็คงไม่เปิดปากบอกนางเรื่องนี้
เฉียวเวยตอบอย่างราบเรียบ “โจวมามาใส่ร้ายข้าว่าปล่อยงูมากัดท่านพ่อ ท่านย่าเกรงว่าข้าจะไปคิดบัญชีกับสวินซื่อจึงเล่าเรื่องของสวินซื่อให้ข้าฟัง บอกว่านางเองก็เป็นคนน่าสงสารคนหนึ่ง หวังว่าข้าจะดีกับนาง”
ก็สมกับเป็นเรื่องที่ท่านย่าจะทำ จีหว่านกระพือขนตา “ดังนั้นก่อนหน้าคุณชายโจวผู้ตายกะทันหันคนนั้น สวินซื่อเคยหมั้นหมายมาแล้วสองหน แต่นั่นแล้วอย่างไรเล่า มิใช่ความผิดของนางเสียหน่อย คุณชายซุนเป็นฝีดาษ คุณชายหยวนหนีตามคนรัก คุณชายโจวตายกะทันหัน ผู้ที่เสียหายสุดท้ายล้วนเป็นตัวนางเอง”
“ผู้เสียหายหรือ” เฉียวเวยอ้าปากอย่างไม่อยากจะเชื่อ จากนั้นก็เอ่ยประชดทันที “ถ้าเช่นนั้นนายหญิงตระกูลจีที่ข้าเห็นอยู่ตอนนี้ ภูตผีเป็นผู้ดลบันดาลมาหรือ เรื่องทั้งหมดนี้ ผู้ที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดก็คือนาง!”
จีหว่านขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ “เรื่องระหว่างนางกับบิดาข้าไม่เกี่ยวข้องกับคนพวกนั้น! อย่าพูดเหมือนกับว่านางวางแผนทำร้ายพวกเขา นางเป็นคนเรียบง่ายปานนั้น จะทำเรื่องชั่วร้ายเช่นนั้นออกมาได้อย่างไร”
ชั่วพริบตานั้น เฉียวเวยไม่รู้ว่าสมควรจะกล่าวต่ออย่างไร “ท่านออกหน้าพูดแทนนางเช่นนี้ ดูเหมือนชอบนางอย่างยิ่ง ข้าคิดว่าท่านเกลียดนางมากเสียอีก”
จีหว่านตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าเกลียดนางจริง ข้าเกลียดที่นางมาแทนที่ตำแหน่งของท่านแม่ข้า ข้าเกลียดที่นางแย่งชิงบิดาของข้าไป แต่ข้าไม่อาจโยนบาปที่คนผู้หนึ่งไม่ได้ทำใส่หัวคนผู้นั้นเพียงเพราะว่าข้าเกลียดเขาได้!”
สีหน้าของเฉียวเวยเริ่มเรียบเฉย
จีหว่านเห็นสีหน้าที่ค่อยๆ กลายเป็นห่างเหินของนาง แววตาก็วูบไหว ผ่อนน้ำเสียงให้อ่อนลงแล้วเอ่ยขึ้นว่า “สตรีในเมืองหลวงล้วนมิชอบข้า ข้าก็ไม่ชอบพวกนาง ดังนั้นบางครั้งการที่ข้าเกลียดชังใครสักคนไม่ได้หมายความว่านางจะเป็นคนชั่วร้าย”
เฉียวเวยกุมแก้ม “ข้าไม่คาดหวังให้ท่านเชื่อเรื่องมากมายเช่นนี้ในทันทีหรอก แต่วันนี้ นางมีเจตนาไม่ดีต่อท่าน เรื่องนี้จริงแท้แน่นอน”
จีหว่านยังคงไม่เชื่อ “เจ้าคิดมากเกินไปแล้วจริงๆ ของที่วางอยู่บนโต๊ะ นางเองก็กินด้วย หากอาหารมีพิษจริง เหตุใดนางจึงไม่เป็นอะไรเล่า”
คำตอบของจีหว่านไม่ผิดจากที่คาด ถึงอย่างไรนางก็รู้จักสวินหลันมาสิบกว่าปี ทว่าเพิ่งรู้จักตนเองเพียงไม่กี่เดือน แต่ตนเองอ้าปากครั้งเดียวก็จะคว่ำสิ่งที่นางเชื่อมาสิบกว่าปี แม้แต่สีหน้า นางก็รักษาไว้ไม่ค่อยได้
เฉียวเวยหรี่ตาลง กล่าวต่อว่า “บนโต๊ะมีขนมจานหนึ่งทำมาจากซิ่งเหริน ซิ่งเหรินก็เหมือนเนื้อปูล้วนเป็นอาหารต้องห้ามของหญิงมีครรภ์ นางทราบอยู่แล้วว่าท่านตั้งครรภ์ แต่ก็ยังเอาขนมซิ่งเหรินมาต้อนรับท่าน ท่านมิรู้สึกว่ามีเจตนาร้ายหรือ”
จีหว่านจึงแย้งว่า “นางไม่รู้เสียหน่อยว่าข้าตั้งครรภ์แล้ว”
เฉียวเวยอยากผ่ากะโหลกพี่สาวคนนี้ออกมาดูจริงๆ ว่าด้านในมีอะไรอยู่กันแน่ คนชาญฉลาดคนหนึ่ง เหตุใดเมื่อเป็นเรื่องแม่เลี้ยงสาวกลับเหมือนสมองตันเสียอย่างนั้น “ท่านทั้งคลื่นไส้ทั้งอาเจียนบนรถม้า ผีถึงมองไม่ออก ได้ ต่อให้ก่อนหน้านี้นางไม่รู้ ตอนนี้ก็ให้นางรู้อีกสักหน!”
ดอกสุ่ยเซียนของเรือนถงกำลังเบ่งบานงดงาม ชิวผิงหิ้วบัวรดน้ำ รดน้ำดอกไม้อย่างอดทน ก่อนหน้านี้งานเหล่านี้ล้วนเป็นโจวมามาที่ทำ หลังจากโจวมามาไม่อยู่ที่เรือนถงจึงกลายเป็นงานของชุนจือกับชิวผิง วันนี้ผลัดถึงตาชิวผิง
ชิวผิงรูปโฉมด้อยกว่าชุนจือเล็กน้อย แล้วยังทำงานเก่งกาจรอบด้านสู้ชุนจือมิได้ ทว่างานเล็กน้อยเช่นนี้ นางยังทำได้ดี
รดน้ำเสร็จ ชิวผิงก็เก็บบัวรดน้ำจนเรียบร้อยแล้วเดินไปยังห้องเครื่องมือ
เฉียวเวยจูงปี้เอ๋อร์เดินมายังทางเดินนอกห้องเครื่องมือ ปี้เอ๋อร์เอ่ยขึ้นว่า “ฮูหยิน ข้าเห็นกูหน่ายนายสีหน้าไม่ค่อยดีนัก ร่างกายไม่สบายหรือเปล่าเจ้าคะ”
“แน่นอนว่าไม่ใช่ นางสบายดี” เฉียวเวยตอบ
“แต่นางดูไม่เหมือนไม่สบายนัก” น้ำเสียของปี้เอ๋อร์คลางแคลงอย่างยิ่ง
เฉียวเวยมองรอบด้าน แล้วลดเสียงเบาลงมาเล็กน้อย “นางมีข่าวดี”
“อะไรนะ กูหน่ายนายมีข่าวดีแล้วหรือ” ปี้เอ๋อร์ตะโกนอย่างตกใจ
เฉียวเวยยกมือปิดปากนาง “ชู่ เสียงบาหน่อย กูหน่ายนายเพิ่งตั้งครรภ์ ยังไม่อยากป่าวประกาศ วางแผนว่าผ่านสามเดือนแรกไปแล้วจึงประกาศข่าวดี เจ้าอย่าแพร่งพรายข่าวออกไปก่อนเล่า เข้าใจหรือไม่”
ปี้เอ๋อร์พยักหน้าประหนึ่งตำกระเทียม แล้วจับมือของเฉียวเวยออก “ฮูหยินโปรดวางใจ ข้าจะไม่เปิดปากแม้แต่ครึ่งคำอย่างแน่นอน!”
เฉียวเวยมองห้องเครื่องมือที่แกล้งงับประตูไว้แวบหนึ่ง ต่อให้หูตึงก็ควรได้ยินแล้ว
เฉียวเวยพาปี้เอ๋อร์ออกไป ชิวผิงเปิดประตูห้องที่งับไว้ แล้วเดินออกมาอย่างเงียบเชียบ นางกวาดสายตามองรอบด้านครู่หนึ่งก็สาวเท้าเร็วไวไปยังห้องของสวินหลัน
ตรงมุมทางเดิน เฉียวเวยกับจีหว่านเดินออกมา
เฉียวเวยมองเงาแผ่นหลังที่หายลับไปอย่างรวดเร็วของชิวผิงแล้วเอ่ยว่า “ตอนนี้นางคงจะบอกข่าวที่ท่านตั้งครรภ์กับสวินซื่อแล้ว ต่อให้ตอนอยู่บนรถม้าสวินซื่อมองไม่ออกว่าท่านตั้งครรภ์ ตอนนี้ก็สมควรทราบแล้ว”
เฉียวเวยคล้องแขนจีหว่านกลับไปยังลานด้านหน้า
แสงอาทิตย์กำลังดี เด็กน้อยทั้งสามนั่งยองๆ อยู่บนพื้นเล่นดีดลูกแก้ว สวินหลันออกมาจากห้องแล้ว นางนั่งอยู่บนเก้าอี้หวายใต้ชายหลังคา
เฉียวเวยกับจีหว่านเดินไปนั่งด้วย
จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูเล่นกันจนเหงื่อท่วมศีรษะจึงวิ่งมาดื่มน้ำ
เฉียวเวยหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเหงื่อให้ทั้งสองคน
หลิวเกอร์เห็นสหายน้อยวิ่งไปให้มารดาเช็ดเหงื่อให้ก็ลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะวิ่งเข้ามาหาบ้าง เขายื่นศีรษะที่มีเหงื่อเปียกโชกไปตรงหน้าสวินหลัน
สวินหลันชะงัก จากนั้นจึงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดให้เขา
หลิวเกอร์เบิกบานใจยิ่งนัก กระโดดโลดเต้นกลับมายังลานว่าง
เด็กน้อยทั้งสามคนเล่นกันจนหอบแฮ่ก
หญิงรับใช้ที่รับผิดชอบห้องครัวนำขนมมาส่ง นางยิ้มกว้างแล้วคำนับพวกนางหนึ่งหน “คารวะฮูหยิน คารวะฮูหยินน้อย คารวะกูหน่ายนาย!” จากนั้นก็หยิบขนมอันละเมียดละไมเลิศรสจานแล้วจานเล่าออกมาจากในกล่องอาหารพร้อมกับถั่วต่างๆ “อีกสักพักจึงจะเริ่มทานอาหาร ฮูหยินทั้งหลายกินอะไรรองท้องก่อนเจ้าค่ะ”
สวินหลันมอบก้อนเงินก้อนหนึ่งเป็นรางวัลให้นาง นางถอยออกไปอย่างดีอกดีใจ
เฉียวเวยมองขนมบนโต๊ะ “ขนมดั่วแดง ขนมกุ้ยฮวา ขนมอู่เหริน…ได้ใบบุญของฮูหยินถึงได้กินของอร่อยมากมายเช่นนี้!”