หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 215-1 หึง คนตระกูลสวินมาเยือน
ตอนที่ 215-1 หึง คนตระกูลสวินมาเยือน
แม่ทัพน้อยมู่มองใบหน้าที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นเหนือศีรษะอย่างนิ่งอึ้ง พริบตาหนึ่งเขาสงสัยว่าตนเองจะมองผิด
เขาขยี้ตา แต่ฝั่งตรงข้ามก็ยังไม่เปลี่ยน
ฝั่งตรงข้ามมีดวงตาลึกล้ำดั่งห้วงนที เพียงสบตาก็เหมือนก้าวเท้าพลัดตกลงไป ความรู้สึกอันตรายนั่นทำให้แม่ทัพน้อยมู่ขนลุกชันทั่วร่าง
แม่ทัพน้อยมู่ผู้ไม่ได้ทำสิ่งใดผิดแท้ๆ เมื่อตกอยู่ใต้สายตาคู่นี้กลับรู้สึกหวั่นใจอย่างประหลาด
เขารู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะ ลิ้นผูกเป็นปมพูดไม่ออก
ข้าไม่ได้ทำสิ่งใดทั้งนั้น ข้าไม่ได้ทำสิ่งใดทั้งนั้น ข้าไม่ได้ทำสิ่งใดทั้งนั้น…
แม่ทัพน้อยมู่กล่อมตนเองให้หลับไม่หยุด พร้อมกับที่ดึงฝาหีบปิดอย่างเงียบๆ
…
พอเฉียวเวยไม่เห็นตัวจีหมิงซิวในลานบ้าน ในใจก็เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่าง แม้ว่าลูกสาวจะบอกว่าเขาไปหยิบของมาทำจมูกกับตาให้ตุ๊กตาหิมะ แต่ความรู้สึกนั่นก็ไม่ลดทอนลงเลยแม้แต่น้อย
เฉียวเวยก้าวเข้าไปในห้อง พอดีประจันหน้ากับจีหมิงซิวที่เดินออกมาจากด้านใน สายตานางกวาดมองบนร่างเขารอบหนึ่ง ในมือของเขาถือหูหลัวปัวหนึ่งหัวกับลูกแก้วอยู่สองลูกจริงๆ แต่มือที่กำลูกแก้วนั่นเส้นเลือดสีเขียวปูดนูนออกมา แทบจะบีบลูกแก้วแตกอยู่รอมร่อ
เฉียวเวยสะดุ้งในใจ “หมิงซิว…”
หมิงซิวไม่สนใจนาง หน้าดำทะมึนเดินผ่านข้างตัวนางไป
นี่คือ…
เฉียวเวยกลอกตาวูบหนึ่งแล้วเดินไปที่ห้องของเฉียวเจิง เปิดฝาหีบออกอย่างไม่พูดพร่ำเป็นอย่างแรก แล้วก็เห็นแม่ทัพน้อยมู่นั่งอยู่ด้านในอย่างน่าสงสารประหนึ่งแม่นางน้อยคนหนึ่ง
แม่ทัพน้อยมู่หันหน้ามามองนางด้วยแววตาของผู้บริสุทธิ์
สภาพเช่นนี้ เฉียวเวยยังจะมีสิ่งใดไม่เข้าใจอีกเล่า
แม้รู้ว่าเจ้าหมอนั่นความคิดละเอียดเท่าฝุ่นธุลี ไม่ได้หลอกลวงง่ายดายปานนั้น แต่นี่มันจะถูกเปิดโปงเร็วเกินไปแล้ว!
เฉียวเวยไม่สนว่าฝาหีบจะปิดหรือไม่ปิดแล้ว นางหมุนตัวเดินออกจากห้องไปทันที
จีหมิงซิวกำลังนั่งยองๆ อยู่บนพื้นหิมะ ช่วยกันปั้นหิมะกับลูกสาว มืออวบอ้วนสองข้างของวั่งซูหนาวจนแดงก่ำ มือซ้ายกำหิมะ มือขวาก็กำหิมะแปะลงไปด้านบน ผ่านไปครู่เดียวท้องของตุ๊กตาหิมะก็ทำเสร็จเรียบร้อย
“ปั้นตัวเล็กอีกสักตัว” เขาเอ่ยอย่างรักใคร่
วั่งซูพยักหน้า ปากพ่นลมหายใจสีขาวออกมา เห็นชัดว่าหนาวอย่างยิ่ง
เฉียวเวยเดินเข้ามา วั่งซูปั้นต่ออย่างตั้งใจจนไม่สังเกตว่าท่านแม่มาแล้ว
เฉียวเวยยื่นนิ้วมือเรียวออกมาจิ้มหัวไหล่ของจีหมิงซิว “หมิงซิว ท่านมานี่สักหน่อย ข้ามีเรื่องจะพูดกับท่าน”
จีหมิงซิวไม่ขยับ เขากอบหิมะกำหนึ่งมาโปะบนตุ๊กตาหิมะตัวน้อยของวั่งซู
เฉียวเวยใช้ไพ่ตาย ตบแขนเล็กๆ ของลูกสาวแล้วบอกว่า “แม่กับพ่อจะไปหยิบของสักหน่อย เจ้าปั้นเองไปก่อนสักประเดี๋ยว ได้หรือไม่”
วั่งซูตอบอย่างใจกว้าง “ได้เจ้าค่ะ! ท่านพ่อไปเถิด!”
จีหมิงซิวจึงยอมไป
เฉียวเวยจูงเขาเข้ามาในห้องรับแขก ศีรษะน้อยก้มลงบอกว่า “ท่านฟังข้าอธิบายก่อนสิ”
“เหอะ” จีหมิงซิวเดินไปริมหน้าต่างอย่างเฉยชา แล้วเปิดหน้าต่างออก ลมหนาวพัดเข้ามา เขามองไปด้านนอกหน้าต่าง แววตาเย็นยะเยือก
เฉียวเวยเดินเข้าไปดึงแขนเสื้อเขา แล้วเอ่ยเสียงเบา “ไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังท่าน ข้ากลัวท่านจะโกรธ เมื่อครู่ตอนอยู่บ้านซวนจื่อ ท่านทำให้ข้ากลัวแทบแย่ ท่านห้ามไม่ให้ข้าตรวจผู้อื่น ถ้าเช่นนั้นหากข้าตรวจไปแล้ว ท่านจะไม่โกรธหรอกหรือ แต่เดิมข้าตั้งใจจะบอกท่านอยู่แล้ว ไม่เชื่อท่านไปถามปี้เอ๋อร์ก็ได้ ตอนเช้าปี้เอ๋อร์ถามข้าว่าจะอธิบายเรื่องแม่ทัพน้อยมู่กับท่านอย่างไร ข้าก็บอกนางว่าท่านไม่ใช่บุรุษจิตใจคับแคบเช่นนั้น ท่านจะต้องเข้าใจแน่”
สรุปว่าถ้าไม่เข้าใจก็เป็นคนใจแคบเช่นนั้นสิ
จีหมิงซิวหึงแทบตายแล้วจริงๆ แล้วยังโมโหแทบตายด้วย!
เฉียวเวยถูกสายตาเย็นยะเยือกของเขามองจนขนหัวลุก ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตาเขา เอ่ยเสียงเบาหวิวต่อว่า “ความจริงข้าก็ไม่ได้คิดจะช่วยเขาหรอก แต่ตอนเที่ยงคืนต้าไป๋จู่ๆ ก็บุกเข้ามา คาบป้ายคำสั่งแผ่นหนึ่งกลับมาด้วย หลังจากนั้นมันก็งับเสื้อข้าสุดชีวิต จะลากข้าไปให้ได้ ข้าคิดว่าคงจะไม่ใช่คนของจวนเทพสงครามมาล้างแค้นข้าหรอกกระมัง ข้าสงสัยเช่นนี้ก็ไม่มีสิ่งใดไม่ถูก อย่างไรเสียข้าก็เคยทำร้ายคุณหนูของจวนเทพสงครามของพวกเขา พวกเขาจะมาสร้างความลำบากให้ข้าก็สมควรแล้ว ข้าย่อมมิอาจนั่งรอความตายใช่หรือไม่”
ท่อนหลังล้วนเป็นละครที่ตนเองเสริมเติมแต่งขึ้นมา แต่งได้ไร้ช่องโหว่ จนเฉียวเวยเริ่มนับถือตนเอง
ความจริงตอนเที่ยงคืนนางหลับสะลึมสะลือ ไหนเลยจะคิดมากมายปานนั้น ไปเพราะสงสัยเพียงเท่านั้น
“ต่อมาข้าก็ไปที่นั่น เห็นแม่ทัพน้อยมู่ถูกคนกลุ่มหนึ่งรุมฆ่าอยู่ เจ้าหมอนั่นเกือบจะสังหารข้าที่สนามล่าสัตว์ ข้าก็คิดว่าคนเช่นนี้ตายไปก็สมควรแล้ว แต่จู่ๆ ต้าไป๋ก็พุ่งเข้าไปสู้กับคนกลุ่มนั้น คนกลุ่มนั้นพบข้าแล้ว คิดว่าข้าเป็นพรรคพวกของแม่ทัพน้อยมู่ ยกดาบพุ่งเข้ามาหาข้า ข้าถูกบีบให้ไร้ทางเลือกจึงต้องลงมืออย่างจำใจ”
ดังนั้นข้าเป็นผู้บริสุทธิ์สุดๆ จริงๆ นะ ข้าอยากให้เขาตายอย่างยิ่งจริงๆ!
เฉียวเวยเล่าเรื่องจริงปนเท็จ ไม่ลืมลอบมองสีหน้าเขาไปด้วย แต่เขาสำเร็จวิชาล้ำลึกนัก เฉียวเวยมองไม่ออกอย่างสิ้นเชิงว่าเขากำลังคิดสิ่งใด เฉียวเวยไม่ทราบว่าแต่เดิมต้าไป๋ถูกแม่ทัพน้อยมู่ฝึกมา จึงคิดว่าต้าไป๋เพียงชอบการต่อสู้เท่านั้น สถานการณ์ในตอนนั้น ต้าไป๋เป็นฝ่ายพุ่งเข้าไปตะลุมบอนก่อนก็จริง แต่นางก็ตามไปด้วย ไม่ใช่เพราะว่าถูกคนพบตัว แต่เพราะเข้าใจว่าแม่ทัพน้อยมู่จะมาตายในที่ดินของตนไม่ได้
“หลังจากนั้นต้าไป๋ก็ขย้ำพวกเขาทั้งหมดจนหนีไป แม่ทัพน้อยมู่ล้มลง เจ้าพวกนั้นเห็นหน้าข้าชัดเจนแล้ว แล้วก็รู้ว่าข้าเป็นคนสุดท้ายที่อยู่ด้วยกันกับแม่ทัพน้อยมู่ หากแม่ทัพน้อยมู่ตาย พวกเขาแว้งกลับมากัดข้า บอกว่าข้าวางแผนลอบสังหารแม่ทัพน้อยมู่จะทำเช่นไรเล่า ปากคนหลายปากหลอมได้กระทั่งทอง ข้ากระโดดลงแม่น้ำเหลืองก็ล้างมลทินไม่ได้แล้วจริงๆ ดังนั้นแม่ทัพน้อยมู่จะตายไม่ได้ ข้าจึงต้องเก็บเขามาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของข้า”
เค้าโครงของเรื่องจริงไม่ได้ถูกบิดเบือน เพียงแต่แต่งเติมสีสันเข้าไปหน่อยเท่านั้น
ที่แห่งนี้คือที่ดินของนาง แม่ทัพน้อยมู่เกิดเรื่องในที่ดินของนาง นางย่อมมิอาจตัดความเกี่ยวข้องได้หมดจด
“ท่านไม่รู้สึกแปลกหรือ แม่ทัพน้อยมู่เหตุใดจึงถูกคนตามฆ่ามาจนถึงที่นี่ บังเอิญว่าวันนั้นข้ายังขึ้นเขามาด้วย รู้สึกเหมือนกับว่า…รู้ว่าข้าอยู่ที่นี่ แล้วก็รู้ว่าข้ากับแม่ทัพน้อยมู่ขัดแย้งกันอยู่ จึงจงใจโยนความผิดมาใส่หัวข้าอย่างไรอย่างนั้น” เฉียวเวยเริ่มย้ายความสนใจของจีหมิงซิว คนในอยากสู้กันย่อมต้องจัดการข้างนอกให้สงบก่อน ข้านี่ช่างหัวไวจริงๆ!
ทว่าจีหมิงซิวไม่ใช่คนที่จะถูกหลอกง่ายดายเช่นนั้น เรื่องนั้นก็ส่วนเรื่องนั้น เรื่องลอบสังหาร เขาย่อมต้องสืบ แต่เรื่องที่นางถอดกางเกงของผู้อื่น จะปล่อยผ่านไปเช่นนี้ไม่ได้อย่างแน่นอน!
หลังจากจีหมิงซิวออกไป เฉียวเวยก็เดินไปที่ห้องของเฉียวเจิงอีกหน
แม่ทัพน้อยมู่ยังนั่งอยู่ในหีบ เหมือนแม่นางน้อยผู้ถูกรังแกยิ่งนัก
เฉียวเวยบอกเรียบๆ “ออกมาเถิด รู้กันหมดแล้ว ยังจะหลบอะไรอีก”
สีหน้าถูกรังแกของแม่ทัพน้อยมู่แปรเปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยวในพริบตา เขาถลึงตาใส่นางอย่างเย็นชา แล้วหันหน้าหนี
เฉียวเวยกอดอกก้มมองเขาจากด้านบน “เจ้านั่งอยู่ข้างในจนติดใจแล้วใช่หรือไม่”
หน้าอกของแม่ทัพน้อยมู่พองขึ้นยุบลงอย่างรุนแรง แล้วกระซิบบอกด้วยเสียงเบาหวิวแทบไม่ต่างจากยุง “ขา…ขามันชา…”
เฉียวเวยหิ้วเขาขึ้นมาอย่างไม่เปลืองแรงแม้แต่น้อย แล้วโยนไว้บนรถเข็น “ทั้งหมดเป็นความผิดของเจ้า!”
แม่ทัพน้อยมู่โมโห “เกี่ยวอะไรกับข้า ข้าไม่ได้เรียกเขามาเสียหน่อย!”
เฉียวเวยว่าอย่างจริงจัง “เจ้าอยู่ในวังหลวงอย่างสงบๆ ไม่เอาแต่วันๆ ออกมาเที่ยวเล่นไม่ได้หรือไร ตอนนี้ดูสิ เที่ยวเล่นจนเจ็บไปทั้งตัวแล้วยังมาเป็นภาระของข้าอีก!”
แม่ทัพน้อยมู่ถูกดุจนควันโชยออกจากเจ็ดทวาร “เรื่องนี้โทษข้าได้หรือ ผู้ใดจะรู้ว่าเจ้าอาศัยอยู่ที่นี่!”
เฉียวเวยเกรี้ยวกราด “เจ้าไม่ได้วรยุทธ์สูงส่งนักหรือ ไม่ใช่ว่าต่อยตีเก่งกาจนักหรือ เหตุไฉนมือสังหารกลุ่มเดียวก็จัดการไม่ได้ สู้ต้าไป๋บ้านข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ!”
แม่ทัพน้อยมู่โต้ “เจ้าคิดว่าผู้ใดเป็นคนฝึกต้าไป๋มากันเล่า!”
“ไม่ใช่เจ้าก็แล้วกัน!” เฉียวเวยพูดจบ แววตาก็ชะงักค้าง “เจ้าเป็นคนฝึกจริงหรือ”
แม่ทัพน้อยมู่ทำหน้าดื้อรั้นไม่พูดจาแล้ว
ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าฝึกมันสองเดือน มองมันเป็นเหมือนสัตว์เลี้ยงของตัวเองแล้ว ผลสุดท้ายกลับต้องยกให้อันธพาลอย่างพวกเจ้า”
ไม่ยุติธรรมอย่างยิ่งจริงๆ
ที่แท้ก็เจ้าของเก่าของต้าไป๋ มิน่าต้าไป๋ถึงร้อนรนปานนั้น ต้าไป๋ดูเหมือนดุร้าย ไม่รู้จักความเป็นมนุษย์ แต่ที่แท้ก็รู้จักเห็นแก่สายสัมพันธ์ในอดีต
เฉียวเวยพยักหน้าเหมือนกับคิดบางอย่าง แต่พอคิดอะไรขึ้นมาได้ ฝ่ามือก็ฟาดลงบนศีรษะของเขา “ผู้ใดเป็นอันธพาล!”
…
หลังจากอาหารเช้า คนทั้งคณะก็นั่งรถม้ากลับเมืองหลวง
รถม้าของจีหมิงซิวยกให้แม่ทัพน้อยมู่ เขากับเฉียวเวยรวมถึงเจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสามนั่งรถม้าคันหนึ่ง เจ้าซาลาเปาน้อยคุยกันเจื้อยแจ้วตลอดทาง จีหมิงซิวก็คุยเล่นกับเฉียวเวยสองสามคำเป็นพักๆ เฉียวเวยคิดว่าเขาหายโมโหแล้ว ไหนเลยจะคิดว่าพอถึงตระกูลจี เด็กๆ ลงจากรถเรียบร้อยแล้ว เขาก็เก็บรอยยิ้มในดวงตากลับไป
เฉียวเวยลอบกัดฟัน เสแสร้งให้เด็กๆ ดูเช่นนั้นหรือ เจ้าหมอนี่!
เฉียวเวยกระโดดลงจากรถม้า เห็นเขาไม่มีทีท่าว่าจะลงจึงถามขึ้นว่า “ยังต้องไปที่ใดอีกหรือ”
จีหมิงซิวตอบเรียบๆ “ไปวังหลวง”
เฉียวเวยเบ้ปาก พึมพำว่า “ก็แค่ทะเลาะกันไม่ใช่หรือ ท่านต้องหนีออกจากบ้านเลยหรือไร”
จีหมิงซิวแววตาเย็นยะเยือกวูบหนึ่ง อยากจะพูดแต่ก็หยุดไป จากนั้นเขาก็ลงจากรถม้า พลิกกายขึ้นม้า หายลับสุดปลายถนนไปพร้อมกับรถม้าที่แม่ทัพน้องมู่นั่งโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง
จีหมิงซิวเข้าวัง ประการแรกเพราะในใจรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่งจริงๆ แต่เรื่องสำคัญกว่าก็คือต้องคุ้มกันแม่ทัพน้อยมู่กลับมาส่งที่วังหลวงอย่างปลอดภัย แล้วอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นให้ชัดเจน ไม่ให้ต้าเหลียงกับหนานฉู่เกิดความเข้าใจผิดที่ไม่จำเป็น
เฉียวเวยถอนหายใจ เดินกลับบ้านชิงเหลียนอย่างหมดอาลัยตายอยาก ไหนเลยจะรู้ว่าก้นยังไม่ทันนั่นจนร้อน หรงมามาก็รีบร้อนก้าวเข้ามา
เฉียวเวยยิ้มละไม “หรงมามา มาอุ้มหลิวเกอร์สินะ”
หลิวเกอร์ปั้นหิมะอยู่กับวั่งซู จิ่งอวิ๋นที่สวนด้านหลัง
หรงมามามองในสวนแวบหนึ่งแล้วบอกว่า “ไม่ใช่เจ้าค่ะ ข้ามาหาท่าน!”
เฉียวเวยชี้ตนเองอย่างฉงน “ข้าหรือ มีธุระอันใด”
หรงมามาไม่รู้ว่าจะอธิบายกับเฉียวเวยอย่างไรดีจึงบอกว่า “ท่านตามข้าไปเรือนลั่วเหมยเถิด!”
ตอนนี้เฉียวเวยสวมเสื้อผ้าฤดูหนาวหน้าตาค่อนข้างธรรมดาที่ใส่ตอนอยู่ชนบท จะไปเรือนลั่วเหมยตอนนี้ ย่อมต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า นางจึงให้หรงมามานั่งรอยู่ในห้องโถงประเดี๋ยวหนึ่ง ส่วนตนเองเข้าไปในห้อง เปลี่ยนเป็นเสื้อตัวสั้นสีขาวบุขนกระต่ายกับกระโปรงคาดเอวสีน้ำเงิน เส้นผมเกล้าขึ้นเป็นมวยทรงเฉียง จากนั้นใช้ปิ่นกล้วยไม้หยกขาวเล่มนั้นปักไว้ แล้วจึงสวมไข่มุกที่ติ่งหู ทั้งตัวราวกับเปลี่ยนเป็นคนใหม่ ดูสดใสดั่งฟ้าสีครามกระจ่าง เดินไปเรือนลั่วเหมยกับหรงมามา
เรือนลั่วเหมยครึกครื้นอย่างผิดธรรมดา เพิ่งก้าวข้ามธรณีประตูก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบิกบานใจ ดังมาจากสตรีนางหนึ่งที่หน้าตามิคุ้นเคยนัก
ไม่นานก็ได้ยินเสียงสตรีเยาว์วัยคนหนึ่งดังขึ้นอีกหน เสียงประหนึ่งเสียงสวรรค์ “ชิงเหยา คารวะเหล่าฮูหยิน”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว มีแขกมาอย่างนั้นหรือ
หรงมามาเปิดม่าน “เหล่าฮูหยิน ฮูหยินน้อยมาแล้วเจ้าค่ะ”
จีเหล่าฮูหยินรีบเอ่ยว่า “รีบเข้ามา!”
เฉียวเวยเข้าไปในห้อง ส่งเตาอุ่นมือบุขนกระต่ายให้ตงเหมยที่อยู่ด้านข้าง ตงเหมยรับเตาอุ่นมือไปก่อนจะส่งให้สาวใช้อ่อนเยาว์ที่อยู่ด้านข้าง จากนั้นจึงรับผ้าคลุมจากเฉียวเวยด้วยมือตัวเอง มาแขวนไว้บนราวด้านข้าง บนราวมีเสื้อแขวนอยู่เต็ม ล้วนเป็นเสื้อคลุมกับผ้าคลุมของผู้หญิง
“ท่านย่า อาสะใภ้รอง ท่านอา” เฉียวเวยคารวะเหล่าฮูหยินที่นั่งอยู่บนเตียงเตากับหลี่ซื่อและจีซวงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้สองข้าง
หลี่ซื่อกับจีซวงผงกศีรษะเล็กน้อยทักทายนาง
จีเหล่าฮูหยินกวักมือให้เฉียวเวย
เฉียวเวยเดินเข้าไป นั่งติดกับเหล่าฮูหยินบนเตียงเตา ตรงกลางเตียงเตาวางโต๊ะสี่เหลี่ยมตัวน้อยไว้ตัวหนึ่ง อีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะสี่เหลี่ยมมีหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งนั่งอยู่กับสาวน้อยอายุสิบห้าสิบหกปีคนหนึ่ง เสื้อผ้าของทั้งสองคนหรูหรางดงามยิ่งนัก แน่นอนว่าแม้จะเทียบกับความหรูหราของตระกูลจีไม่ได้ แต่ก็ไม่เหมือนครอบครัวที่ขัดสนเท่าใดนัก
ทั้งสองคนดูเหมือนจะเป็นแม่ลูกกัน ตำแหน่งถัดจากทั้งสองคนมีม้านั่งตัวหนึ่งตั้งอยู่ บนม้านั่งบุรุษหน้าตางดงามเกลี้ยงเกลาอายุราวยี่สิบปีคนหนึ่งนั่งอยู่บนนั้น
พอทั้งสามคนเห็นเฉียวเวย ในดวงตาก็เผยแววตาประหลาดใจออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัด พวกเขาคิดไม่ถึงอย่างสิ้นเชิงว่าฮูหยินน้อยของตระกูลจีจะรูปงามถึงขั้นจันทร์หลบโฉมสุดา มวลผกาละอายนางเช่นนี้
จีเหล่าฮูหยินตบบนหลังมือของเฉียวเวยเบาๆ แล้วชี้ทั้งสามคน “สามคนนี้คือแขกจากตระกูลสวิน นี่คือสวินฮูหยิน”
สวินฮูหยินเจินซื่อยิ้มน้อยๆ ให้เฉียวเวย
เฉียวเวยกะพริบตาแล้วค้อมกายเล็กน้อย “สวินฮูหยิน”
เหล่าฮูหยินชี้เด็กสาววัยแรกแย้มคนนั้นต่อ “คนนี้คือคุณหนูแห่งตระกูลสวิน”
คนที่พูดว่า ‘ชิงเหยาคารวะเหล่าฮูหยิน’ เมื่อครู่น่าจะเป็นนาง นางสวมเสื้อตัวยาวสีชมพู ประดับปิ่นดอกท้อ ติ่งหูห้อยต่างหูพระจันทร์ บนลำคอสวมสร้อยคอเส้นหนึ่ง ตรงกลางสร้อยห้อยจี้หยกงามหนึ่งชิ้น บนนั้นสลักตัวอักษร นางมีดวงหน้ารูปไข่ที่งดงามเกลี้ยงเกลา คิ้วเรียวดุจกิ่งหลิว ดวงตาหงส์ มุมปากยกขึ้นน้อยๆ เป็นคนงามที่หาได้ยากบนโลกเช่นเดียวกัน ทว่านางไม่ได้งามเช่นแม่นางผู้บอบบางน่าสงสาร แต่ออกจะเหมือนคุณหนูผู้สูงค่า
แซ่สวิน เกี่ยวอันใดกับแม่เลี้ยงสาว
ดูจากแววตาของเหล่าฮูหยิน คงไม่ได้สนิทสนมมากมายนัก แต่ก็ไม่ได้เย็นชาใส่มากนักเช่นกัน
สวินชิงเหยาลุกขึ้นคำนับเฉียวเวย
เฉียวเวยคำนับกลับครึ่งหนึ่ง
เหล่าฮูหยินชี้บุรุษบนม้านั่งแล้วบอกว่า “คนนี้คือคุณชายสวิน”
คุณชายสวินลุกขึ้นประสานหมัดค้อมกายให้เฉียวเวย “คารวะฮูหยินน้อย”
เฉียวเวยคำนับกลับครึ่งหนึ่ง
หลังจากนั้นเฉียวเวยก็ไปนั่งถัดจากจีซวง
หลี่ซื่อกับจีซวงวางสีหน้าเย่อหยิ่งอย่างยิ่ง ท่าทางไม่ใคร่จะสนทนากับคนเหล่านี้นัก หลี่ซื่อเป็นเช่นนี้มาเสมอ แต่จีซวงความจริงเป็นคนที่ภายนอกเป็นมิตรข้างในเย็นชา นางปฏิบัติต่อผู้อื่นใจกว้างเป็นที่สุด ก็ไม่ทราบว่าสามคนนี้ล่วงเกินนางที่ใด นางจึงไม่ทำสีหน้าดีๆ แม้แต่น้อย
“อาสะใภ้กับลูกพี่ลูกน้องของสวินหลัน” จีซวงหันมามองเฉียวเวยแล้วบอกอย่างดูแคลน
อ้อ คนบ้านแม่ของแม่เลี้ยงสาวนี่เอง มิน่าท่าทางของทุกคนจึงเย็นชาเช่นนี้
เจินซื่อคล้ายจะมองความเย็นชาของทุกคนไม่ออก นางยิ้มกว้างเอ่ยว่า “ข้าได้รับจดหมายจากหลันเจี่ยเอ๋อร์ จึงพาเหยาเจี่ยเอ๋อร์เดินทางมาเมืองหลวงด้วยกัน มารบกวนพวกท่านแล้ว รู้สึกผิดจริงๆ!”
จีซวงกลอกตา รู้สึกผิดก็อย่ามาสิ!