หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 206 ยามสอง
ตอนที่ 206 ยามสอง
อากาศแจ่มใสนัก ดอกซานฉาที่บ้านชิงเหลียนออกดอกแล้ว หมู่มวลบุปผาหลากหลายสีสัน งดงามสดสวย
ก้อนขนขาวน้อยสองก้อนงับกันไปมาอยู่ในพุ่มดอกไม้ วั่งซูอ่านหนังสืออยู่กับพี่ชาย แต่ดวงตาเสไปอยู่บนตัวของเจ้าสองไป๋ตั้งนานแล้ว
เฉียวเวยนั่งอยู่ในโถงข้าง ตรวจโรคให้สาวใช้ที่มาหาหมอคนสุดท้าย “สีหน้าซีดเหลือง ผิวแห้งกร้าน เส้นผมแห้ง ดวงตาพร่าลาย…เจ้ามีอาการเลือดพร่อง ไม่จำเป็นต้องกินยา ทุกวันกินงาดำ ถั่วแดง ซานเย่า เลือดหมู ตับหมูกับเนื้อไก่ให้มากหน่อย…กินหัวไชเท้าสดให้น้อย แล้วก็งดดื่มสุรา”
สาวใช้อึกอัก “ข้า ข้า ข้า…ข้าจำมิได้เจ้าค่ะ”
“อ่านหนังสือออกหรือไม่” เฉียวเวยถาม
สาวใช้พยักหน้า “พออ่านออกบ้างเจ้าค่ะ”
เฉียวเวยจับพู่กันเขียนวิธีกินอาหารบำรุงร่างกายให้นาง “อ่านออกหรือไม่”
สาวใช้มองดูตัวอักษรที่ชวนให้ไก่ตีปีกหนีสุนัขกระโดดโหยงบนเทียบยา มุมปากระตุกอย่างแรง “อ่าน อ่านออกเจ้าค่ะ”
เฉียวเวยตอบอย่างสบายใจ “ถ้าเช่นนั้นก็ใช้ได้แล้ว กินตามที่เขียนบนนั้น สิบวันครึ่งเดือนก็จะดีขึ้นแล้ว”
“ขอบพระคุณฮูหยินน้อย!” สาวใช้ถอยออกไปอย่างซาบซึ้ง
เฉียวเวยเอนพิงพนักเก้าอี้แล้วบิดขี้เกียจอย่างไม่มีเหนียมอาย
ปี้เอ๋อร์หอบข้าวของกองโตเดินเข้ามาในห้องอย่างรีบร้อน ของกองสูงเกินไปจนบดบังการมองเห็นของนาง นางจึงชนนั่นชนนี่ แต่สุดท้ายก็วางข้าวของเต็มอ้อมแขนไว้บนโต๊ะได้อย่างไร้ร่อยขีดข่วน
นางพรูลมหายใจยาว “เหนื่อยแทบตาย!”
เฉียวเวยพลิกดูข้าวของบนโต๊ะ “พวกนี้คือสิ่งใดกัน”
ปี้เอ๋อร์เช็ดเหงื่อบอกว่า “ข้าก็ยังมิทันได้ดู หรงมามาให้ข้าถือกลับมาเจ้าค่ะ”
เฉียวเวยสุ่มเปิดหีบที่วางอยู่ด้านบนใบหนึ่ง “โสม” แล้วก็เปิดอีกใบหนึ่ง “เขากวางอ่อน” เปิดใบที่สาม “ถั่งเช่า”
ปี้เอ๋อร์ตกตะลึง “ของดีๆ มากมายเพียงนี้เชียว!”
เฉียวเวยปิดกล่อง “เก็บไว้ ประเดี๋ยวเอาไปไว้ที่หอหลิงจือ”
ปี้เอ๋อร์ยิ้มแย้ม “รู้อยู่แล้วว่าฮูหยินดีต่อนายท่าน แต่งงานแล้วก็ยังไม่ลืมบำรุงร่างกายให้นายท่าน”
เฉียวเวยเหล่มองนาง “เอาไปขายที่หอหลิงจือ”
ปี้เอ๋อร์กัดลิ้นตัวเอง!
โสม เขากวางอ่อน ถั่งเช่า บัวหิมะมากมายเช่นนี้ แต่ละชิ้นอย่างน้อยก็ต้องขายได้หลายร้อยถึงพันตำลึง นางลำบากมานานปานั้นไม่เสียเปล่าแล้ว เฉียวเวยใส่กล่องทั้งหมดไว้ในห่อผ้าจนเรียบร้อย “วันไหนออกไปข้างนอกก็อย่าลืมนำไปให้ท่านพ่อข้าด้วย”
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ” ปี้เอ๋อร์เบ้ปาก เก็บห่อผ้าเข้าตู้ แล้วเหลือบมองนาฬิกาทรายที่อยู่บนผนัง “ฮูหยิน ผ่านไปนานเช่นนี้แล้ว นายท่านกับเหล่าฮูหยินคุยกันเสร็จหรือยังเจ้าคะ”
ใกล้จะทานอาหารเที่ยงแล้ว ตามหลักควรคุยเสร็จแล้ว ก็ไม่รู้ว่าคุยกันเป็นอย่างไร เหล่าฮูหยินใจอ่อน จีซั่งชินดูเหมือนใจแข็ง แต่ในบางเรื่องก็ค่อนข้างเห็นแก่ความรัก
เฉียวเวยเดินวนอยู่ในห้อง “เจ้าลองไปดูซิ”
“เจ้าค่ะ!”
ปี้เอ๋อร์รีบร้อนเดินจากไป เพิ่งวิ่งออกจากเรือนไปได้ไม่นานก็วิ่งปรู๊ดกลับมา “นายท่านกลับเรือนถงแล้ว! เมื่อครู่ข้าเห็น!”
เฉียวเวยถาม “สีหน้าเป็นเช่นไร”
ปี้เอ๋อร์เกาศีรษะ ครุ่นคิดแล้วตอบว่า “ถมึงทึงยิ่งนัก”
“เขาหน้าไม่ถมึงทึงเมื่อใดกัน” เฉียวเวยว่า
“ถมึงทึงยิ่งกว่ายามปกติ! เป็นเช่นนี้” ปี้เอ๋อร์เบิกตาจนกลมบ๊อก ทำหน้าโมโหจนแก้มพอง
เฉียวเวยประคองใบหน้าน้อยของปี้เอ๋อร์ แก้มของปี้เอ๋อร์นูนขึ้นมาจนเหมือนปลาปักเป้าตัวกลม “ไม่ถมึงทึงสักนิด” น่ารักจนใจจะขาดแล้ว
ปี้เอ๋อร์กลั้นลมหายใจไม่ไหวแล้วจึงพรูลมหายใจออกมา แล้วค้ำโต๊ะหอบหายใจ “สรุปก็คือน่ากลัวเป็นพิเศษ แต่เดิมข้าคิดจะเข้าไปคารวะยังไม่กล้า”
เฉียวเวยลูบปลายคาง ดูเช่นนี้ พ่อสามีคงโกรธแล้ว ก็ไม่รู้ว่าโกรธเรื่องใด โกรธที่แม่เลี้ยงสาวลอบคบหากับซุนสวิน หรือโกรธที่แม่เลี้ยงสาวไม่เลือกวิธีการเพื่อแต่งเข้าตระกูลจี “ต้องไปดูสักหน่อย”
“อะไรนะเจ้าคะ” ปี้เอ๋อร์ฟังไม่ถนัด
เฉียวเวยยิ้มหวาน “นายท่านหกวิ่งไปนู่นมานี่ตั้งนาน ลำบากนักกว่าจะได้ผลลัพธ์ออกมา ข้าต้องไปดูผลลัพธ์สักหน่อยสิ”
ปี้เอ๋อร์รตกตะลึงก่อน แต่จากนั้นก็อ้าปากกว้าง “ฮูหยิน ท่านคงไม่คิดจะ…”
เฉียวเวยตบหัวไหล่ของนาง แล้วเดินออกจากบ้านไปอย่างสง่าผ่าเผย
“ท่านแม่ ท่านแม่ ท่านจะไปที่ใดเจ้าค่ะ” วั่งซูวิ่งตึงตังเข้ามากอดขาของนางไว้
เฉียวเวยลูบศีรษะน้อยที่ตากแดดจนมีเหงื่อบางๆ ของนาง ลูกตากลอกวูบหนึ่งแล้วบอกว่า “แม่ต้องไปเก็บกลีบดอกไม้มาทำยาสักหน่อย”
วั่งซูกอดมารดาแน่น “ไปเก็บดอกไม้หรือ พาข้าไปด้วยได้หรือไม่” ท่องตำรากับพี่ชายทรมานยิ่งนัก…
เฉียวเวยเคาะหน้าผากน้อยของนาง “อย่าฝัน! ท่องตำรากับพี่ชายเจ้าไป กลับมาข้าจะมาทดสอบ”
วั่งซูเป็นตายก็ไม่ยอมปล่อยมือ
หากเป็นผู้อื่นคงหมดหนทางกับนางแล้ว แต่พละกำลังของเฉียวเวยเป็นของจริง เฉียวเวยคว้านางขึ้นมาเหมือนจับลูกหมู มือเท้าของวั่งซูดิ้นรนอยู่พักหนึ่ง วินาทีต่อมาก็ถูกมารดาจับไปนั่งบนม้านั่ง
“โอ้ย! เจ็บมากเลย!” วั่งซูลูบมือซ้าย
เฉียวเวยหรี่ตา “ข้าจับมือขวาของเจ้าต่างหาก”
“โอ้ย เจ็บมากเลย” วั่งซูลูบมือขวา
เฉียวเวยทั้งฉิวทั้งขัน เจ้าตัวจ้อย เล่ห์เหลี่ยมมากขึ้นทุกวันแล้ว น่าเสียดายอยากหลอกแม่ของเจ้ายังอ่อนเกินไป
เฉียวเวยปลดถุงเงินใบน้อยข้างเอวของวั่งซูออกมาแล้วชั่งน้ำหนักในมือ “เจ้านี่ แม่จะเก็บเอาไว้ก่อน เจ้าท่องบทกวีที่พี่ชายสอนได้เมื่อใด แม่จะคืนให้เจ้า”
วั่งซูทำปากยื่นอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม ท่านแม่ร้ายกาจเกินไปแล้ว! ร้ายกาจเกินไปแล้วจริงๆ!
…
เรือนถงตั้งอยู่บนเส้นกึ่งกลางของจวนฝั่งใต้ หากไม่นับเรือนลั่วเหมยของเหล่าไท่ไท่ ตำแหน่งที่ตั้งของมันนับว่าดีที่สุด มันมีทั้งหมดสามประตู ประตูหน้า ประตูหลังกับประตูเล็กด้านข้างที่ปกติไม่ค่อยจะใช้เท่าใดนัก
ได้ยินว่าก่อนหน้านี้ประตูข้างเคยเป็นประตูหลัง แต่หลังจากขยายเรือน ประตูบานนี้ก็ไม่ค่อยสะดวกนัก ดังนั้นจึงลงกลอนเอาไว้ ไม่มีผู้ใดคอยเฝ้า
ประตูเช่นนี้ สำหรับเฉียวเวยความยากคงจะเท่ากับทำลายกระดาษหนึ่งแผ่น
เฉียวเวยผลักด้วยมือเดียว ปึง! กรอบประตูหลุดออกมา
เฉียวเวยเดินอาดๆ เข้าไป แล้ววางบานประตูเอาไว้อย่างเรียบร้อย จากนั้นเดินเข้าไปที่ลานด้านใน
ตอนนี้เป็นเวลาอาหาร ภายในเรือนจึงมีคนน้อย หลบง่ายดายยิ่ง
เฉียวเวยมาถึงระเบียงทางเดินอย่างชำนาญทาง แสงตะวันยามบ่ายส่องจนหนังศีรษะอบอุ่น ดอกไม้ที่ออกดอกตูมท่าทางเกียจคร้าน หญิงรับใช้ที่รับผิดชอบงานหนักคอยทำหน้าที่ปัดกวาดคนหนึ่งกินข้าวเสร็จแล้วกำลังนั่งไขว่ห้างอยู่บนม้านั่งหินแคะฟัน
เฉียวเวยเดินผ่านด้านหลังนางไป
หญิงรับใช้รู้สึกถึงลมเย็นสายหนึ่งรางๆ แต่เมื่อหันกลับไปก็ไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้น
หัวหน้าพรรคเฉียวเดินอาดๆ ไปทางห้องของสวินหลัน
“ชุนจือ ห้องครัวให้ลูกชิ้นหัวสิงโตมา ประเดี๋ยวข้าจะเอามาให้เจ้า”
เจ้าสำนักเฉียวพุ่งพรวดเดียวมาอยู่บนคาน!
ชุนจือกับชิวผิงคล้องแขนเดินผ่านใต้ร่างนางไป
เมื่อทั้งสองคนเดินออกไปไกลแล้ว เฉียวเวยก็กระโดดลงมาแล้วมองคานที่สูงเกือบสองเมตร ก็ไม่รู้ว่าตนเองกระโดดขึ้นไปได้อย่างไรกัน เหมือนลิงเกินไปแล้ว!
ห้องของสวินหลันเป็นห้องแรกตรงมุม กำลังจะเดินไปถึงอยู่แล้ว ด้านหน้าก็มีเสียงของสาวใช้ดังขึ้น “นายท่าน!”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว เปิดประตูด้านข้างอย่างมั่วซั่วแล้วก้าวเข้าไป นางรู้สึกเลือนรางว่าห้องนี้ดูคุ้นตา เหมือนเคยมาเยือน แต่ชั่วขณะนึกไม่ออก
นางภาวนาให้จีซั่งชิงกลับไปที่ห้องของตนเองก่อน รอนางแอบเข้าไปในห้องของสวินหลันแล้วค่อยมาหาสวินหลัน
ไม่นาน เรื่องที่นางคิดก็เกิดขึ้น
จีซั่งชิงกลับห้องของตนเองก่อนจริงๆ ก็คือห้องนี้นี่เอง…
เฉียวเวยคิดอยากตายขึ้นมาแล้ว หนนั้นที่จีซั่งชิงยกกุญแจให้นาง ก็เรียกนางมาที่ห้องนี้มิใช่หรือ นางดันลืมเสียได้!
ฝีเท้าของจีซั่งชิงใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เฉียวเวยใช้ความคิด จากนั้นก็เปิดประตูตู้หนังสือแล้วเข้าไปนั่ง
ตู้หนังสืออยู่ตรงกันข้ามกับโต๊ะอ่านหนังสือของจีซั่งชิงพอดี เฉียวเวยนั่งอยู่ด้านใน สามารถมองเห็นการกระทำของจีซั่งชิงผ่านรอยแยกเล็กๆ ได้
สีหน้าของเขาเป็นดังเช่นปี้เอ๋อร์กล่าว ถมึงทึงจนน่าหวาดหวั่น
เขาโยนจดหมายฉบับหนึ่งลงบนโต๊ะแล้วนั่งเงียบงัน แผ่นหลังคุดคู้ ดูเหมือนจะกุมศีรษะอยู่ หลังจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นหมุนตัว เดินมาทางตู้หนังสือ
หัวใจของเฉียวเวยขึ้นมาจุกอยู่ที่คอในทันใด
เขาเอื้อมมือออกมาเปิดตู้หนังสือ
คำว่า “ท่านพ่อ” ไหลมาอยู่ที่ริมฝีปากของเฉียวเวยแล้ว แต่แล้วนางก็ได้ยินเสียงดัง แกร๊ก! ประตูตู้ถูกเปิด แต่ไม่ใช่บานที่อยู่ฝั่งตน
เฉียวเวยพรูลมหายใจยาว
นางมองผ่านช่องว่างของประตู เห็นของที่จีซั่งชิงหยิบออกไปชัดเจน มันเป็นภาพเหมือนภาพหนึ่ง
เวลานี้ยังมีอารมณ์มาชื่นชมภาพเหมือนอีก พ่อสามีท่านคิดอะไรอยู่กันแน่!
รีบเรียกแม่เลี้ยงมาสอบสวนสิ!
จีซั่งชิงคลี่ภาพวาดออกอย่างอ้อยอิ่ง เขาหันหลังให้เฉียวเวย เฉียวเวยจึงมองไม่เห็นสีหน้าของเขาชัด แต่จากการเคลื่อนไหวของเขาก็มองออกถึงความอ่อนโยนและความระมัดระวังของเขา
เฉียวเวยนึกสงสัยใคร่รู้อย่างห้ามไม่ได้ ภาพวาดใดกันล้ำค่าเช่นนี้
เฉียวเวยชะเง้อคอ คิดจะดูให้กระจ่าง แต่จนปัญญาที่ช่องสูงเพียงเท่านี้
นิ้วมือของจีซั่งชิงไล้ผ่านภาพเหมือนอย่างเชื่องช้า
เขาไม่พูดคำใดทั้งสิ้น แล้วก็ไม่ไปกินข้าว เพียงนั่งนิ่งๆ อยู่อย่างนั้น
เฉียวเวยรออยู่นานก็ไม่เห็นเขาจะออกไป นางจึงอ้าปากหาว ศีรษะเอนพิงด้านในตู้หลับไปเสียแล้ว
เมื่อเฉียวเวยลืมตาขึ้นมา ในห้องก็จุดตะเกียงแล้ว จีซั่งชิงยังคงนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น ด้านข้างฝ่ามือคือภาพวาดภาพนั้น