หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 23 ได้กำไร
ณ ช่วงเวลานี้ย่อมกระอักกระอ่วน
เอ่ยวาจาเป็นมั่นเหมาะว่าตนมิได้ขโมยของผู้อื่น แล้วยังข่มขู่ว่าจะขับไล่คนที่ใส่ร้ายตนออกจากหมู่บ้าน ผลปรากฏว่าจับได้คาหนังคาเขา ทำเอาชาวบ้านทั้งหลายตาค้างพูดไม่ออก
“นี่ หลิวชุ่ยฮวา นี่มันเรื่องอะไรกันฮะ” ป้าหลัวถามอย่างไม่พอใจ “นี่คือที่เจ้าบอกว่าไม่ได้ขโมยหรือ ทุกคนดูให้ชัดเลยนะ! นี่ก็คือเสี่ยวไป๋ของจิ่งอวิ๋นกับวั่งซู!”
ทุกคนจุ๊ปากพยักหน้า สุนัขที่สวยและสะอาดเช่นนี้ ต่อให้ในแปดหมู่บ้านระยะสิบลี้ก็หาตัวที่สองไม่ได้
เฉียวเวยไม่พูดไม่จา ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องให้นางพูดแล้ว น้าหลิวกรรมตามสนองแล้ว หลอกลวงความรู้สึกของทุกคน น้ำลายที่ทุกคนถ่มใส่ย่อมพอท่วมนางจมน้ำตาย
นางยื่นมือออกมาแก้เชือกบนร่างเสี่ยวไป๋
เสี่ยวไป๋เป็นเพียงลูกเพียงพอนตัวหนึ่ง แม้ยามฉลาดจะฉลาด แต่ยามเฟอะฟะ เต่ายังเร็วกว่ามัน
ไม่ต้องบอกนางก็เดาได้ มันต้องกินอะไรอยู่จนลืมตัวแน่นอนถึงปล่อยให้น้าหลิวได้โอกาส
น้าหลิวยื่นมือไปขวางเฉียวเวย “เจ้าทำอะไร เห็นว่าหน้าตาเหมือนกันแล้วจะต้องเป็นสุนัขบ้านเจ้าหรือ ตัวนี้ข้าจับมาได้! สุนัขของเจ้าสวมเสื้ออยู่ สุนัขของข้าไม่ได้ใส่เสื้อ! เจ้าตาบอดหรือ”
น้าหลิวเขลาจนเฉียวเวยนึกขัน “ท่านน้าจับได้ที่ไหนเล่า จับได้เมื่อไร”
“ข้า…ข้าจับได้เช้าวันนี้! ที่หลังบ้านข้า! เหล่าหลิวเจ้าบอกสิว่าใช่หรือไม่” น้าหลิวหยิกสามีของตน
ตาแก่หลิวสีหน้ามีแต่ความมึนงง แต่เขากลัวภรรยา น้าหลิวพูดอันใด ปกติเขาก็ไม่กล้าขัด จึงขานตอบงึมงำออกมาคำหนึ่ง
น้าหลิวเชิดหน้าอย่างลำพอง “ได้ยินแล้วใช่หรือไม่! นี่ของข้า!”
เฉียวเวยแสยะยิ้ม “ท่านแน่ใจว่าจับมาเช้าวันนี้หรือ”
“แน่นอน!” น้าหลิวยืดอก
เฉียวเวยขยับยิ้ม “ถ้าเช่นนั้นก็ดี”
น้าหลิวเห็นนางยิ้ม แววตาพลันฉายแววหวาดหวั่น “เจ้าจะทำอะไร”
เฉียวเวยหยิบมีดสั้นขึ้นมาตัดเชือกบนร่างเสี่ยวไป๋ท่ามกลางเสียงกรีดร้องแหลมของน้าหลิว เสี่ยวไป๋ได้อิสระก็แยกเขี้ยวกางกรงเล็บกระโจนใส่น้าหลิวทันที หมายจะตะกุยเจ้าคนชั่วช้าคนนี้ให้เละ!
เฉียวเวยกลับเอ่ยว่า “เสี่ยวไป๋ กลับมา!”
เสี่ยวไป๋ชะงักกึกแล้วปีนกลับมาในอ้อมแขนของเฉียวเวยอย่างเชื่อฟัง
“ยังจำได้หรือไม่ว่านางทิ้งเสื้อของเจ้าไว้ที่ใด ไปหาเสื้อกลับมา” เฉียวเวยไม่ได้ต้องการพิสูจน์อะไร แต่นางเสียดายค่าผ้า ไม่อยากสิ้นเปลืองผ้ามาทำให้มันอีกตัว
เสี่ยวไป๋เผ่นแผล็วอ้อมไปนอกกำแพงลานด้านหลังแล้วคาบเสื้อตัวน้อยสีชมพูของตนออกมา
จับได้คาหนังคาเขา ครานี้น้าหลิวพูดไม่ออกอย่างสิ้นเชิงแล้ว
สิ่งที่ร้ายแรงยิ่งกว่าก็คือ นางเขลาผู้เดียวยังไม่พอ ยังทำเหมือนคนทั้งหมู่บ้านเป็นคนโง่ไปด้วย
สีหน้าของหัวหน้าหมู่บ้านย่ำแย่ยิ่งนัก ยามปกติหลิวชุ่ยฮวาก็ชอบก่อเรื่องอยู่แล้ว แต่เห็นแก่ท่านย่าของนางกับท่านย่าของเขาเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน เขาจึงลืมตาข้างหนึ่งหลับตาข้างหนึ่งปล่อยไป แต่ครั้งนี้นางทำเกินไปแล้วจริงๆ!
ต่อหน้าต่อตาคนของหมู่บ้างข้างเคียง หัวหน้าหมู่บ้านคนนี้อย่างเขาหน้าแตกร่วงกราวลงสุสานบรรพบุรุษหมดแล้ว!
“รีบขอโทษเสี่ยวเฉียวเสีย!” เขาตวาดดุดัน
น้าหลิวเบะปากใกล้จะร้องไห้ “พี่สาม…ทำไมท่านก็เข้าข้างคนนอกด้วยเล่า ข้าเป็นน้องสาวของท่านนะ”
หัวหน้าหมู่บ้านเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ตอนนี้รู้ตัวว่าเป็นน้องสาวของข้าแล้วหรือ ตอนขโมยของทำไมไม่คิดบ้างว่าเจ้าเป็นน้องสาวของข้า ก่อเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาแล้วจะให้ข้าพี่ชายคนนี้เอาหน้าไปไว้ที่ไหน ข้าเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน แม้แต่น้องสาวของตนก็ดูแลไม่ได้ จะไปดูแลหมู่บ้านใหญ่โตได้เช่นไร ยังไม่ยอมรับผิดอีกใช่หรือไม่ ได้ ข้าเข้าใจแล้ว ที่นาทางตะวันออกของหมู่บ้านผืนนั้นเจ้าไม่ต้องใช้แล้ว พี่ชายคนนี้สั่งสอนเจ้าไม่ดี! ข้าจะขอขมาแทนเจ้าเอง! เสี่ยวเฉียว”
เขาหันไปมองเฉียวเวย “ที่ผืนนั้น เจ้าเอาไปเพาะปลูกเถอะ”
“อะไรนะ” น้าหลิวเต้นผางเหมือนถูกสายฟ้าฟาด “พี่สาม ท่านบอกว่าจะให้ข้านะ! ท่านจะกลับคำไม่ได้สิพี่สาม!”
หัวหน้าหมู่บ้านมองตาแก่หลิวอย่างหมดความอดทน “ดูเมียเจ้าให้ดี!”
ตาแก่หลิวฝืนลากภรรยาของตนจากไป แม้เดินจากไปไกลมากแล้ว ทุกคนก็ยังได้ยินเสียงแหลมปรี๊ดเหมือนสุกรถูกเชือดของน้าหลิวอยู่
บิดา มารดาไปหมดแล้ว เถี่ยหนิวย่อมเผ่นแน่บด้วย
เขาไม่เข้าใจ ตนเพียงต้องการสุนัขตัวหนึ่ง กลับกลายเป็นเกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร
มารดาของชุ่ยอวิ๋นเรียกทุกคนนั่งลง “นั่งลงเถอะๆ นี่ ยังมีอาหารอีกหลายอย่างยังไม่ได้ยกมาเลยนะ!”
เฉียวเวยมองหัวหน้าหมู่บ้านที่ยังคงสีหน้าย่ำแย่เล็กน้อย แล้วเอ่ยอย่างมีมารยาท “หัวหน้าหมู่บ้าน ขอบคุณท่านที่ทวงความเป็นธรรมให้ข้า ไม่รังเกียจที่ข้าเป็นคนต่างถิ่นคนหนึ่ง แต่ที่ดินผืนนั้น ท่านเก็บคืนไปเถิด ข้ามีที่นาบนเขาสองหมู่แล้ว”
ความจริงเมื่อครู่หัวหน้าหมู่บ้านโกรธจัดจึงพลั้งปากบอกจะยกให้เฉียวเวย หลังจากนั้นความจริงก็นึกเสียใจอยู่เล็กน้อย แน่นอนว่าหากเฉียวเวยรับไว้ เขาก็ไม่กลัว เขามีวิธีเอาที่ดินกลับคืนมาได้ แต่ตอนนี้เฉียวเวยเป็นฝ่ายเสนอจะคืนให้เขา กลับทำให้เขาไม่สบายใจ
ช่างเป็นคนรู้จักสถานการณ์ ไม่ละโมบต้องการของผู้อื่นและเข้าอกเข้าใจผู้อื่นอย่างหาได้ยาก
“ที่ดินบนเขาของเจ้าตำแหน่งไม่ดี แสงไม่พอ ปลูกเมล็ดพันธุ์ดีๆ ไม่ขึ้น” หัวหน้าหมู่บ้านคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ที่ผืนนั้นทางตะวันออกของหมู่บ้าน ความจริงก็ไม่ดีนัก เจ้าปลูกได้ก็ปลูก ปลูกเสียก็ไม่เป็นไร ไม่คิดค่าเช่าที่นากับเจ้า”
คราวนี้เขาตั้งใจมอบให้เฉียวเวยจากใจจริง
ความตั้งใจเดิมของเฉียวเวยที่มาร่วมงานเลี้ยงคือช่วยงานป้าหลัว คิดไม่ถึงว่าจะได้ที่ดินผืนหนึ่งมาอย่างไม่คาดคิด ต่อให้เป็นที่ดินรกร้างก็ดีกว่าไม่มีแม้แต่ที่ดิน
แน่นอน นี่ล้วนเป็นความดีความชอบของน้าหลิว
น้าหลิวขโมยไก่ไม่สำเร็จแต่กลับเสียข้าวสาร กลับไปน่ากลัวว่าคงกระอักเลือดสักสามลิตร
เฉียวเวยเอ่ยขอบคุณหัวหน้าหมู่บ้านแล้วตามหาซิ่วไฉเฒ่าพบที่ห้องบัญชีชั่วคราว จากนั้นจึงเอ่ยขอบคุณเขา นางมองออกว่าคำพูดเลวร้ายที่ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ย ความจริงแล้วเป็นการยุน้าหลิว
ซิ่วไฉเฒ่าช่วยนางไม่ใช่เพื่อฟังคำขอบคุณของนาง เขาไปชะเง้อมองที่ประตู เมื่อแน่ใจว่าไม่มีคนจึงมองเฉียวเวยอย่างตื่นเต้น “เจ้า…บิดาของเจ้ามีนามว่าอะไร”
“บิดาข้าหรือ” เฉียวเวยมองซิ่วไฉเฒ่าอย่างประหลาดใจ เหตุใดจู่ๆ จึงถามเรื่องนี้เล่า นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยตามจริง “ข้าไร้บิดา”
“ถ้าเช่นนั้นมาดาของเจ้าเล่า” ซิ่วไฉเฒ่าจี้ถามอีก
เฉียวเวยชะงัก “ข้าไร้มารดาเช่นกัน ข้าเป็นเด็กกำพร้า”
ตอนที่นายท่านกับฮูหยินจากโลกไป คุณหนูเพิ่งอายุห้าปี บอกว่าตนเองเป็นเด็กกำพร้าก็ไม่นับว่าผิด ซิ่วไฉเฒ่ายิ่งตื่นเต้น “บิดามารดาของเจ้าจากไปตอนเจ้าอายุเท่าไร”
ซิ่วไฉเฒ่าคงไม่ได้คิดจะเป็นพ่อสื่อให้นางกระมังถึงมาขุดคุ้ยประวัติครอบครัวนาง
เฉียวเวยส่ายหน้าตอบว่า “มิทราบ ข้าเกิดมาก็ถูกทอดทิ้ง เติบใหญ่มาในโรงเลี้ยงเด็กกำพร้า”
ไม่ถูกต้องสิ คุณหนูเติบโตขึ้นมาในจวนตระกูลเฉียวชัดๆ
หรือว่าตนจะจำผิดคน เสี่ยวเฉียวเพียงบังเอิญหน้าตาเหมือนฮูหยินมากเท่านั้น แล้วยังบังเอิญอายุเท่าๆ กับคุณหนูอีก แล้วยังบังเอิญแซ่เฉียวอีกด้วย
ไม่ เป็นไปไม่ได้ บังเอิญข้อสองข้อเขายังพอเชื่อ แต่บังเอิญมากขนาดนี้ เขาไม่เชื่อ!
ในเมื่อคุณหนูไม่ยินดียอมรับตัวตนของตน ถ้าเช่นนั้นตอนนี้ตนก็จะไม่บีบนาง
งานเลี้ยงหนึ่งวันปิดฉากลง ทุกคนต่างเหนื่อยสายตัวแทบขาด ป้าหลัวจำได้ว่าเฉียวเวยอยากถามเรื่องสถานศึกษาจึงตะโกนเรียกน้องชายของชุ่ยอวิ๋น “พี่เฉียวของเจ้าอยากถามเจ้าสองสามเรื่อง สถานศึกษาของพวกเจ้ารับเด็กอายุเท่าไร ปีหนึ่งต้องจ่ายเงินเท่าไร”
เด็กหนุ่มผู้เป็นน้องชายของชุ่ยอวิ๋นตอบตามตรง “อายุเจ็ดปีขึ้นไป หนึ่งเดือนค่าเรียนสองตำลึง”
“หนึ่งเดือนสองตำลึงหรือ” ป้าหลัวตกตะลึง สามีนางทำงานอยู่ในที่ว่าการอำเภอ เงินเดือนหนึ่งเดือนยังไม่ถึงสองตำลึงเลยนะ! มิน่าครอบครัวตระกูลจ้าวมีบุรุษสี่คนทำนาก็ยังไม่มีจะกิน เพราะเอาเงินไปให้เด็กคนนี้เรียนหนังสือหมด
เฉียวเวยก็รู้สึกว่าสองตำลึงค่อนข้างแพง นางมีบุตรสองคน หนึ่งเดือนต้องจ่ายสี่ตำลึง หนึ่งปีเกือบห้าสิบตำลึง สำหรับนางที่เพิ่งจะเริ่มตั้งตัวเป็นจำนวนเงินมหาศาลโดยแท้
“ข้าได้ยินว่าในเมืองมีสถานศึกษาอีกแห่งหนึ่ง” นางเอ่ยขึ้นมา
น้องชายของชุ่ยอวิ๋นชูนิ้วขึ้นมา “ที่นั่นแพงยิ่งกว่า ต้องจ่ายสามตำลึง!”
“สามตำลึง…” เฉียวเวยเงียบ
“เจ้าอยากให้ลูกเรียนหนังสือใช่หรือไม่ มาหาข้าสิ! ข้าไม่คิดเงิน!”
หัวของซิ่วไฉเฒ่าโผล่ขึ้นมาจากด้านนอกหน้าต่าง ทำเอาเฉียวเวยตกใจแทบร่วงตกจากเตียงเตา!