หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 214-1 ประชันปัญญา ประชันความกล้า
ตอนที่ 214-1 ประชันปัญญา ประชันความกล้า
หิมะห่าใหญ่โปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย ยามที่จีหมิงซิวออกมาจากวังหลวง โลกหล้าก็ถูกทับถมด้วยหิมะสีเงินยวง
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยนั่งแทะสาลี่อยู่นอกตัวรถม้า สาลี่เย็นเฉียบเพราะอากาศหนาวกินแล้วสดชื่นเป็นความสุขที่หายากยิ่งนักเรื่องหนึ่ง เขากินจนน้ำลายไหลยืด เผลอเพียงพริบตาเดียวตรงหน้าก็มีคนผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้น เขาประหลาดใจ “เร็วปานนี้เชียว ไม่ใช่บอกว่าจะประชุมกันจนถึงดึกดื่นหรือ”
“แม่ทัพน้อยมู่ไม่อยู่” จีหมิงซิวขึ้นรถม้า
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกัดเร็วๆ สองคำ จากนั้นก็โยนแกนสาลี่ทิ้งไว้บนผืนหิมะ “เด็กยังไม่โตคนหนึ่ง ไม่อยู่ก็ไม่อยู่สิ ไม่ใช่ว่ายังมีองค์ชายแปดหรือ”
จีหมิงซิวตอบว่า “องค์ชายแปดกังวลว่าเขาจะออกไปเที่ยวเล่นแล้วพบเรื่องไม่คาดฝันข้างนอก จึงออกไปตามหาเขา”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถอนหายใจ “คนหนุ่มนี่นะ” สองมือดึงสายบังเหียน แต่แล้วเพียงครู่เดียวก็หย่อนลง “จริงสิ นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เกือบลืมบอกท่านแล้ว”
“เรื่องใด” จีหมิงซิวถาม
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยตอบว่า “ไห่สือซานส่งข่าวมาแล้ว สายสืบคนหนึ่งของเขาส่งข่าวมาบอกว่าเขาถูกคนของชนเผ่าเกาเย่ว์จับตัวไปแล้ว”
“ชนเผ่าเกาเย่ว์หรือ” จีหมิงซิวขมวดคิ้ว “เขาถูกชนเผ่าเกาเย่ว์จับไปได้อย่างไร”
ชนเผ่าเกาเย่ว์อยู่ไกลถึงในมหาสมุทร แทบจะเป็นเกาะขนาดเล็กที่ห่างไกลที่สุดของต้าเหลียง ไห่สือซานล่องแม่น้ำตามหาร่องรอยของเสิ่นซื่อ เหตุใดจึงหาไปถึงที่นั่นได้ หรือว่าเสิ่นซื่อกับเผ่าเกาเย่ว์จะเกี่ยวข้องกัน
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยควักจดหมายลับที่สายสืบส่งมาให้ออกมาจากอกเสื้อ พอถืออยู่ในมือรู้สึกอุ่นก็ไม่อยากจะส่งให้เจ้าหมอนี่ หากรู้ก่อนน่าจะวางไว้บนหิมะให้เย็นจนแข็งสักครึ่งชั่วยาม ปล่อยให้เจ้าหมอนี่ได้ประโยชน์แล้ว!
“นี่ขอรับ”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยส่งจดหมายลับที่มีไออุ่นให้จีหมิงซิว แล้วบอกว่า “วันนั้นไห่สือซานพบร่องรอยอขงเสิ่นซื่อที่เมืองหลิ่ว หลังจากนั้นจึงล่องแม่น้ำสืบข่าว พบว่าพวกเขาออกทะเลไป เขาจึงออกทะเลไปค้นหาร่องรอย คนเหล่านั้นคงไม่ไปอยู่ที่ก้นทะเลหรอกกระมัง ไห่สือซานจึงเดินทางค้นหาทีละเกาะๆ หลังจากนั้นก็ค้นไปถึงเขตของชนเผ่าเกาเย่ว์ แม่ทัพกองเรือที่เขาจ้างมาบังเอิญป่วยตายพอดีจึงไม่มีผู้ใดบอกเขาว่าคนที่อาศัยอยู่บนเกาะคือชนเผ่าเกาเย่ว์ เขาขึ้นเกาะไปแต่สื่อสารกันไม่รู้เรื่องจนทำให้เข้าใจผิด ทะเลาะกับผู้อื่น ผลสุดท้ายจึงถูกผู้อื่นจับตัวไปแล้ว”
การจับตัวหนนั้น ไห่สือซานกับกองเรือทั้งหมดพ่ายแพ้ย่อยยับ มีแต่สายสืบที่คอยเฝ้าของบนเรือเพียงคนเดียวที่เหลือรอด สายสืบคนนั้นเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับตา เขาถูกนักรบหญิงที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นคนนั้นทำให้ตกใจกลัวไม่เบา พอกลับขึ้นฝั่งได้ก็ล้มป่วยหนัก เกือบเอาชีวิตไม่รอด พอฟื้นขึ้นมาสิ่งแรกที่ทำก็คือการส่งข่าวมายังเมืองหลวง
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเพิ่งได้รับข่าวหลังจากจีหมิงซิวเข้าวังไป
จีหมิงซิวอ่านคำบรรยายที่สายสืบเล่าถึงนักรบหญิง ‘ร่างกายกำยำ ไหล่หนาเอวล่ำ สวมเสื้อหนังสัตว์ เท้าหุ้มด้วยรองเท้าหนัง เส้นผมยาวสยาย’ แทบจะรู้ในพริบตาว่าอีกฝ่ายหมายถึงผู้ใด “คิดว่าเป็นรื่องที่ยิ่นอ๋องก่อขึ้นเสียอีก คิดไม่ถึงว่าจะพบ ‘การลอบจู่โจม’ ของชนเผ่าเกาเย่ว์จริงๆ”
“นั่นน่ะสิ เจ้าหมอนั่นก็มีเวลาที่ทำงานไม่สำเร็จเป็นเหมือนกันสินะ” ไปตีกับใครไม่ไป ไปตีกับคนในดินแดนของยอดหญิงงาม
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเคยเห็นยอดหญิงงามมาก่อนแล้ว ยอดหญิงงามคนนั้นทำให้คนเห็นแล้วมิอาจลืมเลือนเกินไป เพียงอ่านสิ่งที่เขียนอยู่นจดหมาย เขาก็พอเดาออกแล้วว่าเป็นนาง ไห่สือซานตกอยู่ในมือของนางก็ไม่มีสิ่งใดประหลาด แล้วก็ไม่น่าสงสารด้วย อย่างน้อยแม่นางคนนี้ก็คงไม่จัดการไห่สือซานเหมือนที่ จีอู๋ซวงถูก ‘จัดการ’ จนได้เมียมาคนหนึ่งแบบนั้นใช่หรือไม่
…
บนเกาะของชนเผ่าเกาเย่ว์ ทิวทัศน์งดงามดุจฤดูใบไม้ผลิชวนให้คนเพลิดเพลิน
คลื่นซัดกระทบหาดทรายเกิดเป็นฟองคลื่นระลอกแล้วระลอกเล่า
บนลานว่างไม่ไกลนัก เด็กหนุ่มกับเด็กสาววัยเยาว์กลุ่มหนึ่งกำลังเต้นระบำรอบกองไฟอย่างสนุกสนาน
ไห่สือซานถูกมัดมือเท้า นั่งอยู่ข้างกองไฟอย่างว่าง่าย
ยอดหญิงงามนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ที่ปูด้วยหนังเสือ ใช้หอยสังข์ตัวใหญ่ใส่สุราเลิศรส ก่อนจะก้มหน้าลงดื่มคำเดียวหมด
ข้างกายนางมีนักรบหญิงกำยำล่ำสัน สวมเสื้อหนังสัตว์กับรองเท้าหนัง เส้นผมยาวสยายเหมือนกันนั่งอยู่หนึ่งคน นักรบหญิงมองไห่สือซานแวบหนึ่ง แล้วขยับมาใกล้ยอดหญิงงาม มิทราบว่าพูดอันใด แต่ยอดหญิงงามหัวเราะลั่น “ฮ่าๆ ฮ่าๆ ฮ่าๆ …”
เสียงหัวเราะหนนี้ดังลั่นประหนึ่งระฆังโบราณประสานเสียง คล้ายวิชาราชสีห์คำรามทีสาบสูญไปนานแล้ว สะท้านสะเทือนจนหัวใจดวงน้อยของไห่สือซานเกือบจะปลิวออกมาจากคอ
ยอดหญิงงามเป็นชนเผ่าเกาเย่ว์น้อยนิดไม่กี่คนที่เข้าใจภาษาฮั่น นางหันไปมองไห่สือซานแล้วบอกอย่างเปิดเผย “น้องสาวข้าถูกใจเจ้า เจ้ากับน้องสาวข้าแต่งงานกัน แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไป!”
ไห่สือซานเหลือบมองใบหน้าแบนเหมือนแผ่นแป้งถูกประตูหนีบของนักรบหญิง ทันใดนั้นรูขุมขนทั่วร่างก็หวาดผวาจนหดเล็ก ขอร้องท่านล่ะ ท่านสังหารเข้าเสียดีกว่า!
…
จีหมิงซิวอาศัยแสงตะเกียงในรถม้าจับพู่กันเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง “สือชี”
สือชีเหินลงมาจากฟ้า
จีหมิงซิวส่งจดหมายที่ปิดผนึกเสร็จแล้วให้เขา “วันพรุ่งออกเดินทางไกลสักหน ข้าจะให้คนของจีอู๋ซวงตามเจ้าไป”
สือชีพยักหน้า
จีหมิงซิวหันไปถามเยี่ยนเฟยเจวี๋ย “จีอู๋ซวงอยู่ที่ใด”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยตอบ “เรือนสี่ประสาน”
จีหมิงซิวตบหัวไหล่สือชี “ไปเรือนสี่ประสานหาจีอู๋ซวง”
สือชีเหินหายไปแล้ว
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยส่ายหน้า เจ้าเด็กคนนี้วิชาตัวเบาก้าวหน้าอีกแล้ว เพิ่งจะอายุสิบสี่ หากเติบใหญ่อีกสักสองสามปี น่ากลัวว่าทั้งยุทธภพคงไม่มีผู้ใดเป็นคู่ต่อกรของเขา “จริงสินายน้อย ตอนนี้จะไปที่ใดเล่า”
จีหมิงซิวตอบว่า “กลับจวน”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยขับรถม้ากลับตระกูลจี หิมะตกหนักเหลือเกิน หนทางที่วันวานเดินทางสบายๆ ครึ่งชั่วยามก็ถึง มาวันนี้กลับใช้เวลาเดินทางหนึ่งชั่วยามเต็มๆ ทั้งยังเป็นเพราะเยี่ยนเฟยเจวี๋ยวรยุทธ์สูงส่ง หลายครั้งที่ล้อรถลื่นไกลเกือบจะชนกำแพง เขาพารถม้ากลับมาตั้งหลักได้อีกต่างหาก
เมื่อมาถึงตระกูลจีพบว่าเฉียวเวยไม่อยู่ จีหมิงซิวก็ออกมาอีก
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยมองเขาอย่างประหลาดใจ “นี่เกิดอะไรขึ้นอีกเล่า”
“นางไม่อยู่” เด็กๆ ก็ไม่อยู่เหมือนกัน
หิมะตกหนักเช่นนี้ หากนางอยู่ที่บ้านก็แล้วไปเถิด กลัวว่านางจะไปติดอยู่กลางทาง เข้าเมืองไม่ได้แล้วก็กลับหมู่บ้านไม่ได้ เบื้องหน้าไม่มีหมู่บ้าน ด้านหลังไม่มีโรงเตี๊ยมให้พัก ฟ้าหนาวเหน็บดินเย็นยะเยือก ทำให้คนหนาวตายได้
“ออกจากเมือง”
“ห๊ะ” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยสงสัยว่าตนฟังผิด “หิมะตกหนักเช่นนี้ ท่านจะออกจากเมือง”
เส้นทางจากวังหลวงมาถึงตระกูลจีนับว่าเป็นถนนหลวงที่เดินทางสะดวกอย่างยิ่ง แต่พวกเขาก็ยังเดินทางอย่างยากลำบากนัก เส้นทางที่ออกจากเมืองยิ่งไม่ต้องพูดถึงแล้ว
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถามว่า “รอตอนเช้าเถอะ ตอนเช้ามีคนกวาดหิมะ ตอนนี้พื้นถนนแข็งหมดแล้ว ข้าขอบอกท่านรถม้าแล่นยากนักล่ะ!”
ก็เพราะเดินทางลำบากจึงต้องไป จีหมิงซิวมองเกล็ดหิมะเกล็ดใหญ่เท่าขนห่านที่ทยอยโปรยปรายลงมา แล้วเรียกองครักษ์ตระกูลจีออกมาสองสามคน ให้เดินทางไปประตูเมืองทิศเหนือด้วยกัน
ทหารเฝ้าประตูเมืองหลบอยู่ในเพิงน้อยอันอบอุ่น ดื่มสุราพลางผิงไฟ
ผู้ใดจะคิดว่าหิมะหนนี้บอกจะตกก็ตก พวกเขายังไม่ทันเตรียมอาภรณ์หน้าหนาวพร้อมเลย ยืนอยู่ข้างนอกลมพัดกรรโชกแรง บนเตียงก็เย็นเฉียบ สบายสู้จุดเตาผิงไฟไม่ได้
ปึง ปึง ปึง!
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ทั้งสองคนขมวดคิ้วอย่างรำคาญ คนหนึ่งในนั้นถามขึ้นว่า “ผู้ใด”
องครักษ์ตระกูลจีตอบ “นายน้อยของตระกูลข้าต้องการออกจากเมือง รีบเปิดประตูเมือง!”
ทหารเฝ้าประตูเมืองแค่นเสียงดูแคลน “เจ้าคิดว่านายน้อยตระกูลเจ้าเป็นผู้ใด อยากออกจากเมือง พรุ่งนี้ก็มาให้เช้าหน่อย!”
องครักษ์ตระกูลจีเคาะประตูต่อ
ทหารเฝ้าประตูเมืองรำคาญจึงดึงประตูเปิด “ข้าก็บอกเจ้าแล้วไม่ใช่…”
พูดได้ครึ่งหนึ่ง เขาก็เห็นป้ายคำสั่งในมือของอีกฝ่ายชัด สีหน้าเปลี่ยนไปทันควัน รีบค้อมตัว “ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีมาเยือน ข้าน้อยเสียมารยาทไม่ได้ออกไปต้อนรับ! ขอใต้เท้าโปรดอภัยด้วย!”
“ข้ามีธุระด่วน ขอให้พี่ชายท่านนี้ช่วยอำนวยความสะดวกให้หน่อยได้หรือไม่”
เสียงของจีหมิงซิวไม่ดัง ราวกับว่าสายลมเคล้าหิมะพัดมาวูบเดียวก็คงมลายหาย แต่แรงกดดันท่วมท้นที่หลงเหลืออยู่นั่นทำให้ลำคอของทหารเฝ้าประตูเมืองตีบตัน แม้แต่แผ่นหลังก็คล้ายจะเหยียดตรงมิได้อีกต่อไป “ข้าน้อยจะเปิดเดี๋ยวนี้…เปิดเดี๋ยวนี้…”
เขาเรียกสหายเดินไปเปิดประตูเมือง
สายลมโหมกระหน่ำพัดหิมะเข้ามาปะทะใบหน้า เขายกแขนขึ้งบังหน้า รถม้าแล่นผ่านข้างกายเขาไป เขาถามองครักษ์ผู้นั้นอย่างสงสัยใคร่รู้ “พี่ชาย ดึกป่านนี้ อัครมหาเสนาบดีออกจากเมืองไปทำสิ่งใดหรือ”
องครักษ์ตระกูลจีตอบ “เกี่ยวอันใดกับเข้า”
เขาหุบปากฉับอย่างคับแค้นใจ
…
บนภูเขา เกล็ดหิมะที่โปรยปลิวไม่มีวี่แววว่าจะลดน้อยลงสักนิด ขอบหน้าต่างมีหิมะกองสุมจนหนา
ในที่สุดเฉียวเวยก็เย็บเข็มสุดท้ายให้แม่ทัพน้อยมู่เสร็จ เมื่อหันไปดูแม่ทัพน้อยมู่ก็พบว่าหน้าแดงจนดูไม่ได้เสียแล้ว
บุรุษตัวโตคนหนึ่งต้องเป็นถึงขั้นนี้เลยหรือ เรื่องนี้มีอะไรนักหนาเล่า ไม่ใช่แค่ต่ำช้าไปหน่อยเท่านั้นหรือ
ทั่วทั้งตัวเย็บรวมกันแล้วหลายสิบเข็ม เขาเจ็บจนจะพรุนอยู่แล้ว
“เจ้า…” แม่ทัพน้อยมู่สำลักจนเกือบจะเป็นลมแล้ว!
หยอกล้อคนไข้ ไม่ดี ไม่ดี แย่จริงๆ เชียว เฉียวเวยส่ายหน้าพลางเก็บอุปกรณ์เข้าไปในกล่องเหล็ก
พรืด! เหตุใดนางจึงกลายเป็นคนชั่วร้ายเช่นนี้ได้นะ
แม่ทัพน้อยมู่หน้าดำเป็นก้อนถ่าน
เฉียวเวยกดมุมปากที่กำลังจะยกโค้งลงไป เก็บข้าวของจนเรียบร้อย รอจนผงยาบนแผลของแม่ทัพน้อยมู่ละลายหมดก็โรยลงไปอีกชั้น จากนั้นจึงใช้ผ้าพันแผลให้เขา
แม่ทัพน้อยมู่โกรธจัด “ตาเจ้ามองไปที่ใด!”
เฉียวเวยส่งเสียงชิชะ “ก็ไม่ได้น่าดูนักเสียหน่อย”
“เจ้า…”
เอาเปรียบผู้อื่นแล้วยังจะมาทำท่าดูถูกกันอีก! แม่ทัพน้อยมู่โกรธจนอกจะแตกตายแล้ว!
เฉียวเวยจัดการบาดแผลของเขาเสร็จก็แก้ผ้าที่มัดข้อมือข้อเท้าของเขาออก ข้อมือข้อเท้าทั้งสี่ถูกมัดจนบวมแดงอย่างยิ่ง เมื่อประกอบกับใบหน้าที่โมโหจนแดงกับแววตาแค้นเคืองและโกรธเกรี้ยวของเขา
เฉียวเวยหลุดยิ้ม
สตีรนางนี้ยังจะหัวเราะอีก!
แม่ทัพน้อยมู่โกรธจะแย่แล้ว! เขาลืมจนสิ้นว่ากางเกางของตนเองกลายเป็นผ้าชิ้นหนึ่งไปแล้ว
เฉียวเวยเลิกคิ้ว
โธ่เว้ย!
อยากตีสตรีนางนี้ให้ตายจริงๆ!
…
ต้มยา ซักผ้า ฆ่าเชื้อเครื่องมือ ทำทุกสิ่งเสร็จก็เลยเที่ยงคืนแล้ว เฉียวเวยพาร่างกายอันเหนื่อยล้ากลับห้อง ปี้เอ๋อร์ปูฟูกบนพื้นเตียงป๋าปู้ เสี่ยวไป๋หมอบนอนหลับน้ำลายยืดอยู่บนหน้าอกของนางไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด
เฉียวเวยก้าวเข้าไปล้มตัวนอนบนเตียงแล้วหลับใหล
หิมะตกทั่วฟ้า รถม้าของจีหมิงซิวติดอยู่กลางทาง
จากเมืองซีหนิวไปยังหมู่บ้านซีหนิวต้องผ่านหุบเขาแคบแห่งหนึ่ง หิมะกองถมสูงท่วมหัว ก้อนหินตรงเนินเขาร่วงลงมาปิดปากทางเข้าหุบเขาไว้แน่นสนิท
องครักษ์ทั้งหลายของตระกูลจีใช้เวลาหนึ่งชั่วยามกว่ากำจัดก้อนหินที่ปากทางเข้าหุบเขาสำเร็จอย่างยากลำบาก ทว่าเมื่อพวกเขาจะออกเดินทางอีกครั้งก็พบว่าถนนเป็นน้ำแข็งไปหมดแล้ว
…
“ช่วย…ช่วยด้วย…”
เฉียวเวยสะดุ้งตื่นเพราะเสียงกรีดร้องของปี้เอ๋อร์ นางลืมตาขึ้นก็เห็นปี้เอ๋อร์กำลังวิ่งเข้ามาอย่างตื่นตระหนก “ฮูหยิน! ฮูหยิน ห้องของนายท่านมีบุรุษโผล่มาคนหนึ่ง!”
“ข้าก็คิดว่าเรื่องอะไร” เฉียวเวยหาว “นั่นเป็นทูตจากหนานฉู่ ไม่ต้องสนใจเขา ให้เขาพักก็พอ”
ปี้เอ๋อร์วางมีดหั่นผักในมือลง หัวใจยังหวาดผวา “บ้านของพวกเรามีทูตจากหนานฉู่โผล่มาได้อย่างไรเจ้าคะ”
เฉียวเวยครุ่นคิด แล้วบอกอย่างจริงจังอย่างยิ่ง “เจ้าถามต้าไป๋เถอะ มันพาข้าไปหามา”
ปี้เอ๋อร์ “…”
หากท่านเขยถาม ฮูหยินจะตอบเช่นนี้ด้วยหรือไม่
เฉียวเวยอ้าปากหาว “เจ้าตื่นพอดี ไปใส่ยาให้เขา ข้าจะนอนต่ออีกสักประเดี๋ยว ยาอยู่บนโต๊ะ”
ปี้เอ๋อร์เป็นลูกมือของเฉียวเวยมาระยะหนึ่งแล้ว นางทำงานพยาบาลง่ายๆ บางอย่างเป็นแล้ว ใส่ยาทำแผลพวกนี้ไม่ใช่ปัญหา นางหยิบยาแล้วไปที่ห้องของเฉียวเจิง แต่ไม่ถึงหนึ่งค่อก็เลี้ยวกลับมาอีก ใบหน้าน้อยแดงก่ำ “เขา…เขา…เขา…” เหตุไฉนจึงเจ็บที่ตรงนั้นเล่า! นางลงมือได้เสียที่ไหน!
ปี้เอ๋อร์กำลังจะเอ่ยปากพูดอะไร ในหมู่บ้านก็มีเสียงเอะอะ ชัยภูมิของคฤหาสน์มีข้อได้เปรียบเพราะตั้งอยู่บนไหล่เขา จึงมองเห็นทิวทัศน์ของหมู่บ้านได้ทั้งหมด ปี้เอ๋อร์วิ่งออกไปดูก็เห็นรถม้าคุ้นเคยคันหนึ่ง “โอ๊ะ ท่านเขยหรือ รถม้าของท่านเขยเจ้าค่ะ!”
“อะไรนะ” เฉียวเวยตวัดผ้าห่มออก
ปี้เอ๋อร์ชี้ทางเส้นน้อยด้านหน้าหมู่บ้าน “ฮูหยินท่านดูสิเจ้าคะ นั่นรถม้าของท่านเขยไม่ใช่หรือ”
สายตาของเฉียวเวยดีกว่าปี้เอ๋อร์ มองปราดเดียวก็เห็นว่าคนที่บังคับรถม้าอยู่คือเยี่ยนเฟยเจวี๋ย แล้วก็เห็นเสื้อผ้าขององครักษ์ทั้งหลายที่ติดตามอยู่ชัดเจน นั่นคือเสื้อผ้าของตระกูลจี “เขาจริงเสียด้วย”
ปี้เอ๋อร์โบกมืออย่างดีใจ เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเห็นแล้วจึงโบกแส้ตอบปี้เอ๋อร์
“ดีเหลือเกิน! ท่านเขยมาแล้ว!” ปี้เอ๋อร์ยิ้มแย้มพูดจบก็นึกอะไรขึ้นมาได้ รอยยิ้มชะงักค้างหันไปมองคฤหาสน์แล้วพูดขึ้นมาว่า “ฮูหยิน ทูตหนานฉู่คนนั้นจะทำอย่างไรเล่าเจ้าคะ”
“แล้วทำไมต้องทำอะไร” เฉียวเวยถาม
ปี้เอ๋อร์ตอบว่า “ท่านพาบุรุษตัวโตคนหนึ่งกลับมาตอนดึกดื่น ถอดกางเกงรักษาแผลให้เขา ท่านไม่กลัวท่านเขยโกรธหรือเจ้าคะ”
เฉียวเวยไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ “นี่มีอะไรให้โกรธกัน ข้าเป็นหมอ เขาเป็นคนไข้ ข้าถอดกางเกงเขาเพื่อรักษาเขา ไม่ได้เพื่อทำอย่างอื่นเสียหน่อย”
ปี้เอ๋อร์เกาศีรษะ “แม้จะพูดเช่นนี้ แต่…”
เฉียวเวยตบหัวไหล่นาง “ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น วางใจเถิด หมิงซิวไม่ใช่คนไม่รู้จักแบ่งแยกเช่นนั้น หากเมื่อวานข้าไม่ช่วยเจ้าหมอนั่นไว้ เขาคงตายไปแล้ว หากเขาตาย หมิงซิวกับข้าก็จะลำบากครั้งใหญ่ ข้าช่วยเจ้าหมอนั่นหนนี้ เขาต้องขอบคุณข้าเสียด้วยซ้ำ จะโกรธได้อย่างไรเล่า”
ปี้เอ๋อร์คิดในใจ เหตุผลเป็นเช่นนั้นไม่ผิด แต่รู้สึกว่าตรงไหนไม่ถูกสักที่…
เฉียวเวยเปลี่ยนเสื้อผ้าลงเขาไปต้อนรับจีหมิงซิว
จีหมิงซิวก้าวลงจากรถม้าก็กางร่มเหนือศีรษะนาง นิ้วมือเรียวยาวประหนึ่งหยกปัดเกล็ดหิมะบนเส้นผมนาง ความกังวลในแววตาในที่สุดก็สลายหายไปสิ้น
เฉียวเวยมองดวงตาที่มีเส้นเลือดฝอยแตกระแหงของเขา ก็ทราบว่าเขาไม่ได้นอนมาทั้งคืน นางเอื้อมมือไปดึงชายเสื้อของเขา “หิมะตกหนักเช่นนี้ เหตุใดท่านจึงมาอีกเล่า”