หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 226-2 เหตุการณ์ในเมืองเฟยอวี๋
ตอนที่ 226-2 เหตุการณ์ในเมืองเฟยอวี๋
จีหมิงซิวปรายตามองอีกฝ่ายเรียบๆ นางยิ้มเสียสดใส เขาก้มลงมองตามสายตาอีกฝ่ายไป ทันใดนั้นพลันเก็บสีหน้าไว้ไม่อยู่ รีบดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมทันที
เฉียวเวยฉีกยิ้มกว้าง “จะปิดทำไมกัน ข้ามองอยู่ตั้งนานแล้ว”
ลมหายใจจีหมิงซิวพลันชะงัก “เฟิ่งชิงเกอ!”
เฉียวเวยยิ้มพลางลงจากเตียง พอล้างหน้าล้างตาแต่งตัวเรียบร้อยแล้วก็เดินลงไปข้างล่าง
เมืองเฟยอวี๋เริ่มคึกคักตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสว่าง ตามถนนใหญ่เริ่มมีเสียงโหวกเหวก ร้านค้าต่างๆ เริ่มร้องเรียกลูกค้ากันแล้ว ในโถงด้านล่างมีแขกของร้านนั่งกันอยู่โต๊ะละสามคนบ้างสองคนบ้าง น้อยกว่าเมื่อคืนเล็กน้อย
ไซน่าอิงลงมาแล้ว บนโต๊ะอาหารมีเขาอยู่คนเดียว เฉียวเวยเดินเข้าไปนั่งตรงข้ามอีกฝ่าย “อรุณสวัสดิ์”
“อรุณสวัสดิ์” ไซน่าอิงเรียกเสี่ยวเอ้อร์ “เจ้าอยากกินอะไร”
เฉียวเวยนิ่งคิด “มีข้าวต้มกับซาลาเปาหรือไม่”
เสี่ยวเอ้อร์ยิ้ม “มีๆๆ ท่านอยากได้ข้าวต้มขาวใสๆ หรือข้าวต้มทะเลหรือ ซาลาเปามีไส้เนื้อ ไส้ผัก ไส้ไข่ปู ไส้กุ้ง”
เฉียวเวย “ข้าวต้มขาวชามหนึ่ง กับซาลาเปาไส้เนื้อเข่งหนึ่ง”
“ได้ขอรับ!” เสี่ยวเอ้อร์ยิ้มพลางตอบรับ ไซ่น่าอิงก็สั่งแบบเดียวกันแล้วตกรางวัลให้เสี่ยวเอ้อร์ไป เสี่ยวเอ้อร์จึงออกไปเตรียมด้วยความยินดี
“เหตุใดนายน้อยตระกูลจีถึงไม่ลงมาพร้อมเจ้า” ไซน่าอิงถาม
เฉียวเวยหยิบตะเกียบขึ้นมากินเครื่องเคียงจานเล็กที่วางอยู่บนโต๊ะ ตอบด้วยสีหน้าคงเดิมว่า “ไม่มีบ่าวไพร่ปรนนิบัติ เลยงุ่มง่ามประไร!”
“เป็นอย่างไรบ้าง” ในห้องของเยี่ยนเฟยเจวี๋ย มีเสียงจีหมิงซิวถามอี้เชียนอิน
อี้เชียนอินสีหน้าจริงจัง “ไม่มีอะไรน่าสงสัย ข้าจับตาดูเขาทุกคืน ไม่เห็นเขาติดต่อกับใครเลย ตอนกลางวันทุกคนอยู่ด้วยกันหมด เขายิ่งไม่มีโอกาสเล่นสกปรกต่อหน้าต่อตาพวกเรา”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเอ่ยขึ้นอย่างไม่สู้จะใส่ใจ “นายน้อย ท่านระวังตัวเกินไปหรือไม่”
จีหมิงซิว “ระวังไว้ก่อนขับเรือหมื่นปีก็ไม่มีอันตราย ดีที่สุดหากเขาตั้งใจพาพวกเราไปที่ชนเผ่าลึกลับด้วยใจจริง หากคิดจะสลัดพวกเราทิ้งกลางทาง ก็ต้องมีเผนเตรียมรอไว้ก่อน”
อี้เชียนอินยิ้ม “วางใจเถิด มีข้าจับตาดูอยู่ ไม่มีทางเปิดโอกาสให้เขาแน่”
จีหมิงซิวพยักหน้าแล้วหันไปหาจีอู๋ซวง “จดเส้นทางไว้หมดแล้ว?”
จีอู๋ซวง “จดไว้แล้ว ส่งให้สายสืบของพรรคโลหิตพิฆาตแล้วด้วย เมื่อใดก็ตามที่พวกเราพาตัวเฉียวฮูหยินออกมาจากชนเผ่าลึกลับ ทางนี้จะมีคนมารอรับพวกเราทันที”
สายตาจีหมิงซิวดูล้ำลึก “เส้นทางที่นี่ยังไม่ใช่ส่วนที่ยาก ที่ยากคือทางน้ำ อี้เชียนอิน เข็มทิศของเจ้าเล่า”
อี้เชียนอินหยิบเข็มทิศขนาดเท่าฝ่ามือออกมาจากอกเสื้อ “อยู่นี่ขอรับ”
จีหมิงซิว “เอาให้จีอู๋ซวง เจ้าแค่จับตาดูไซน่าอิงไว้ตลอดก็พอแล้ว”
“เอ้า” อี้เชียนอินโยนเข็มทิศไปให้จีอู๋ซวง
จีอู๋ซวงยัดเข็มทิศลงอกเสื้อ
เพราะกลัวว่าไซน่าอิงจะสงสัย พวกเขาจึงไม่ได้อ้อยอิ่งอยู่ในห้องกันนานนัก พอพูดคุยเสร็จก็ทยอยกันลงไปข้างล่าง
ซาลาเปาร้อนๆ เพิ่งถูกยกเข้ามา เฉียวเวยลองชิมก่อนคำหนึ่ง อาหารของโรงเตี๊ยมแห่งนี้ไม่เป็นที่น่าอภิรมย์ แต่ซาลาเปากลับเนื้อแน่นฉ่ำน้ำ นางคีบให้จีหมิงซิวลูกหนึ่ง ตะเกียบที่ใช้เป็นของนางเอง
จีหมิงซิวมองนางด้วยสายตาเรีบบเฉย เฉียวเวยยิ้ม “ท่านพี่ กินสิ”
จีหมิงซิวมองเฉียวเวยที่น่าตีให้สักป้าบแล้วเหลือบมองไซน่าอิงที่กำลังมองมาอย่างจับสังเกต ก่อนจะกินลงไปโดยไม่พูดอะไร
เมืองเฟยอวี๋เป็นเมืองบนบกเมืองสุดท้ายทางตอนใต้ของต้าเหลียง หลังจากนี้เมื่อออกทะเล จะเข้าสู่น่านน้ำของต้าเหลียง หากโชคดีบางทีอาจได้ผ่านเกาะบ้าง แต่เท่าที่ฟังไซน่าอิงบอกน่าจะไม่ได้แวะเกาะเหล่านั้น
“กินข้าวเสร็จไปหาซื้อของที่ต้องใช้บนเรือ กับของกินให้พอสำหรับเจ็ดแปดวันก็น่าจะพอแล้ว” ไซน่าอิงบอก
เฉียวเวยเสนอตัวออกไปหาซื้อของให้ ไซน่าอิงกับอี้เชียนอินเดินตามนางไป
ในทะเลไม่มีน้ำสะอาด เฉียวเวยเลยซื้อน้ำสะอาดเตรียมไว้หลายถัง จากนั้นก็ไปซื้อพวกวัตถุดิบกับอาหารแห้ง อุปกรณ์การกินแบบเรียบง่ายก็ซื้อเตรียมไว้ ทั้งยังเพิ่มสมุนไพรสำหรับใช้ในยามคับขัน ก่อนจะหอบหิ้วห่อเล็กห่อน้อยกลับโรงเตี๊ยมเฟยอวี๋ไป
ขานางเพิ่งก้าวข้ามธรณีประตูโรงเตี้ยมเข้าไป ด้านหลังก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นว่า “ช่วยด้วย…”
เฉียวเวยชะงักฝีเท้า หันออกไปมองตรงถนน เสียงที่ดังอึกทึกดึงดูดความสนใจของคนที่เดินผ่านไปมาไม่น้อย ถนนสองข้างทางเต็มไปด้วยผู้คนเบียดเสียด แม่นางคนหนึ่งที่อายุประมาณยี่สิบปีวิ่งเร็วจี๋ไปตามถนน เสียงที่ขอให้ช่วยเมื่อครู่ก็เป็นนางที่ตะโกนขึ้นมา
นางอยู่ในภารณ์ผ้าไหมสีแดงกุหลาบ บนศีรษะเป็นดอกไม้สีเดียวกับชุด ผมเผ้าหลุดลุ่ยจากการวิ่ง ดอกไม้บนศีรษะจะหล่นแหล่มิหล่นแหล่ รองเท้านางหายไปข้างหนึ่ง แขนเสื้อขาดเป็นรูกว้าง ดูแล้วสภาพยับเยินยิ่งนัก
ด้านหลังนางมีบุรษหน้าตาดุร้ายไล่ตามอยู่เจ็ดแปดคน
คนที่เป็นหัวหน้าตะคอกเสียงดังว่า “หยุดเดี๋ยวนี้! ถ้าหนีอีกข้าจะตีขาเจ้าให้หักเสีย!”
“จึ๊ๆๆ กรรมเวรแท้ๆ”
“เฮ่อ ใครบอกไม่ใช่เล่า”
ฝูงชนพากันทอดถอนใจ
เสี่ยวเอ้อร์ของร้านก็เดินออกมาทอดถอนใจกับเขาด้วย
เฉียวเวยเลิกคิ้วถามว่า “อาหู่ นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ คนตั้งมากเพียงนั้นไล่เล่นงานสตรีนางเดียว ไม่มีคนของทางการคอยดูแลหรือ”
เสี่ยวเอ้อร์ตอบด้วยความจนใจว่า “ก็คนของทางการนั่นแหละขอรับที่ไล่ตาม คนของทางการจะกล้ายุ่งได้อย่างไร”
เฉียวเวยงงไปหมด “แม่นางคนนั้นทำอะไรผิดหรือ เหตุใดทางการถึงต้องตามจับนาง”
เสี่ยวเอ้อร์เอ่ยประชดว่า “มีใบหน้าที่งดงามเกินไปกระมัง”
เฉียวเวยพลันขมวดคิ้ว “บังคับขืนใจหญิงชาวบ้านหรือ”
เสี่ยวเอ้อร์รีบบอกว่า “ฮูหยินไม่รู้อะไร นายท่านใหญ่ชิงเทียนแห่งเมืองเฟยอวี๋แต่งอนุเข้าเรือนไปสิบแปดคนแล้ว นี่เป็นคนที่สิบเก้า วันนี้นายท่านใหญ่จัดพิธีที่จวน นางดันวิ่งหนีออกมา หากจับตัวกลับไปได้คงไม่รอดแน่”
อนุสิบเก้าคน เขารับไหว้หรือ ตันหากลับโดยแท้!
เฉียวเวยหน้าบึ้งลง “ไม่มีใครจัดการอะไรเลยหรือ”
เสี่ยวเอ้อร์หัวเราะหึหึ “ใครจะจัดการเล่าขอรับ แผ่นดินกว้างใหญ่ฮ่องเต้อยู่ไกล นายท่านใหญ่ชิงเทียนเป็นฮ่องเต้ประจำถิ่นของเราที่นี่ ใครทำเขาไม่พอใจ ไม่ต้องรอไปแจ้งต่อเบื้องบนก็ถูกเขาเล่นงานจนตายหมด”
สายตาเฉียวเวยดูบึ้งตึง “ขุนนางชั่ว!”
สีหน้าไซน่าอิงก็เย็นยะเยือกตามไปด้วย
อี้เชียนอินคิดในใจว่า เฟิ่งชิงเกอช่างเล่นละครเก่งนัก เหมือนไปถึงจิตใจของฮูหยินอัครเสนาบดีเลยทีเดียว!
อี้เชียนอินเหลือบมองไซน่าอิงทีหนึ่งแล้วแสร้งทำเป็นเอ่ยโน้มน้าวว่า “ฮูหยินน้อย หากไม่ทนดูเรื่องเล็กจะพาลให้เสียการใหญ่ เวลานี้ไม่ใช่เวลาจัดการกับคนชั่ว จะลงโทษขุนนางท้องถิ่นจำเป็นต้องได้รับการอนุญาตจากราชสำนัก ท่านอย่าได้ผลีผลามจะดีกว่า”
เฉียวเวยย่อมเข้าใจในเหตุผลข้อนี้ สังหารขุนนางชั่วสักคนนั้นง่ายดายนัก แต่หากสังหารแล้วไม่เก็บกวาดให้เรียบร้อย ก็ง่ายที่จะก่อให้เกิดความหวาดกลัวและความไม่สงบขึ้นที่นี่ เมื่อใดก็ตามที่เกิดความไม่สงบขึ้น คนที่ต้องรับเคราะห์ก็คงเป็นชาวบ้านตาดำๆ เหล่านี้
“นายน้อยของเจ้าเล่า” เฉียวเวยถาม
อี้เชียนอินเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “นายน้อยทราบเรื่องนี้ตั้งแต่มาถึงวันแรกและได้จดบันทึกไว้แล้ว เมื่อภารกิจสำเร็จกลับไปถึงเมืองหลวง จะจัดการจัดระเบียบขุนนางบุ๋นให้เรียบร้อย แต่เวลานี้เขากำลัง “ปิดประตูครองสันโดษ” อยู่ หากจู่ๆ มาปรากฏตัวที่เมืองเฟยอวี๋ คงอธิบายกับทางฮ่องเต้ไม่ได้”
เฉียวเวยกำหมัดแน่น “ปล่อยให้ขุนนางชั่วผู้นี้รอดไปก่อนสักสองวัน!”
อี้เชียนอิน: สมบทบาทนัก!
อันธพาลกลุ่มนั้นจับแม่นางคนนั้นไว้ได้แล้ว คนเป็นหัวหน้าไม่พูดพร่ำทำเพลง ตบซ้ายตบขวาจนหน้าหันให้หลายที แม่นางคนนั้นพลันหน้าบวมแดง ร้องตะโกนขอให้คนช่วยแทบขาดใจ ชาวบ้านที่มุงดูอยู่รอบๆ กลับไม่มีใครกล้าออกไปห้ามปราม
ในขณะที่อันธพาลกำลังจะตบหน้าแม่นางคนนั้นอีกครั้ง ก็มีมือเรียวยาวข้างหนึ่งคว้าคอเสื้อด้านหลังเขาเอาไว้ แล้วจับตัวเขายกขึ้นโดยไม่ต้องใช้แรงสักนิด
“แม่งเอ้ย ใครจับเสื้อข้า!” อันธพาลหันไปมอง ในขณะที่เตรียมจะผรุสวาทออกไปนั้น กลับถูกใบหน้าที่งดงามจนวิญญาณแทบหลุดจากร่างของนางทำให้ตาพร่าเลือน ดวงตาเขาพลันหดเล็กลง คลี่ยิ้มเอ่ยว่า “โอ๊ะ นี่เป็นคนงามจากที่ใดกัน”
เฉียวเวยยิ้มบางๆ “ข้ามาจากที่ใดสำคัญด้วยหรือ”
ชนชั้นสูงท้องถิ่นในเมืองเช่นนี้เป็นพ่อค้าเสียมาก ขุนนางน้อย ไม่เหมือนในเมืองหลวงที่หินก้อนหนึ่งสามารถหล่นใส่หัวขุนนางได้ห้าคน อันธพาลผู้นั้นจึงเข้าใจทันทีว่าเฉียวเวยเป็นพ่อค้าต่างถิ่นที่ผ่านมาที่นี่ เขากวาดสายตาไปตามเรือนร่างของเฉียวเวยอย่างไม่มีปิดบัง “รูปร่างก็ไม่เลว ว่าอย่างไร สนใจไปเป็นอี๋เหนียงของนายท่านหรือไม่”
อี๋เหนียงคนที่สิบเก้าหนีไปกลางทาง พวกเขาดูแลได้ไม่ดี กลับไปต้องถูกลงโทษแน่ แต่หากสามารถพาแม่นางที่งดงามประหนึ่งบุปผากลับไปได้ นายท่านใหญ่คงยินดี ไม่แน่ว่าอาจไม่ลงโทษพวกเขาแล้วก็เป็นได้!
เฉียวเวยเอ่ยยิ้มๆ “นายท่านบ้านเจ้าเป็นขุนนางขั้นใดหรือ”
อันธพาลเอ่ยด้วยความผยองว่า “ขั้นแปด”
เฉียวเวยเกือบหลุดขำออกมา ขุนนางผู้น้อยที่แม้แต่ขั้นเจ็ดก็ยังไม่ถึงยังกล้าเรียกนางไปเป็นอี๋เหนียงอีกหรือ สามีนางเป็นถึงอัครเสนาบดีของราชสำนักปัจจุบันเชียวนะ ขุนนางใหญ่ขั้นหนึ่ง ห่างชั้นจากขุนนางชั่วผู้นี้เป็นร้อยช่วงถนน
“ว่าอย่างไรแม่หญิงงาม” อันธพาลถามด้วยท่าทางกะลิ้มกะเหลี่ย
เฉียวเวยตอบอย่างสัตย์จริงว่า “ไม่ว่าอย่างไร”
อันธพาลยิ้มเย็น “แม่หญิงงามไม่ดื่มสุรามงคลแต่จะดื่มสุราลงทัณฑ์งั้นหรือ”
เฉียวเวยผายมือออก “เจ้ามีสุราลงทัณฑ์ให้ข้าดื่มหรือ”
อันธพาลพลันหน้าบึ้ง เงื้อหมัดจะส่งไปทักทายเฉียวเวย!
เฉียวเวยคว้ามืออีกฝ่ายไว้ด้วยมือเดียว พอบิดเบาๆ กระดูกมือก็หักทันที
อันธพาลร้องเสียงหลงราวกับหมูโดนเชือด
เฉียวเวยจับเขาโยนลงกับพื้น ชาวบ้านโดยรอบตกใจจนพากันถอยหลังไปสามสี่ก้าว
อันธพาลพวกเดียวกันพอเห็นเช่นนั้นต่างก็เงื้อหมัดพุ่งตรงเข้าใส่เฉียวเวย แต่กระนั้นไม่ต้องรอให้พวกเขาเข้ามาถึงตัว ก็ถูกฝ่ามือที่ดุดันของไซน่าอิงกระแทกใส่จนกระเด็นกันไปเป็นแพ คนพวกนั้นบ้างกระแทกถูกร้านแผงลอย บ้างกระเด็นเข้าไปในร้าน เจ็บปวดจนกลิ้งไปมาอยู่บนพื้น ไม่มีแรงจะลุกขึ้นมาอีก
แม่นางผู้นั้นเห็นเช่นนั้นก็ทั้งตกใจทั้งนึกกลัว รีบกึ่งวิ่งกึ่งคลานเข้าไปหาเฉียวเวย มองกลุ่มคนที่ร้องโอดโดยกันอยู่บนพื้นด้วยความหวาดกลัว
สายตาโกรธแค้นของอันธพาลหยุดมองที่ใบหน้าของแม่นางผู้นั้น “นังคนแซ่เซวีย เดี๋ยวได้เห็นดีกัน!”
แม่นางเซวียตัวสั่นงันงก
เฉียวเวยเดินเข้าไปเตะคนพูดทีหนึ่ง “ตัวเองยังเอาไม่รอด ยังจะไปข่มขู่คนอื่นอีก เชื่อหรือไม่ว่าข้าเอาชีวิตเจ้าเดี๋ยวนี้ก็ยังได้”
พอสิ้นเสียงนางมือของไซน่าอิงก็ยื่นเข้ามาบีบคอคนบนพื้นจนสิ้นใจตาย
เฉียวเวยหันไปมองไซน่าอิงโดยไม่พูดอะไร ไซน่าอิงเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “ท่านบอกว่าจะเอาชีวิตเขาเดี๋ยวนี้”
เฉียวเวย “ข้าแค่ขู่ให้กลัวเฉยๆ!”
ไซน่าอิงดึงมือกลับ ก็แค่ลูกกระจ๊อกคนหนึ่งเท่านั้น ตายไปก็ไม่น่าเสียดาย
พรรคพวกที่เหลือพอเห็นลูกพี่ตนถูกคนบีบคอตายก็ตกใจจนฉี่รดกางเกง ร้องไห้โหยหวนกันให้ลั่น
เฉียวเวยไม่สงสารพวกเขา พวกเศษเดนที่ก่อกรรมไปทั่วพวกนี้ ยามปกติคงไม่สนใจชีวิตคน เวลานี้เมื่อถูกคนเอาชีวิตสักครั้ง ก็นับว่ากรรมตามสนอง เพียงแต่เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่เสียแล้ว แม่นางผู้นี้เกรงว่าคงจะจบไม่สวยสักเท่าไร
เฉียวเวยหันไปมองนาง “เจ้ารีบไปจากเมืองเฟยอวี๋เถิด ไปให้ไกลได้เท่าไรยิ่งดี”
แม่นางเซวียทรุดลงคุกเข่ากับพื้น “ผู้มีพระคุณ! ผู้มีพระคุณท่านเอาข้าไปด้วยเถิด! ข้าตัวคนเดียวไม่มีที่ใดให้ไปแล้ว… ผู้มีประคุณ เก็บข้าไว้เป็นบ่าวไพร่ให้เรียกใช้ด้วยเถิด! ข้ายินดีเป็นวัวเป็นม้าให้ท่านเรียกใช้! ไมเอาข้าแรง! ขอเพียงมีข้าวกินเท่านั้น!”
สตรีนางนี้หากมีน้ำอดน้ำทนจริงๆ เฉียวเวยพอสามารถหางานให้นางทำได้ โรงผลิตบนภูเขาก็สร้างเสร็จแล้ว หรือที่โรงเก็บไข่ในบ้านก็ขาดคนจนไม่รู้จะขาดอย่างไร เพียงแต่จากที่นี่ไปถึงเมืองหลวงระยะทางยาวไกล นางเป็นสตรีตัวคนเดียว เกรงว่าคงจะไปไม่ถึง
“ข้างกายข้าไม่ขาดคน ข้าให้เงินเจ้าไว้ เจ้าไปหางานง่ายๆ ทำที่เมืองอื่นก็แล้วกัน” เฉียวเวยพูดพลางหันไปมองไซน่าอิง
ไซน่าอิงหยิบเงินออกจากกระเป๋าให้อย่างรู้งาน
แม่นางเซวียสะอื้นไห้ “ผู้มีพระคุณ ข้าไม่เคยออกจากเมืองเฟยอวี๋มาก่อน ต่อให้ท่านให้เงินข้า ข้าก็ไม่รู้จะไปที่ใด! คนพวกนั้นต้องหาข้าเจอแล้วเอาข้าตายแน่! ฮูหยินขอร้องท่านล่ะ ให้ข้าทำงานอะไรก็ได้! ยกน้ำชาตักน้ำซักเสื้อผ้า ข้าทำได้ทั้งสิ้น!”
เฉียวเวยทำงานเองจนชินแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ใครรับใช้
แม่นางเซวียร้องไห้น้ำตานองหน้า โขกศีรษะอย่างเอาเป็นเอาตาย “ผู้มีพระคุณรับตัวข้าไว้ด้วยเถิด! รับตัวข้าไว้ด้วยเถิด!”
นางโขกศีรษะจนหัวแตก เลือดผสมน้ำตาไหลลงอาบแก้มขาวๆ ของนาง ดูอ่อนแอจนพูดไม่ออก
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยทนดูต่อไปไม่ไหว เดินออกจากโรงเตี้ยมมาดึงนางให้ลุกขึ้น “คณะพวกเรามีแต่ผู้ชาย กำลังขาดคนซักถุงเท้าเหม็นๆ อยู่พอดี พาไปด้วยกันแล้วกัน!”
ไซน่าอิงพูดขึ้นอย่างไม่เห็นด้วยว่า “พาพวกเจ้าไปก็มากพอแล้ว ข้าไม่อยากเอาคนไปเพิ่มอีก”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “พาไปคนหนึ่งหรือพาไปห้าคนก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ ไม่ได้ให้เจ้าหาข้าวให้กินสักหน่อย”
เฉียวเวยมองเยี่ยนเฟยเจวี๋ยอย่างมีนัยยะทีหนึ่ง “นี่ จอมยุทธ์เยี่ยน ถูกใจนางเข้าให้แล้วหรือ”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยสะอึกไป “ใช่ ใช่ที่ไหนกัน ท่าน…ท่านเป็นคนยุ่งไม่เข้าเรื่องก่อน! พอยุ่งไปครึ่งทางก็จะสะบัดก้นหนี ไม่กลัวคนเขาจะมาล้างแค้นนางหรือ อย่างนี้สู้ไม่ยุ่งแต่แรกจะดีกว่า!”
“ที่เจ้าพูดก็ถูก” สายตาของเฉียวเวยมองไปที่มือของเยี่ยนเฟยเจวี๋ย เขาจับมือถือแขนสตรีนางหนึ่งกลางวันแสกๆ เช่นนี้ รู้หรือไม่ว่าเสียมารยาทมากน่ะ คงไม่ใช่ว่าฤดูใบไม้ผลิของจอมยุทธ์เยี่ยนมาถึงแล้วกระมัง
เฉียวเวยระบายยิ้ม “ในเมื่อลุงเยี่ยนอยากเก็บนางไว้ ก็เก็บนางไว้ก็แล้วกัน”