หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 213-2 ต้าไป๋ผู้เก่งกาจห้าวหาญ รักษาอาการบาดเจ็บ
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก
- ตอนที่ 213-2 ต้าไป๋ผู้เก่งกาจห้าวหาญ รักษาอาการบาดเจ็บ
ตอนที่ 213-2 ต้าไป๋ผู้เก่งกาจห้าวหาญ รักษาอาการบาดเจ็บ
เฉียวเวยเป่าเทียนไข ดับถ่านในเตา ขณะที่กำลังจะเข้านอน ทันใดนั้นต้าไป๋ที่นอนหมอบอยู่บนพื้นก็ยกหัวขึ้นมา!
ต้าไป๋หูตั้ง ฟังนิ่งๆ อยู่ครู่ใหญ่ จากนั้นก็เผ่นแผล็ว มุดออกไปผ่านช่องประตู!
เฉียวเวยคิดว่ามันคงรีบร้อนไปฉี่ จึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ซุกเข้าไปนอนในผ้าห่ม
ระหว่างที่สะลึมสะลือ ก็มีสิ่งหนึ่งดึงผ้าห่มของตนออก
เฉียวเวยลืมตาขึ้นก็เห็นต้าไป๋ มันกำลังใช้ฟันคมกริบกัดผ้าห่มของนางคล้ายพยายามจะลากผ้าห่มลงไป เฉียวเวยขยี้ตา ถามเสียงแหบพร่า “เป็นอะไร”
ต้าไป๋กระโดดไปกระโดดมาบนเตียง ท่าทางร้อนรนยิ่งนัก
เฉียวเวยพลิกตัวหันหลัง ไม่อยากสนใจมัน
มันกระโดดลงจากเตียง คาบของสิ่งหนึ่งกระโดดไปอีกฝั่งของเฉียวเวย จากนั้นโยนของลงบนหมอนของเฉียวเวย
“หากเป็นหนูนา เจ้าตายแน่” เฉียวเวยลูบของสิ่งนั้น แข็งกระด้างและเย็นเฉียบ บางดั่งปีกจักจั่น มันคือป้ายโลหะรูปโล่ขนาดเท่าฝ่ามือชิ้นหนึ่ง วัสดุที่ใช้ทำเบายิ่งนัก ก็ไม่รู้ว่าทำมาจากวัสดุอะไร บนนั้นสลักลวดลายตัวอักษรเอาไว้ แต่โคมดับไม่มีแสงไฟ ผู้ใดจะเห็นชัดเล่า
เฉียวเวยไม่สนใจเท่าใดนัก นางอ้าปากหาวแล้วโยนป้ายไปไว้ด้านข้าง “ไปเล่นเองสิ”
ต้าไป๋คาบป้ายกลับมาอีกหน
เฉียวเวยก็โยนทิ้งอีกครั้ง
ต้าไป๋ร้อนรนจนวิ่งวนไปมา มุดเข้าไปในกระเป๋าหนังสือของจิ่งอวิ๋นแล้วอมมุกราตรีเม็ดน้อยเม็ดหนึ่งออกมาจากด้านใน
จู่ๆ ตรงหน้าของเฉียวเวยก็มีแสงสว่าง นางปิดตาแน่นอย่างปรับตัวไม่ทันแล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมศีรษะ
ต้าไป๋ลากผ้าห่มของนางออก!
เฉียวเวยหยิบป้ายขึ้นมาอย่างจนปัญญา “ยอมเจ้าแล้ว ข้าดู ข้าดู!”
เฉียวเวยอาศัยแสงของมุกราตรี มองตัวอักษรบนป้ายจนเห็นชัด “จวน…เทพ…สงครามหรือ”
ต้าไป๋กระโดดอย่างดีใจ
ในความดีใจนี้แฝงความร้อนรนอันยากจะมองข้ามอยู่ด้วย
เฉียวเวยตื่นจากอาการง่วงงุนไม่น้อย “ป้ายคำสั่งของจวนเทพสงครามอยู่ที่เจ้าได้อย่างไร เจ้าไปเอามาจากที่ใด”
ต้าไป๋กัดแขนเสื้อเฉียวเวยลากลงไปจากเตียง
เฉียวเวยมองต้าไป๋แล้วหันไปมองป้ายคำสั่งที่ต้าไป๋คาบกลับมา สายตาวูบไหว “เจ้าจะพาข้าไปตามหาคนหรือ”
ต้าไป๋กระโดดอยู่กับที่อย่างบ้าคลั่ง!
เฉียวเวยแน่ใจอย่างยิ่งว่าป้ายคำสั่งแผ่นนี้ไม่ใช่ของที่ตนเองพกมาจากที่ใดอย่างไม่ทันระวัง และไม่ใช่ของที่จูเอ๋อร์ฉกมา ถ้าเช่นนั้นก็เป็นไปได้เพียงต้าไป๋คาบกลับมา คนที่มันต้องการให้ตนไปตามหา คงจะเป็นเจ้าของป้ายแผ่นนี้
เฉียวเวยขมวดคิ้วครุ่นคิดครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ยังตัดสินใจออกไปดู เฉียวเวยสวมเสื้อผ้า ปลุกปี้เอ๋อร์ให้ตื่นมาเฝ้าเด็กๆ ส่วนตนกับต้าไป๋หายเข้าไปในพายุหิมะที่ตกทั่วฟ้าด้วยกัน
เฉียวเวยไล่ตามต้าไป๋เข้าไปในป่า เดินไปได้ระยะทางหนึ่ง เฉียวเวยก็ได้ยินเสียงอาวุธปะทะกัน นางอาศัยแสงเย็นเฉียบที่สะท้อนจากผืนหิมะมองลึกเข้าไปในป่า ไม่ทราบว่ากลุ่มคนจากที่ใดกำลังชักกระบี่เข่นฆ่าชายหนุ่มอาภรณ์สีม่วงที่อยู่ตรงกลาง
หากนางจำไม่ผิด ชายหนุ่มอาภรณ์สีม่วงผู้นี้ก็คือแม่ทัพน้อยมู่แห่งหนานฉู่
ประหลาดจริงๆ แม่ทัพน้อยมู่เหตุใดจึงมาอยู่ในสถานที่เช่นนี้ แล้วยังถูกคนไล่ฆ่าอีก
อีกฝ่ายมีคนมาก ส่วนแม่ทัพน้อยมู่ก็บาดเจ็บ แม้จะยังยืนหยัดต้านทานอยู่ แต่ความพ่ายแพ้ก็เป็นเรื่องของช้าเร็วเท่านั้น
แม่ทัพน้อยคนนี้เป็นพี่ชายของศิษย์พี่รอง ประการแรกเขายิงธนูใส่นางโดยไม่แบ่งแยกถูกผิด หากไม่ได้หมิงซิวมาทันเวลา เกรงว่านางคงถูกเขายิงจนบาดเจ็บไปแล้ว
วันนี้เขาตกที่นั่งลำบาก ความจริงตนเองก็ไม่มีเหตุผลให้ไม่นิ่งดูดาย
เพียงแต่…
หากเขาถูกคนสังหารตายไปจริงๆ แล้วฝั่งหนานฉู่เอาเรื่องขึ้นมา จะคิดว่านางกับหมิงซิวทำหรือไม่ อย่างไรเสียทั้งราชวงศ์ต้าเหลียง คนที่มีความขัดแย้งกับแม่ทัพน้อยมู่คนนี้ก็มีเพียงพวกเขาสองสามีภรรยา
บังเอิญยิ่งนักว่าสถานที่ที่เขาเกิดเรื่องยังอยู่ใกล้กับคฤหาสน์ของนางอีก แล้วบังเอิญยิ่งกว่านั้นวันนี้นางกลับมาที่นี่พอดี
เจ้าหนู นับว่าเจ้าดวงแข็ง!
ดวงตาของเฉียวเวยทอประกายเย็นชาวูบหนึ่ง แล้วชักมีดสั้นพุ่งเข้าไป!
ต้าไป๋เข้าร่วมวงต่อสู้ด้วย
มือสังหารชุดเทาคนหนึ่งกำลังเหวี่ยงกระบี่แทงแผ่นหลังของแม่ทัพน้อยมู่ ต้าไป๋ก็เข้ามาขย้ำลำคอของเขา!
มือสังหารกรีดร้อง ล้มลงจมกองเลือด
ต่อจากนั้นเฉียวเวยก็ประจักษ์ถึงความสามารถในการต่อสู้อันน่าตกตะลึงของต้าไป๋ มันเป็นจอมยุทธ์ยอดฝีมือในหมู่เพียงพอนหิมะโดยแท้ แต่ละกระบวนท่าล้วนเล่นงานถูกจุดสำคัญ เสี่ยวไป๋ข่วนคนมีแต่ข่วนมั่วซั่ว แต่ต้าไป๋กลับรู้ว่าจะจัดการอีกฝ่ายให้สิ้นความสามารถในการต่อสู้อย่างรวดเร็วที่สุดได้อย่างไร
มือสังหารอีกคนร่วงลงไปแล้ว
กระบี่ยาวเล่มหนึ่งแทงใส่แผ่นหลังของเฉียวเวย ต้าไป๋หมุนตัวกระโจนเข้าใส่ แม้แต่เฉียวเวยก็มองการเคลื่อนไหวของมันไม่ชัด รู้สึกเพียงว่ามีแสงสีขาวเส้นหนึ่งแวบผ่าน มือสังหารก็ล้มลงบนพื้นหิมะแล้ว โลหิตไหลทะลักออกมาจากลำคอของเขา เขาเบิกตาโต สีหน้าตกตะลึง เห็นชัดว่าตายทั้งที่ไม่รู้ว่าตนเองถูกคว่ำได้เช่นไร…
เพียงพอนเมฆาดุร้าย มือสังหารสิบกว่าคนสูญกำลังพลครึ่งหนึ่งในพริบตา คนที่เหลืออยู่ส่งสายตาให้กันแล้วหันหลังให้กับพรรคพวก ใช้วิชาตัวเบาหนีออกไปจากที่แห่งนี้
แม่ทัพน้อยมู่ที่อยู่อีกด้านหนึ่งยืนหยัดไม่ไหวอีกต่อไป สองขาอ่อนแรง ทรุดลงบนผืนหิมะ
เฉียวเวยเก็บเงินที่หล่นอยู่บนพื้นมาไว้ในอกเสื้อก่อน หลังจากนั้นจึงเดินไปหาเขา ย่อตัวลงดูลมหายใจที่จมูก ยังมีลมหายใจอยู่
แต่บาดเจ็บหนักเกินไป บนร่างมีแผลถูกดาบแทงอยู่สองแห่ง บนขาถูกฟันอีกสองกระบี่ ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย ไม่เกินหนึ่งชั่วโมงก็คงเสียเลือดมากเกินไป เทพเซียนก็ช่วยกลับมาไม่ได้แล้ว
“นี่ เจ้าคิดว่าเหตุใดเจ้าจึงดวงดีเช่นนี้ ดันมาพบหมอผู้จิตใจเมตตาเช่นข้า!” เฉียวเวยเอื้อมมือมาลากเสื้อของเขา
เขาฉับพลันลืมตาขึ้น ใช้ฝ่ามือใหญ่ที่เต็มไปด้วยเลือดจับมือของเฉียวเวย ถามอย่างอ่อนแรงและดุดัน “เจ้าจะทำอะไร”
สายตาของเฉียวเวยหยุดบนมือของเขา “เจ้าสภาพเป็นเช่นนี้แล้ว เจ้ายังคิดว่าข้ายังจะทำอะไรได้อีก แต่ว่าแม่ทัพน้อยมู่ก็หน้าตาละอ่อนถึงเพียงนี้ แล้วก็หายากที่จะขัดขืนไม่ได้เช่นนี้ เจ้าว่านายหญิงคนนี้สมควรจะ…หรือไม่ล่ะ หืม”
นางเลิกคิ้ว
เห็นชัดว่าแม่ทัพน้อยมู่เข้าใจความหมายที่นางละไว้ ใบหน้าดำทะมึนในทันใด เค้นเสียงลอดไรฟันออกมาสองคำ “…ไร้ยางอาย!”
มารดาช่วยด้วย นางเพียงอยากจะคิดค่ารักษาสักหน่อยเท่านั้น เขาคิดไปถึงไหนแล้ว
เฉียวเวยว่าอย่างรังเกียจเดียดฉันท์ “ไม่ดูเสียบ้างว่าตอนนี้เจ้ามีสภาพเป็นอย่างไร นายหญิงคนนี้เห็นเจ้าแล้วกินข้าวยังกินไม่ลง ยังจะเอาเปรียบเจ้าได้อีกหรือ หลงตัวเองจริงนะ!”
แม่ทัพน้อยมู่โกรธจนลมหายใจชะงัก ทั่วทั้งร่างเจ็บปวดอย่างรุนแรง “เจ้า…”
เฉียวเวยล้วงถุงเงินออกมาจากด้านในเสื้อของเขาแล้วเปิดดู จากนั้นก็เบ้ปากอย่างดูแคลน “ข้าว่านะ ดีเลวเจ้าก็เป็นแม่ทัพน้อยคนหนึ่ง เหตุไฉนจึงมีเงินเพียงเท่านี้เล่า”
แม่ทัพน้อยมู่ถลึงตาใส่นางอย่างเหี้ยมๆ เจ้าก็ลองถูกผู้อื่นหลอกเงินไปหนึ่งพันตำลึงดูสิ!
“ช่างเถิดๆ เงินน้อยไปหน่อยก็ไม่เป็นไร ผู้ใดให้ข้ามีหัวใจดุจพระโพธิสัตว์กันเล่า” เฉียวเวยยัดถุงเงินเข้าไปในอกเสื้ออย่างไม่เกรงใจสักนิด ความจริงมีตั๋วเงินสองแผ่น แผ่นละห้าสิบตำลึงก็ไม่น้อยแล้ว
เฉียวเวยดึงแขนของเขา
เขามุ่นคิ้ว “เจ้าจะทำอะไร”
“แบกเจ้ากลับไปอย่างไรเล่า!” เฉียวเวยแบกเขาขึ้นหลัง นางรีบร้อนออกจากบ้านมา จึงสวมเสื้อนวมเพียงตัวเดียว โลหิตซึมเข้าไปในเสื้อนวมอย่างรวดเร็วยิ่งนัก นางกัดฟัน “เสื้อตัวนี้ของข้าก็คิดเงิน กลับไปจำไว้ว่าส่งเงินมาให้ข้าด้วย!”
“เจ้าปล่อยข้า!” เขาคำรามเบาๆ
เฉียวเวยตอบเสียงเรียบเฉย “ปล่อยเจ้า เจ้าก็ตายสิ เจ้าคิดว่าคนกลุ่มนั้นไปไกลสักเท่าใดกัน”
แม่ทัพน้อยมู่ตอบว่า “ไม่ใช่เรื่องของเจ้า”
เฉียวเวยแค่นเสียงขึ้นจมูก “อยากจะให้ไม่ใช่เรื่องของข้า เจ้าก็อย่ามารนหาที่ตายในที่ดินของข้าสิ!”
แม่ทัพน้อยมู่ตะลึงเล็กน้อย จากนั้นก็ตระหนักได้ว่าตนเองออกจากเมืองหลวงมานานแล้ว ในเมื่อที่แห่งนี้ไม่ใช่เมืองหลวง แล้วเหตุใดนางจึงมาอยู่ที่นี่
นางบอกว่าที่ดินของนาง
เฉียวเวยทราบว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่ จึงเฉลยความสงสัยให้เขาอย่างใจดี “เห็นภูเขาลูกนั้นด้านหน้าหรือไม่ ก่อนแต่งงานข้าอาศัยอยู่ที่นั่น”
แม่ทัพน้อยมู่ขมวดคิ้วเป็นปมยิ่งกว่าเดิม “เจ้าไม่ใช่คุณหนูจวนเอินปั๋วหรือ” เหตุใดมาอาศัยอยู่ในชนบทแร้นแค้น
เฉียวเวยไม่ตอบเขาแต่ยิ้มน้อยๆ “อ้อ ในที่สุดก็สืบความเป็นมาของข้าแล้วหรือ”
“เหตุใดเจ้าจึงอาศัยอยู่ที่นี่” แม่ทัพน้อยมู่ยังอยากจะคลี่คลายความสงสัยในใจ แม้สตรีนางนี้อาศัยอยู่ที่ใดความจริงแล้วเหมือนจะไม่ใช่เรื่องของเขาก็ตาม
เฉียวเวยเดินย่ำจมลงไปในหิมะทีละก้าวๆ แล้วตอบอย่างเฉยเมย “ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราเหมือนจะไม่ได้ดีถึงขั้นที่ข้าจำเป็นจะต้องอธิบายทุกอย่างให้เจ้าฟังสักหน่อย ข้ายังไม่ถามเลยว่าเหตุใดเจ้าถูกคนตามฆ่า”
จากนั้นแม่ทัพน้อยมู่ก็ไม่ถามต่อแล้วจริงๆ
เฉียวเวยแบกเขาไปยังคฤหาสน์ ปี้เอ๋อร์กับเด็กๆ นอนหลับสบายอยู่ เฉียวเวยไม่ปลุกพวกเขา แต่แบกเขาไปยังห้องของเฉียวเจิง
ห้องของเฉียวเจิงมีตู้ยาใบใหญ่ใบหนึ่ง ด้านในมีสมุนไพรที่เฉียวเจิงไม่ได้นำติดตัวไปอยู่บ้าง เฉียวเวยหาสมุนไพรห้ามเลือดสองสามชนิดจากในโถ ต้มสมุนไพรบนเตาเสร็จก็ต้มน้ำเดือดหนึ่งหม้อ
เฉียวเวยขยับตัวเร็วมาก ไม่นานก็ยกน้ำร้อนสะอาดอ่างหนึ่งกลับมาในห้อง
แม่ทัพน้อยมู่บาดเจ็บหนักเกินไป ทนมาจนถึงตอนนี้ได้ล้วนเป็นเพราะเขามุ่งมั่นแน่วแน่ ตอนที่เฉียวเวยเข้ามาจัดการบาดแผลให้เขา สติของเขาก็เริ่มเลือนรางหายไปบ้างแล้ว
เฉียวเวยเปิดล่วมยาที่เฉียวเวยจิงเตรียมไว้ในคฤหาสน์แล้วหยิบกรรไกรออกมาตัดเสื้อกับกางเกงของเขา “เจ้าอย่าหลับเชียว หากหลับไปแล้วคงไม่ได้ตื่นขึ้นมาอีก ข้าไม่สนใจความเป็นความตายของเจ้า แต่เจ้าอย่ามาเป็นภาระของข้า ข้าแบกเจ้ากลับมาแล้ว หากเจ้าตายที่บ้านข้า ข้ากระโดดลงแม่น้ำเหลืองก็ล้างมลทินไม่ออกจริงๆ แล้ว”
แม่ทัพน้อยมู่พยายามทำให้ตนเองตื่น
บนร่างของเขามีแผลสาหัสทั้งหมดสี่แผล ทุกแผลทั้งลึกและยาว เลือดที่ไหลออกมาก็มากมายนัก
เลือดไหลออกมามากระดับนี้ หากเป็นในยุคปัจจุบันคงต้องถ่ายเลือดอย่างเหมาะสมแล้ว แต่ในยุคโบราณไม่มีอุปกรณ์ชนิดนี้ เขาจึงได้แต่ฝืนอดทนด้วยตนเอง
เฉียวเวยจัดการฆ่าเชื้อบาดแผลของเขาด้วยความเร็วสูงสุด จากนั้นโปรยผงยาห้ามเลือด แต่บาดแผลลึกเกินไป ผงยาได้ผลไม่มากนัก “แผลของเจ้าต้องเย็บ น้ำแกงหมาฝูกำลังต้มอยู่ แต่สภาพของเจ้ารอจนมันต้มเสร็จไม่ไหวแล้ว ข้าต้องเย็บปิดให้เจ้าตอนนี้ เจ้าอดทนไว้”
ริมฝีปากของแม่ทัพน้อยมู่ไม่มีสีเลือดแล้ว เขามองเฉียวเวย แววตาเต็มไปด้วยความสงสัย ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีถามขึ้นว่า “เจ้ารักษาเป็นแน่หรือไม่”
เฉียวเวยหยิบเข็มกับด้ายที่ใช้รักษาออกมาแล้ว แล้วตอบอย่างไม่แยแส “เป็นหรือไม่ ที่ตรงนี้ก็ไม่มีหมอคนที่สองแล้ว เจ้าเลือดออกมากขนาดนี้ ไม่ว่าเจ้าจะคิดอย่างไร ภายในเวลาหนึ่งก้านธูปเจ้าได้ไปพบพระพุทธองค์แน่”
แม่ทัพน้อยมู่หน้าดำทะมึนขึ้นเล็กน้อย หากตนไม่ถูกนางรักษาจนตายก็คงถูกนางทำให้โมโหจนตายเป็นแน่
เฉียวเวยไม่สนใจว่าเขายินยอมหรือไม่ นางใช้ผ้ามัดแขนขาเขาไว้บนเตียง
แม่ทัพน้อยมู่แววตาสั่นไหว “เจ้าจะทำอะไร”
เฉียวเวยร้อยด้ายเรียบร้อยแล้ว “แม้เจ้าจะไม่มีเรี่ยวแรงขัดขืนแล้ว แต่หากเจ้าเจ็บปวดเกินไปจนไม่ร่วมมือขึ้นมา ข้าจะเย็บลำบากมาก”
เขาเป็นแม่ทัพ เจ็บเพียงเท่านี้ จะไม่ร่วมมือได้เช่นไร!
สตรีนางนี้!
สตรีนางนี้!
“เจ้าปล่อยข้า!”
เขาจะไม่ยอมถูกมัดไว้บนเตียงเหมือนลูกสัตว์!
ความรู้สึกเช่นนี้เหมือนกับแพะที่รอถูกเชือด แย่ไม่มีสิ่งใดเกิน!
เฉียวเวยตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “เพื่อป้องกันเอาไว้ก่อน ขออภัยด้วย แก้ไม่ได้”
“ข้าจะไม่ขยับ” เขากัดฟันบอก
“ในสภาพที่ไม่มียาชา นี่เป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดแล้ว” เฉียวเวยให้ตายก็ไม่ยอมรับว่าตนเองอยากถือโอกาสเล่นงานเขา ผู้ใดให้เขาจะแก้แค้นให้น้องสาวโดยไม่แบ่งแยกถูกผิดเล่า ตอนนี้เขาอุตส่าห์ตกมาอยู่ในกำมือของนางแล้ว ไม่ให้เขาลำบากสักหน่อยจะได้อย่างไร
แม่ทัพน้อยมู่จะมองไม่ออกได้อย่างไรว่านางจงใจ แต่เขาบาดเจ็บจนเป็นเช่นนี้ นอกจากใช้สายตาทิ่มแทงนางให้พรุนก็ขัดขืนอย่างอื่นไม่ได้อีกแล้ว
ทว่าสิ่งที่แม้แต่ตัวเขาเองยังไม่รู้ก็คือเขาถูกเฉียวเวยทำให้โมโหจนสติแจ่มชัดขึ้นมาไม่น้อย ตอนนี้ไม่อยากจะหลับแล้ว
เฉียวเวยเริ่มเย็บแผลให้เขา น้ำแกงหมาฝูอะไร แน่นอนว่าหลอกเขา นางจะจิตใจดี ต้มน้ำแกงหมาฝูให้เขาได้อย่างไร ทำให้เขาเจ็บเจียนตายได้สิถึงจะดี! สิ่งที่ต้มอยู่ในหม้อคือยาป้องกันการติดเชื้อต่างหาก
ส่วนที่เย็บส่วนแรกสุดก็คือแผลบนหน้าอกกับหน้าท้อง สองกระบี่นี้ล้วนแทงเข้าไปในร่างของเขา อีกนิดเดียวก็จะแทงเขาทะลุเป็นรูอยู่แล้ว แต่ไม่ทราบว่าเขาดวงแข็งหรืออย่างไร ดันไม่บาดเจ็บถูกอวัยวะภายใน
เฉียวเวยเย็บอย่างตั้งใจยิ่ง
แม่ทัพน้อยมู่เจ็บเหมือนจะเป็นจะตาย เหงื่อกาฬแตกพลั่ก ดวงตาคมปลาบตวัดฟึบ ฟึบ ฟึบ จ้องหน้าเฉียวเวย “เจ้า…จงใจ…ใช่หรือไม่”
“จงใจรักษาเจ้าให้หายดีหรือ ใช่สิๆ ข้าจิตใจดีปานนี้ ข้าบอกกับเจ้าสองหนแล้ว!” เฉียวเวยพูดพลางดึงด้ายเส้นยาวในมือ
แม่ทัพน้อยมู่เจ็บจนตาเหลือก
เฉียวเวยเม้มปาก กดมุมปากที่แอบยกโค้งขึ้นมาลงไป
แน่นอนว่า มือหนักก็ส่วนมือหนัก แต่คุณภาพและความเร็ว เฉียวเวยทำได้อย่างไร้ที่ติ
เฉียวเวยเย็บบาดแผลบนนั้นจนเรียบร้อยอย่างรวดเร็ว เห็นเขากัดริมฝีปากตนเองจนแตก เฉียวเวยก็ยัดท่อนไม้ท่อนหนึ่งเข้าไปในปากของเขา
เขาถ่มท่อนไม้ออกมา
เฉียวเวยมองเขาอย่างหมดคำจะพูด “เจ้ารู้หรือไม่ว่าท่าทางที่อยากร้องแต่ก็ไม่ร้อง ต้องอดกลั้นไว้อย่างนั้นของเจ้า มันเหมือนกับ…”
เฉียวเวยไม่รู้ว่าจะพรรณนาอย่างไรดีจึงเลียนเสียงออกมาสองครั้ง เส้นเลือดที่ขมับของแม่ทัพน้อยมู่ปูดออกมาทันใด เขาหันหน้าไปอย่างรวดเร็วแล้วคาบท่อนไม้กลับมาไว้ในปากตัวเอง!
เฉียวเวยใช้ความเร็วสูงสุดและวิธีที่เจ็บที่สุดเย็บแผลสองแผลบนขาของแม่ทัพน้อยมู่จนเรียบร้อย
แต่ก็ยังมีเลือดมากมายไหลออกมาจากบนร่างของเขา
หรือว่าจะยังมีแผลอีก
ทันใดนั้นแม่ทัพน้อยมู่ก็ตกใจจนตัวสั่น กัดท่อนไม้จนหักแล้วถามอย่างหวาดผวา “เจ้าจะทำอะไร!”
เฉียวเวยยกมือที่เต็มไปด้วยเลือดขึ้นมา “ยังมีอีกแผลหนึ่งจริงๆ ด้วย อยู่ตรงต้นขาด้านใน ล่วงเกินแล้ว แม่ทัพน้อยมู่”
หน้าของแม่ทัพน้อยมู่แดงก่ำจนเป็นสีตับหมู “เจ้า…เจ้ากล้า”
เฉียวเวยยกนิ้วชี้หน้า “เจ้าจะเย็บหรือไม่เย็บ”
แม่ทัพน้อยมู่สำลักจนหน้าจะม่วงแล้ว “ไม่เย็บแล้ว!”
เฉียวเวยหน้าบึ้ง “เจ้าบอกไม่เย็บก็ไม่เย็บหรือ ข้าแบกเจ้ากลับมา เสียแรงไปตั้งมากมายปานนั้น แล้วยังต้มยาอีก เย็บแผลอีก หากเจ้าเสียเลือดมากเกินไปจนตายเพราะแผลตรงนั้น ข้าจะไม่ทำเรื่องมากมายปานนั้นเสียแรงเปล่าหรือ!”
หนึ่งเค่อหลังจากนั้น…
แม่ทัพน้อยมู่ก็อยากตายไปเสียตอนนี้!
เฉียวเวยตีหน้าขรึมกวาดสายตามอง โอ้ว้าว…