หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 219 -1 เจรจาเรื่องการแต่งงาน น้องชายปรากฏตัว
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก
- ตอนที่ 219 -1 เจรจาเรื่องการแต่งงาน น้องชายปรากฏตัว
ตอนที่ 219 -1 เจรจาเรื่องการแต่งงาน น้องชายปรากฏตัว
ม่านยามราตรีค่อยๆ ทิ้งตัวลงมา ห้องต่างๆ ในบ้านตระกูลจีทยอยจุดเทียนให้ความสว่าง เจินซื่อเดินไปเดินมาอยู่ในห้องที่มีแสงเทียนสั่นไหว สวินชิงเหยามองจนมึนหัวไปหมด พยายามบอกให้นางนั่งลง แต่นางทนนั่งนิ่งๆ ไม่ไหว!
ความโกรธเมื่อตอนกลางวันยังไม่ทันกล้ำกลืนลงไป ตกเย็นสตรีนางนั้นก็ปล่อยสุนัขมากัดบุตรชายของตนอีก มีอย่างที่ไหนกัน มีอย่างที่ไหนกัน
สวินสิงจือพยายามอธิบายเต็มที่ว่าฮูหยินน้อยไม่ได้เป็นคนทำ แต่เจินซื่อไม่เชื่อ
“ข้าไม่ทันระวังเองจริงๆ! ข้าไปลูบหัวมันเอง!” สวินสิงจืออธิบาย มือของเขาเกือบถูกต้าไป๋กัดทะลุเสียแล้ว สาวใช้คนหนึ่งในบ้านชิงเหลียนใส่ยาให้เขา แต่ยาออกฤทธิ์ไม่เร็วเพียงนั้น มือเขาจึงบวมราวกับอุ้งมือหมี แค่แตะถูกก็แสบร้อนไปหมด
เจินซื่อเอ่ยด้วยความหงุดหงิด “นางเป็นคนเลี้ยง! นางให้มันกัด มันถึงได้กัดเจ้า!”
สวินสิงจืออดกลั้นความเจ็บที่มือขณะบอกว่า “ตอนนั้นมันไม่ได้อยู่กับนาง เป็นหลิวเกอร์ที่อุ้มอยู่ อย่างไรคงไม่ใช่หลิวเกอร์ที่สั่งให้เพียงพอนนั่นกัดข้าแน่”
สวินสิงจืออธิบายได้มีเหตุผลยิ่งนัก ตอนนั้นเฉียวเวยเล่นหิมะอยู่เป็นเพื่อนซาลาเปาน้อยทั้งสอง นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสวินสิงจือพูดอะไร ทำอะไรกับหลิวเกอร์ หากต้องให้บอกว่าเฉียวเวยทำอะไรผิดไป ก็คงเป็นเรื่องที่นางไม่ได้เตือนสวินสิงจือไว้ก่อนว่าอย่าลูบเพียงพอนซี้ซั้ว ต้าไป๋ไม่ได้กัดใครมานานหลายวันแล้วด้วย ใครจะรู้ว่าสวินสิงจือไปยั่วโมโหอะไรต้าไป๋เข้า
หากเจินซื่อใจเย็นลงสักนิด จะต้องเข้าใจประเด็นสำคัญของเรื่องนี้แน่ แต่ก็จนใจที่เมื่อบ่ายนางเพิ่งกล้ำกลืนโทสะลงท้องไป ความประทับใจที่มีต่อเฉียวเวยเรียกได้ว่าย่ำแย่ เพียงพอนตัวนั้นก็ดันเลี้ยงอยู่ในเรือนของเฉียวเวย จะบอกว่าเฉียวเวยไม่ได้ตั้งใจแกล้งบุตรชายของนาง จะเป็นไปได้อย่างไร
เจินซื่อที่เอาความคิดคนใจแคบไปคิดแทนคนใจกว้างเดินไปเดินมาอยู่ในห้องเป็นครึ่งชั่วยาม ก่อนจะตัดสินใจเด็ดเดี่ยวกางร่มออกจากเรือนกุ้ยเซียงไป
ครานี้เจินซื่อเรียนรู้แล้ว นางไม่ได้วิ่งแจ้นไปหาเรื่องใส่ตัวที่บ้านชิงเหลียนของเฉียวเวย แต่จับตัวบ่าวไพร่ที่พบระหว่างทางมาถามว่านายท่านพักอยู่ที่ไหน สาวใช้คนนั้นชี้บอกทางนางด้วยความสัตย์ซื่อ นางก็เดินฝ่าลมหิมะไปจนถึงเรือนถง
จีซั่งชิงกำลังดื่มยาอยู่ในห้อง นี่เป็นยาชุดสุดท้ายแล้ว นับจากพรุ่งนี้เป็นต้นไปเขาจะหายเป็นปกติ ไม่จำเป็นต้องทนกลิ่นยาใดๆ อีก
ขณะที่ดื่มไปได้ครึ่งชาม สาวใช้ก็เข้ามารายงานว่าสวินฮูหยินมา
จีซั่งชิงหันไปมองนาฬิกาทรายที่อยู่บนกำแพงแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย โมงยามนี้ยังมาเยี่ยมคารวะถึงที่อีก ออกจะไม่ค่อยเหมาะสมนักจริงๆ แต่จีซั่งชิงลังเลอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็ยังให้คนเชิญนางเข้ามา
จีซั่งชิงเปลี่ยนไปใส่ชุดผ้าไหมที่ถูกตามกาลเทศะแล้วออกไปพบเจินซื่อที่โถงหมิง
จีซั่งชิงเคยไปที่บ้านตระกูลสวินหลายครั้ง เจินซื่อรู้จักเขาและเคยพูดคุยกับเขา สำหรับเจินซื่อ นั่นนับว่าพอมีมิตรไมตรีต่อกันบ้างแล้ว ดังนั้นเจินซื่อถึงได้กล้า “บุก” เข้ามาขอเยี่ยมคารวะที่เรือนถงกลางดึกเช่นนี้
ครั้งสุดท้ายที่เจินซื่อได้พบจีซั่งชิงเป็นตอนที่สวินหลันออกจากตระกูลสวินตอนนางอายุสิบห้าปี เมื่อครั้งที่กลับไปบ้านตระกูลจี เวลานั้นจีซั่งชิงยังหนุ่มยังแน่น รูปลักษณ์ที่หล่อเหลาของเขาดึงดูดผู้คนได้ทั้งเมือง เวลานี้หลังจากสิบกว่าปีผ่านไป วันเวลาได้ทิ้งร่องรอยเอาไว้บนใบหน้าเขา เขาดูซีดเซียวลงไปมาก
เจินซื่อเข้าไปในห้องแล้วทำความเคารพจีซั่งชิง “นายท่านชิ่นจยา”
จีซั่งชิงทำมือขณะเอ่ยว่า “สวินฮูหยินเชิญนั่ง”
ท่าทางไม่ยิ้มไม่แย้มของเขาทำให้เจินซื่ออึ้งไปเล็กน้อย แต่เจินซื่อจำได้ว่าเมื่อก่อนเขาก็เป็นเช่นนี้ จึงเข้าใจอย่างรวดเร็ว นางยิ้มแหยๆ ขณะเอ่ยว่า “ดึกดื่นเพียงนี้แล้ว ชิ่นจยายังไม่นอนอีกหรือ”
จีซั่งชิงจิบชาอึกหนึ่ง
เจินซื่อยกถ้วยชาชึ้นจิบคำหนึ่ง ไม่เสียแรงที่เป็นชาของเรือนถง รสชาติดีกว่าที่เรือนกุ้ยเซียงมากทีเดียว นางวางถ้วยชาลงแล้วค่อยๆ หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับตรงมุมปาก สีหน้าดูน้อยอกน้อยใจยิ่งนัก “อันที่จริงที่ข้ามาดึกๆ ดื่นๆ เช่นนี้เพื่อมาขอตัวลากลับกับชิ่นจยา”
“ลากลับ?” จีซั่งชิงมองนางด้วยความไม่เข้าใจ “มาไม่กี่วันก็จะไปแล้วหรือ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือไม่”
ชิ่นจยาช่างถามได้ถูกใจนัก!
เจินซื่อเช็ดน้ำตาด้วยท่าทางน่าสงสาร “ถึงอย่างไรอยู่ไปก็ไม่มีคนต้อนรับ สู้ข้ารีบกลับโดยเร็ววันเสียยังดีกว่า คราแรกก็เพราะพี่หลันบอกข้าว่าต้องพาเหยาเอ๋อร์กับสวินสิงจือมาที่เมืองหลวงให้ได้ ข้าถึงได้พามา แต่เวลานี้พี่หลันไม่อยู่ ไม่มีคนคอยคุ้มกะลาหัวพวกเรา พวกเราอยู่ไปก็มีแต่ถูกคนรังเกียจเท่านั้น!”
จีซั่งชิงขมวดคิ้ว “ใครกันที่แสดงท่าทีรังเกียจสวินฮูหยิน”
“ข้าไม่กล้าพูด” เจินซื่อตอบ
จีซั่งชิงเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “สวินฮูหยินพูดมาตามตรงเถอะ ข้าจะได้รู้ว่ามีอะไรเข้าใจผิดกันหรือไม่ หากไม่ได้เป็นการเข้าใจผิด เรื่องที่ต้องช่วยออกหน้าให้สวินฮูหยิน ข้าจะไม่บ่ายเบี่ยงแน่นอน”
เมื่อได้รับการยืนยันจากจีซั่งชิง เจินซื่อจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อบ่ายพร้อมใส่สีตีไข่เพิ่มให้จีซั่งชิงฟัง
“… ก็แค่ปิ่นเล่มเดียวเท่านั้น นางจะแย่งกับข้าให้ได้ แย่งเสร็จยังชักสีหน้าใส่ข้าอีกด้วย!”
แน่นอนว่าย่อมลืมเรื่องก่อนหน้าปิ่นเล่มนั้น ว่าตน “ซื้อ” เครื่องประดับไปแล้วกี่ชิ้น
“ซ้ำยังปล่อยเพียงพอนมากัดสิงจืออีก”
ละเรื่องที่เพียงพอนตัวนั้นหลิวเกอร์เป็นคนอุ้มอยู่ไปด้วย
จีซั่งชิงได้ฟัง สีหน้าก็เคร่งขรึมหนักขึ้น ครานั้นโรงเตี้ยมของจีซวงนางยังกล้าพัง กับแค่แย่งเครื่องประดับกับเจินซื่อ ไม่มีอะไรน่าแปลกใจ นิสัยเดิมนางเป็นเช่นนี้ ในลูกตาจะมีทรายอยู่ให้ขัดใจไม่ได้
จีซั่งชิงนิ่งไป ก่อนจะบอกว่า เฉียวเวยอายุยังน้อย มีบางเรื่องที่ยังไม่รู้ประสา สวินฮูหยินมากอาวุโสกว่า ขอสวินฮูหยินช่วยใจกว้างกับนางสักนิด”
ปฏิกิริยาของจีซั่งชิงออกจะอยู่เหนือความคาดหมายของเจินซื่อ เจินซื่อนึกถึงข่าวลือที่ได้ยินมาตลอดทางแล้วคิดเองว่าเฉียวเวยไม่เป็นที่รักใคร่ในบ้านตระกูลจี แต่ดูเหมือนทั้งเหล่าฮูหยินและจีซั่งชิงจะดีต่อนางไม่น้อย เจินซื่อเอ่ยอย่างน้อยเนื้อต่ำใจว่า “ข้ารู้ดี นางต่างหากที่เป็นเจ้านายที่แท้จริงของตระกูลจี ข้าเป็นแค่คนนอก ไม่มีใครสนใจหรอกว่าข้าจะคิดอย่างไร!”
จีซั่งชิงเอ่ยว่า “ไม่ได้หมายความเช่นนั้น สวินฮูหยินอย่าได้เข้าใจผิด”
เจินซื่อเอ่ยด้วยสีหน้าน้อยใจ “ครานั้นพี่หลันรับปากจะหาตำแหน่งงานให้สิงจือ และจะช่วยเป็นธุระเรื่องแต่งงานให้เหยาเอ๋อร์ วันนี้เหยาเอ๋อร์ตกใจจนขวัญเสียไม่น้อย ไม่รู้ว่ายังจะพูดคุยเรื่องแต่งงานได้หรือไม่…”
“เรื่องแต่งงานของคุณหนูสวิน ข้าจะให้คนคอยดูแลให้เอง ส่วนงานของสิงจือ…” เมื่อพูดถึงตรงนี้ จีซั่งชิงก็นิ่งไป
เจินซื่อมองอีกฝ่ายอย่างรอคอย เห็นเขาขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะเอ่ยว่า “เรื่องงานของสิงจือ ข้าก็จะจัดการให้เช่นกัน”
เจินซื่อนับว่าออกจากเรือนถงไปด้วยความพอใจ
เมื่อได้รับการชดเชย เจินซื่ออารมณ์ปรอดโปร่งยิ่งนัก นางไปที่บ้านชิงเหลียน สวินสิงจือได้รู้เรื่องจากเจินซื่อก็อารมณ์ปรอดโปร่งยิ่งนักเช่นกัน ทั้งสองนอนลงบนเตียงแล้วหลับไปพร้อมความสบายใจ มีเพียงสวินชิงเหยาที่แสงไฟในห้องยังสว่างอยู่ นางนอนไม่หลับ
แค่เพียงหลับตาในหัวก็มีใบหน้าหล่อเหลาของคนผู้นั้นปรากฏขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ เรื่องนี้ทำให้นางจิตใจว้าวุ่นระคนงุนงงไม่รู้จะทำเช่นไร
บางทีอาจเพราะใครคนนั้นช่วยตนไว้ ในใจจึงบังเกิดความซาบซึ้ง ไม่เกี่ยวกับเรื่องอื่น
แต่ยิ่งนางปลอบใจตนเองเช่นนี้มากเท่าไร ก็ยิ่งยากจะสงบจิตใจขึ้นเท่านั้น
ณ จุดที่อยู่ห่างจากเรือนกุ้ยเซียงเพียงหนึ่งกำแพงกั้น รถม้าคันหนึ่งที่ไม่เป็นที่สะดุดตาจอดอยู่บนถนน ในรถมีบุรุษสองคนนั่งอยู่ ทั้งสองใส่หมวกปิดหน้า หมวกนั้นบดบังใบหน้าไปแล้วกว่าครึ่ง เผยให้เห็นเพียงปลายคางที่ขาวสะอาดกับริมฝีปากที่แดงระเรื่อ คนที่ริมฝีปากแรงระเรื่อเป็นบุรุษที่ยังค่อนข้างหนุ่ม ส่วนอีกคนหนึ่งมีหนวดเครายาว เป็นชายมีอายุ
บุรุษหนุ่มยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย แผ่รังสีชั่วร้ายและเสน่ห์อันล้ำลึกออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ “ถึงแล้ว?”
น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำและฟังดูเย้ายวนยิ่งนัก พาให้คนฟังใจอ่อนยวบ
บุรุษคนที่มีหนวดเครายาวฟังจนชินเสียแล้ว เลิกผ้าม่านรถขึ้นด้วยท่าทีสงบนิ่ง เขาเหลือบมองไปด้านนอกแล้วเอ่ยเรียบๆ ว่า “ถึงแล้ว”
บุรุษหนุ่มหัวเราะเสียงเย็นแล้วก้าวลงจากรถม้า
คนรถโค้งกายคุกเข่าอยู่กับพื้น ใช้หลังตนต่างเก้าอี้ให้คนบนรถก้าวลงมา
บุรุษหนุ่มยื่นรองเท้าที่หรูหราออกมาเหยียบบนเก้าอี้เพื่อลงจากรถ
บุรุษที่หนวดเคราเฟิ้มก็ตามลงมาด้วย
ทั้งสองยืนอยู่ใต้ชายคาของกำแพงสูงพลางเงยหน้ามอง
บุรุษหนุ่มยื่นมือข้างหนึ่งออกมา ฝ่ามือของเขาเห็นข้อนิ้วชัดเจน เรียวยาวประหนึ่งหยก ลูบเบาๆ ลงบนกำแพง แม้แต่ผนังกำแพงก็คล้ายมีคลื่นแห่งความอบอุ่นห่อหุ้ม
“บ้านตระกูลจี” ริมฝีปากที่แดงระเรื่อของเขาเอ่ยสองคำนี้ออกมาเบาๆ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความดูแคลน
บุรุษหนวดยาวเอ่ยว่า “ใต้เท้าอยากเริ่มปฏิบัติการวันนี้เลยหรือไม่”
“ไม่อย่างนั้นจะเมื่อไรเล่า” บุรุษหนุ่มย้อนถาม บุรุษหนวดยาวไม่พูดอะไรอีก บุรุษหนุ่มยกมุมปากยิ้มเจ้าเล่ห์ ดวงตาที่เป็นประกายมีเสน่ห์หรี่ลงเล็กน้อย “ตระกูลจีจะต้องชดใช้ในความโง่เขลาของมันเมื่อมนอดีตอย่างน่าสะพรึงกลัว”
“ใต้เท้าเตรียมจะลงมือทำอะไรหรือ” บุรุษหนวดเฟิ้มถาม
บุรุษหนุ่มยิ้มเย็น นัยน์ตามีแววเยาะหยัน “บุกเข้าบ้านตระกูลจี ทำลายทุกอย่างของตระกูลจี สังหารบุรุษ ฆ่าล้างสตรี จับเด็กตระกูลจีไปขาย ให้พวกมันกลายเป็นทาสไปชั่วชีวิต! ข้ารอวันนี้มานานเกินไปแล้ว รอต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว”
บุรุษหนวดเฟิ้มตอบอ้อคำหนึ่ง “ข้าน้อยไปสืบข่าวของบ้านตระกูลจีมาแล้ว เดิมทีด้านหลังกำแพงนี้เป็นเรือนที่ทิ้งว่างอยู่ แต่ช่วงนี้มีแขกจากตระกูลสวินสองสามคนพักอยู่ที่นี้ หากเข้าไปทางนี้จะเสี่ยงมีคนพบเห็นได้”
บุรุษหนุ่มยิ้มอย่างมาดร้าย “ก็แค่พวกริ้นไรหน้าโง่เท่านั้น ข้าไม่เห็นพวกมันอยู่ในสายตาหรอก”
บุรุษหนวดเฟิ้มถามว่า “เช่นนั้นใต้เท้าคิดจะ…”
บุรุษหนุ่มเอ่ย “ย่อมต้องเปลี่ยนไปเข้าจากทางอื่นสิ”
บุรุษหนวดเฟิ้ม “…”
…
กลับมาเอ่ยถึงสวินชิงเหยาที่นอนพลิกกายไปมาอยู่บนเตียง นางไม่อาจข่มตาลงนอนได้ หลี่ซื่อส่งสาวใช้นามเสี่ยวชุ่ยมาอยู่ห้องด้านข้าง เสี่ยวชุ่ยได้ยินเสียงเคลื่อนไหวภายในห้อง จึงเลิกม่านเข้ามาถามเสียงเบาว่า “คุณหนูสวิน ท่านเป็นอะไรหรือ มีตรงใดไม่สบายหรือไม่”
สวินชิงเหยาส่ายหน้า “ข้ากวนเจ้าตื่นหรือ ขอโทษด้วยจริงๆ”
เสี่ยวชุ่ยเอ่ยว่า “คุณหนูสวินอย่าได้กล่าวเช่นนี้ คุณหนูสวินนอนไม่หลับหรือ”
สวินชิงเหยาค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งแล้วถอนหายใจเอ่ยว่า “อาจเพราะเมื่อเย็นกินมากเกินไป เลยอาหารไม่ย่อย”
เสี่ยวชุ่ยเอ่ยเสียงหวานว่า “เช่นนั้นบ่าวออกไปเดินเล่นเป็นเพื่อนคุณหนูในลานดีหรือไม่”
สวินชิงเหยาลองคิดดู ถึงอย่างไรก็เสียงดังจนปลุกเสี่ยวชุ่ยตื่นแล้ว ต่อให้ไม่ออกไป เสี่ยวชุ่ยก็นอนไม่หลับอยู่ดี จึงพยักหน้า “รบกวนเจ้าแล้ว”
เสี่ยวชุ่ยเอาเสื้อกันลมขนกระต่ายมาคลุมให้สวินชิงเหลาแล้วประคองนางออกจากห้อง
แสงจันทร์ที่สะท้อนกับหิมะที่ปกคลุมอยู่บนพื้นช่วยส่องให้ระเบียงมีประกายสว่าง เงียบสงบและเย็นสบาย
เสี่ยวชุ่ยประคองสวินชิงเหยาไปยังโต๊ะม้าหินในลาน “คุณหนูสวินนั่งเถิด ข้าจะไปต้มชาผลไม้ช่วยย่อยมาให้”
สวินชิงเหยาพยักหน้า “ลำบากเจ้าแล้ว”
เสี่ยวชุ่ยทำอะไรรวดเร็ว ไม่นานก็ต้มชาซานจากลับมา เมื่อวางลงบนโต๊ะก็ลูบโต๊ะม้าหินแล้วเอ่ยว่า “เย็นเพียงนี้ ข้าไปเอาที่รองนั่งมาให้นะเจ้าคะ”
เสี่ยวชุ่ยเข้าไปในห้อง
สวินชิงเหยาใช้ช้อนคนชาซานจาในชาม ความร้อนของชาทำให้มีไอน้ำอวลขึ้นมา แค่เพียงมองก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นไม่น้อย
เมื่อดื่มชาเสร็จสวินชิงเหยากลับเข้าห้อง เสี่ยวชุ่ยก็กลับไปพัก
สวินชิงเหยาเปิดผ้าม่านเตียงออก ขณะที่กำลังจะนั่งลงไปกลับตกใจที่ได้เห็นว่าบนเตียงมีบุรุษในชุดสีดำสนิทนั่งอยู่!
นางตกใจจนขนตั้งชันไปทั้งตัว นางคิดจะกรีดร้อง แต่พอคนนั้นขยับแขน กระบี่ยาวเล่มหนึ่งก็ตกลงมาในมือ กระบี่ยาววางจ่ออยู่ที่คอของนาง กักกันเสียงของนางให้อยู่แค่เพียงลำคอ
บุรุษผู้นั้นเงยหน้าขึ้นช้าๆ เผยให้เห็นหน้ากากสีทองบนใบหน้า ภายใต้หน้ากากคือดวงตาที่พร้อมจะล่อหลอกใจคน งามจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง ผิวพรรณของเขาขาวผ่องราวกับหยก ริมฝีปากแดงฉ่ำเสียยิ่งกว่าสตรี มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย ดูมีเสน่ห์ล้ำลึกโดยไม่ได้ตั้งใจ
“ชู่ว์” เขาแตะนิ้วชี้ที่เรียวยาวลงบนริมฝีปาก งดงามราวกับภาพวาดที่แต่งเติมด้วยสีสัน
“อย่าร้อง ไม่อย่างนั้นศีรษะเล็กๆ ของเจ้าจะหลุดออกจากบ่า”
น้ำเสียงเขาก็น่าฟังอย่างประหลาด
บุรุษที่รูปโฉมงดงามเพียงนี้ ยิ้มขึ้นมาแล้วช่างยวนใจยิ่งนัก ยิ่งเมื่อรวมกับน้ำเสียงเช่นนี้ ขาสวินชิงเหยาเกือบอ่อนยวบ
สวินชิงเหยาเหลือบมองไปทางห้องของเสี่ยวชุ่ย
บุรุษผู้นั้นหัวเราะเสียงเบา ดูงดงามราวกับภาพวาดสีพาให้ใจคนปั่นป่วนไปหมด “ไม่ต้องมองแล้ว คืนนี้นางไม่ตื่นขึ้นมาแล้วล่ะ”
สวินชิงเหยาสูดหายใจยาว ใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีในการข่มความหวาดผวาในใจเอาไว้ “เจ้าเป็นใคร”
“เจ้าคิดว่าเจ้ามีสิทธิ์ถามข้าหรือ” บุรุษผู้นั้นบิดมือเล็กน้อย คบดาบที่เย็นจัดแนบกับใบหน้าของสวินชิงเหยา สวินชิงเหยารู้สึกเพียงคล้ายถูกงูพิษห่อรัดตัว ตกใจจนสั่นสะท้านไปทั้งสรรพางค์กาย
สวินชิงเหยาเอ่ยเสียงสั่น “เจ้าจะทำอะไร”
บุรุษผู้นั้นตอบกลั้วหัวเราะ “ไม่ทำอะไร แค่อยากมาช่วยเจ้าสักหน่อยเท่านั้น”
สวินชิงเหยาอึ้งไป “ช่วยข้า ข้ามีอะไรต้องให้เจ้าช่วยเหลือ”
บุรุษผู้นั้นเอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “เรื่องนี้คงต้องถามตัวเจ้าแล้ว ข้าสามารถทำความปรารถนาของเจ้าให้เป็นจริงได้หนึ่งข้อ ขอเพียงเจ้าเอ่ยออกมา ข้าจะรับปากเจ้าเอง เวลานี้รีบคิดเสีย เจ้ามีอะไรต้องการให้ข้าทำหรือไม่”
นี่…นี่เขากำลังบังคับให้นาง…ร้องขอความช่วยเหลือจากเขา? เพราะเหตุใดกัน!
“เหตุใดเจ้าถึงต้องช่วยข้า”
บุรุษผู้นั้นยกมุมปากยิ้ม “ข้าเป็นคนดี ข้ามีความสุขที่ได้ช่วยเหลือผู้คน”
สวินชิงเหยาสะอึกไป
รอยยิ้มของบุรุษผู้นั้นระบายออกกว้างขึ้น “เพียงแต่ ข้ามีความสุขที่ได้ช่วยเหลือผู้คน เจ้าเองก็ควรช่วยข้าทำอะไรสักหน่อยหรือไม่”
ว่าแล้วเชียวว่าต้องไม่ธรรมดาเพียงนั้น
“เจ้าไม่ต้องรีบร้อนตอบข้า เจ้าเก็บเอาไปใคร่ครวญก่อนได้ ไว้รอให้ถึงเวลาเจ้าต้องการข้าเสียก่อน ก็จงเป่าขลุ่ยลำนั้น ข้าจะช่วยให้เจ้าสมปรารถนาเอง”
บุรุษผู้นั้นพูดพลางหยิบของสิ่งหนึ่งจากอกเสื้อออกมาวางลงบนเตียง
หน้าอกสวินชิงเหยากระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง ไม่ได้ยื่นไปหยิบของสิ่งนั้น
บุรุษผู้นั้นเก็บกระบี่แล้วลุกขึ้นยืน เดินเฉียดไหล่สวินชิงเหยาออกไป
ในอากาศมีกลิ่นหอมจากตัวบุรุษผู้นั้นเจืออยู่ ช่างเป็นกลิ่นหอมที่น่าหลงใหล สวินชิงเหยาหน้าแดงระเรื่อ หายใจหอบ ในอกคล้ายมีกลองตีระรัว ขาอ่อนจนยากจะยืนให้มั่น
นางเดินไปตรงหน้าต่าง รับลมหนาวเย็นๆ อยู่พักหนึ่ง ความกระวนกระวายถึงได้พอหายไป
…