หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 233-1 เจอตัวจิ่งอวิ๋น ครอบครัวพร้อมหน้า (ต้น)
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก
- ตอนที่ 233-1 เจอตัวจิ่งอวิ๋น ครอบครัวพร้อมหน้า (ต้น)
ตอนที่ 233-1 เจอตัวจิ่งอวิ๋น ครอบครัวพร้อมหน้า (ต้น)
“ไหนเล่า” ภายในโรงสุรา ฮาจั่ว หัวหน้าคณะองครักษ์หันไปถามเฟิงซานเหนียง
เฟิงซานเหนียงกำลังหาของอยู่ที่ตู้ พอได้ยินก็ชี้ไปที่โต๊ะตัวข้างหน้า “อยู่ทางนั้น”
ฮาจั่วหันไปมองแล้วถามว่า “ทางไหน?”
“ก็ทางนั้นไง!” เฟิงซานเหนียงเงยหน้ามอง “เอ๊ะ ไหนล่ะ! หายไปไหนแล้ว!”
นางแค่หันไปหาของเท่านั้น เหตุใดเจ้าเด็กสองคนนั้นถึงหายไปได้
บนถนนใหญ่ที่จ๊อกแจ๊กจอแจ ใต้เท้าเจ้าสำนักจูงเด็กน้อยกำลังรีบเดินไปทางรถม้าของตน
จิ่งอวิ๋นอุ้มต้าไป๋อยู่กับตัว ถามด้วยความงงงวยว่า “ท่านอา ท่านจะพาพวกเราไปที่ไหน ไม่รอท่านพ่อแล้วหรือ”
นัยน์ตาเจ้าเล่ห์ของใต้เท้าเจ้าสำนักมีแต่ความเฉยชา “วันนี้พ่อเจ้ามีธุระ มาไม่ได้แล้ว”
“อ้อ” จิ่งอวิ๋นผิดหวังเล็กน้อย
วั่งซูถาม “พรุ่งนี้ท่านพ่อจะมาหรือไม่”
ใต้เท้าเจ้าสำนักตอบรับเสียงงึมงำทีหนึ่ง
แล้วจู่ๆ ฮาจั่วก็พาองครักษ์วิ่งออกมาจากประตูโรงสุรา แค่กวาดมองก็เห็นบุรุษกับเด็กน้อยที่อยู่ข้างหน้าทันที ต่อให้เห็นแค่แผ่นหลังก็เพียงพอให้มั่นใจได้ว่าเป็นคนที่ตนกำลังตามหา
“คนข้างหน้านั่นน่ะ หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” ฮาจั่วตะโกนลั่น
ฝีเท้าใต้เท้าเจ้าสำนักไม่มีหยุดชะงักสักนิด
ฮาจั่วตะโกนดังขึ้น “หยุดเดี๋ยวนี้! ข้าไม่อยากทำร้ายพวกเจ้า แต่หากพวกเจ้ายังไม่รู้จักดีชั่ว ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเติบโตมาในเมืองเล็กๆ แห่งนี้ ทหารที่นี่เป็นอย่างไรเขารู้ดีกว่าใครทั้งสิ้น หากมีความน่าเกรงกลัวสักครึ่งหนึ่งของคนกลุ่มนี้ เมืองเล็กๆ แห่งนี้ก็คงไม่แหลกเหลวไม่เป็นท่าเช่นทุกวันนี้
ไม่ใช่ทหารของที่นี่ แต่กลับแต่งตัวปลอมเป็นทหาร แค่ดูก็รู้ว่ามีเป้าหมายที่บอกกล่าวผู้ใดไม่ได้
“ท่านอา คนผู้นั้นใช่กำลังเรียกพวกเราอยู่หรือไม่” วั่งซูถาม
“ไม่ต้องสนใจพวกเขา ขึ้นรถ!” ใต้เท้าเจ้าสำนักมาถึงรถแล้วก็ให้เด็กทั้งสองขึ้นไป เขาปลดเชือกที่ผูกไว้กับต้นไม้ นั่งลงตรงที่นั่งนอกรถ สะบัดแส้โดยแรงก่อนรถม้าจะวิ่งฝุ่นตลบออกไป!
ฮาจั่วเห็นอีกฝ่ายไม่เพียงแค่ไม่หยุด แต่ยังวิ่งฉิวหนีไปอีกจึงโมโหจนขนคิ้วตั้งชัน “ตามไป!”
องครักษ์พากันพลิกตัวขึ้นหลังม้า ไล่ตามหลังรถม้าของใต้เท้าเจ้าสำนักไป
รถม้าอย่างไรก็วิ่งสู้ม้าธรรมดาไม่ได้ คณะของฮาจั่ววิ่งไล่เข้าใกล้รถม้ามาเรื่อยๆ ฮาจั่วชักดาบโค้งที่อยู่ตรงเอวออกมา เอ่ยอย่างดุดันว่า “หยุดเดี๋ยวนี้ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ไม่อย่างนั้นข้าจะไม่เกรงใจจริงๆ แล้วนะ!”
ฟิ้ว!
ธนูดอกหนึ่งปักลงบนหลังคารถม้า!
วั่งซูกับจิ่งอวิ๋นเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ เสี่ยวไป๋กับต้าไป๋แยกเขี้ยวยิงฟันกว้าง เผยให้เห็นสายตาที่เยือกเย็นและอันตราย
ใต้เท้าเจ้าสำนักรีบตะโกนบอก “เหนือศีรษะพวกเจ้าด้านซ้ายมือมีเชือกสีเหลืองอยู่เส้นหนึ่ง ดึงลงมาหน่อย!”
จิ่งอวิ๋นนั่งอยู่ทางซ้ายนั้นเอง เขาเงยหน้ามองเชือกที่อยู่ศีรษะแล้วยื่นมือเล็กๆ ขึ้นไปดึง ทันใดนั้นพลันได้ยินเสียงแคร่กๆ ดังสองทีก่อนจะคล้ายมีบางอย่างเปิดออก ดาวกระจายแถวหนึ่งพุ่งฟิ้วๆๆ ออกมาจากใต้ท้องรถ องครักษ์สามคนถูกดาวกระจายเข้าไปจึงร้องโหยหวนก่อนจะตกลงจากหลังม้า
ฮาจั่วใช้ดาบโค้งกันดาวกระจายเอาไว้เลยหนีรอดไปได้ แต่กระนั้นการที่อีกฝ่ายทำร้ายลูกน้องเขาไปสามคนก็ทำให้เขาโกรธขึ้นมาจริงๆ!
เขาหนีบท้องม้าไว้แน่น หวดแส้ลงไปหนักๆ พอม้ารู้สึกเจ็บเลยยิ่งวิ่งพุ่งทะยานไปข้างหน้าหนักขึ้น!
คนอื่นๆ ที่เหลือก็รวบรวมกำลังตามไปเช่นกัน ท่าทางดูอยากสั่งสอนคนที่ทำร้ายสหายของพวกเขาเต็มแก่!
ฮาจั่วกับลูกน้องอีกคนหนึ่งไล่ตามรถม้าแล้ววิ่งเข้าไปประกบด้านข้าง เงื้อดาบโค้งจะฟันเข้าใส่ตัวรถ
“เหนือศีรษะด้านขวามีเชือกสีแดงอยู่ ดึงลงมาที!
วั่งซูนั่งอยู่ทางขวา เงยหน้าขึ้นมอง คว้าปลายเชือกสีแดงนั้นไว้ ออกแรงดึงเบาๆ ก็เกิดเสียงดังโครม น้ำเย็นหนึ่งกะละมังราดลงมาใส่ใต้เท้าเจ้าสำนักจนเขาเกือบกระเด็นตกจากรถม้า!
ใต้เท้าเจ้าสำนักเดือดจัด “เชือกสีเหลือง! บอกว่าเชือกสีเหลืองไง!”
วั่งซูทำแก้มป่อง “เมื่อกี้ท่านพูดว่าสีแดงชัดๆ!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักสติกระเจิง: ข้าพูดอย่างนั้นหรือ!
วั่งซูดึงเชือกสีเหลืองที่อยู่เหนือศีรษะ ธนูสองดอกโผล่ออกมาจากสองข้างรถม้าโดยไม่มีบอกกล่าว ทิ่มเข้าใส่ฮาจั่วกับองครักษ์อีกคนหนึ่ง องครักษ์ผู้นั้นหลบไม่ทันจึงถูกเสียบเข้าไป มือไม้พลันอ่อนตกลงมาจากหลังม้า
ส่วนฮาจั่วที่อยู่อีกด้านหนึ่งเงื้อดาบขึ้นได้ไว จึงฟันธนูดอกนั้นหักได้ แต่ใครจะรู้ว่าในธนูดอกนั้นมีกลไกซ่อนอยู่ ชั่วขณะที่ธนูหักพลันมีเข็มเงินเล่มเล็กเรียวพุ่งออกมา เข็มเงินดอกนั้นพุ่งไม่ถูกเขา แต่กลับเสียบเข้าไปที่ท้องม้าแทน
ม้าตัวโตวิ่งต่อไปอีกสามสี่ก้าวก่อนจู่ๆ จะตัวอ่อนยวบ หัวทิ่มลงกับพื้น
ฮาจั่วล้มลงกับพื้นตามไปด้วย เขากลิ้งหลุนๆ อยู่หลายตลบกว่าจะประคองตัวให้มั่นคงได้ แต่เขายังไม่ทันได้พักหายใจ อาชาไนยด้านหลังก็วิ่งทะยานมาถึงตัว ทุกคนมัวแต่ทุ่มกำลังไล่ตามรถม้าคันนั้นอย่างเต็มกำลัง ไม่มีใครทันคาดคิดว่าฮาจั่วกับม้าตัวที่เขาขี่จะเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น ม้าใหญ่นอนขวางอยู่กลางถนน ฮาจั่วอยู่กลางถนนที่พวกเขาต้องวิ่งผ่าน พวกเขาไม่ทันแม้แต่จะลดความเร็วด้วยซ้ำ รีบดึงบังเหียนกันแน่น ด้วยแรงมหาศาลทำให้ม้าตัวใหญ่เอนหงายไปด้านหลัง หกคะเมนตีลังกากันไปหมด ไม่นานขบวนองครักษ์ทั้งหมดก็พากัน “ล้มระเนระนาด”
หันไปมองอีกที รถม้าก็แล่นไปไกลแล้ว
ฮาจั่วกัดฟันด้วยความโกรธ “ไอ้คนเจ้าเล่ห์! ทางที่ดีอย่าได้ตกมาอยู่ในมือฮาจั่วอย่างข้าเชียว! ไม่อย่างนั้นข้าจะถลกหนังเจ้า แล่เนื้อเจ้ามากิน! เอาให้เจ้าไม่ได้ตายดี!”
รถม้าแล่นออกห่างจากเมืองเล็กๆ เข้าสู่ทิวเขา ก่อนจะแล่นวนไปมาแล้วเข้าไปในป่า
ปากทางเข้าป่าทำปราการพรางตาไว้ คนทั่วไปหาทางเข้ามาไม่ได้
ใต้เท้าเจ้าสำนักระบายลมหายใจยาว
รถม้าวิ่งวนไปมาจนไปถึงกระท่อมหลังเล็ก เฉียวเจิงกำลังแยกยาเก็บอยู่ในลาน เมื่อบ่ายเขากับอาต๋าเอ่อร์เข้าไปในป่าลึกกันรอบหนึ่ง เด็ดสมุนไพรล้ำค่าที่ไม่ค่อยพบเห็นในจงหยวนกลับมาไม่น้อย เวลานี้จึงกำลังอารมณ์ดีอย่างที่สุด
วั่งซูกับจิ่งอวิ๋นกระโดดลงจากรถม้า ก้าวขาน้อยๆ วิ่งไปหาเฉียวเจิง “ท่านตา!”
เฉียวเจิงคลี่ยิ้ม “กลับมาแล้วหรือ หิวหรือไม่”
ทั้งสองพร้อมใจกันพยักหน้า
เฉียวเจิงตบไหล่เล็กๆ ของทั้งสอง “ในบ้านมีผลไม้ที่จูเอ๋อร์เด็ดมาอยู่ พวกเจ้ากินรองท้องกันไปก่อน เดี๋ยวตารีบไปทำกับข้าวให้”
ทั้งสองเลยรีบไปด้วยความดีใจ!
ใต้เท้าเจ้าสำนักเดินตัวเปียกปอนเข้ามา
อาต๋าเอ๋อร์มองเขาด้วยความงุนงง “เจ้าสำนัก ท่านอาบน้ำมาหรือ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักมองอีกฝ่ายอย่างบูดบึ้ง “เจ้าเคยเห็นใครอาบน้ำไม่ถอดเสื้อผ้าหรือไร”
เฉียวเจิงก็เห็นเขาเหมือนกันจึงเอ่ยด้วยความงงงวยว่า “เจ้าไปทำอะไรมาถึงอยู่ในสภาพนี้” ไม่ทันให้ใต้เท้าเจ้าสำนักตอบ เฉียวเจิงพูดต่อว่า “เดี๋ยวข้าต้มน้ำแกงขิงให้เจ้ากิน”
พูดจบก็หมุนตัวไปทางห้องครัว
เดิมทีห้องครัวเละตุ้มเป๊ะไปหมด แต่เวลานี้เขาเก็บกวาดจนสะอาดเรียบร้อยแล้ว
อาต๋าเอ๋อร์ถามด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ข้าเพียงอยากรู้ว่าเหตุใดท่านยังไม่ขายเด็กสองคนนั้นไปอีก คงไม่ได้เกิดใจอ่อนขึ้นมากระมัง”
ใต้เท้าเจ้าสำนักทำเสียงหึด้วยความดูแคลน ยกมุมปากที่แดงระเรื่อขึ้น “คนอย่างข้าจะใจอ่อนให้กับคนตระกูลจีหน้าโง่สองคนหรือ ข้าเพียงไปเจอเรื่องที่น่าสนใจมากมาเรื่องหนึ่ง เจ้าไปสืบข่าวจากในเมืองมาที ข้าอยากจะรู้นักว่าเจ้าเปี๊ยกสองคนนี้มีประวัติความเป็นมาอย่างไร”
…
ภายในห้องที่มืดสลัว ลมเย็นพัดผ่านดังซู่ๆ
ฮาจั่วคุกเข่าข้างเดียวอยู่บนพื้น มือขวาแตะอยู่ที่หัวไหล่ซ้าย รายงานเรื่องที่เกิดขึ้นให้คนด้านหลังฉากกั้นฟังโดยละเอียด “…หากมิใช่เพราะคนผู้นั้นเจ้าเล่ห์มากอุบาย ฮาจั่วคงจับพวกมันมาได้แล้ว!”
ด้านหลังฉากกั้นยังคงเป็นเสียงที่แยกไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิง “เป็นเพราะเขาเจ้าเล่ห์มากอุบายหรือเพราะเจ้าที่ประมาทเลินเล่อกันแน่”
ฮาจั่วก้มหน้างุด
สตรีที่ยืนอยู่ด้านข้างเหลือบมองฮาจั่วทีหนึ่งก่อนจะหันไปมองทางฉากกั้น “คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะมาถึงชนเผ่ากันเช่นนี้ พวกเขามากันได้อย่างไร พวกเราไม่ได้เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจตราตรงด่านชายแดนแล้วหรือ เหตุใดยังให้พวกเขาแฝงตัวเข้ามาได้อีก จะเป็นเพียงการเข้าใจผิดหรือไม่ แท้จริงแล้วพวกเขาอาจเป็นแค่เด็กในท้องถิ่นนี้เอง”
ฮาจั่วรีบตอบว่า “ไม่มีทางผิดแน่ ตามคำบอกเล่าของเถ้าแก่เนี้ยโรงสุรา พวกเขาเป็นคู่แฝดชายหญิง รูปลักษณ์งดงามยิ่ง พวกเขาอุ้มเพียงพอนหิมะกันอยู่คนละตัว ข้ากล้ายืนยันว่าพวกเขาคือคนที่พวกเรากำลังตามหา!”
สตรีนางนั้นเอ่ยขึ้นว่า “เช่นนั้นหากปลอมตัวมาเช่นกัน…”
“หือ?” ด้านหลังฉากกั้นมีเสียงดุดันลอยออกมา
สตรีนางนั้นพลันเงียบเสียง
“วันนี้บุรุษที่ช่วยพวกเขาหลบหนีเป็นใคร” คนหลังฉากกั้นถาม
ฮาจั่วนึกถึงคำบอกเล่าของเฟิงซานเหนียง “บุรุษผู้นั้นเป็นคนค้าทาส เขาเป็นคนขายพวกเด็กๆ ให้กับเฟิงซานเหนียง แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดถึงได้พาตัวเด็กหนีไปอีก”
คนที่อยู่หลังฉากกั้นนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดต่อว่า “เจ้าไม่ได้บอกว่าตอนจะไปจับเด็กสองคนนี้ที่จงหยวนก็ได้พบคนผู้หนึ่งที่เป่าเพลงถอดวิญญาณได้หรอกหรือ บุรุษผู้นี้ใช่คนที่เคยพบเมื่อครานั้นหรือไม่”
ฮาจั่วไม่เคยไปจงหยวนมาก่อน ข่าวที่เขาได้รับ มาจากจดหมายลับที่ลูกน้องของเขาให้นกพิราบมาส่ง ในจดหมายบอกว่าเป็นบุรุษอายุประมาณยี่สิบกว่าปี รูปร่างสูงใหญ่ สวมเสื้อคลุมสีดำ แต่ไม่ได้พูดถึงเรื่องรูปโฉม แต่วันนี้เขาก็เห็นเพียงแผ่นหลังของคนผู้นั้น อีกฝ่ายสวมใส่เสื้อคลุมสีดำตามที่ว่าจริงๆ รูปร่างก็นับว่าสูงใหญ่ อายุที่ถามมาได้จากเฟิงซานเหนียงก็ดูเหมือนจะสอดคล้องกับในจดหมาย
“แปดเก้าส่วนจากสิบส่วนน่าจะเป็นเขา” ฮาจั่วบอก
“คนผู้นั้นเป็นบุรุษจริงๆ?” คนหลังฉากกั้นถาม
ฮาจั่วตอบด้วยความมั่นใจ “ขอรับ ข้าน้อยได้ยินเสียงเขาพูด เป็นเสียงบุรุษแน่นอน! เถ้าแก่เนี้ยโรงสุราก็ยืนยันว่าเขาเป็นบุรุษ!”
“บุรุษ…” คนที่อยู่หลังฉากกันหัวเราะเสียงเย็น “เจ้าไปที่โรงสุราอีกที เอาภาพวาดไปด้วย ต่อให้ต้องขุดดินลงไปสามฉื่อก็ต้องตามหาตัวคนผู้นั้นออกมาให้ได้!”
…
เช้าตรู่วันต่อมา เฉียวเวยกินมื้อเช้าอยู่ข้างล่าง แล้วออกไปเดินเล่นผ่อนคลายอารมณ์ที่ตลาดตามปกติ
เมืองถ่าน่าถึงแม้จะเป็นเมืองหลวงของชนเผ่าถ่าน่าแล้ว แต่ในความเจริญรุ่งเรืองยังเต็มไปด้วยบรรยากาศที่แปลกประหลาด ร้านค้าที่ตั้งอยู่สองฟากถนนถึงแม้จะไม่หรูหราเท่าที่เมืองหลวง แต่กลับมีกลิ่นอายแห่งความเก่าแก่อันเป็นเอกลักษณ์
ร้านแผงลอยสองข้างทางวางขายหนังสัตว์และสมุนไพรสดใหม่ หญ้าจื่ออิ๋งที่ในจงหยวนยากจะพบเห็น เมื่อมาอยู่ที่นี่กลับเป็นเพียงของริมทางเท่านั้น เงินที่ใช้กันในตลาดเป็นเหรีญทองแดง เหรียญเงินและเหรียญทอง รูปแบบไม่ต่างกับเหรียญกลมมีรูสี่เหลี่ยมตรงกลางอย่างที่ใช้กันที่จงหยวนมากนัก แต่รูปตรงผิวมีส่วนที่ต่างไปเล็กน้อย หนึ่งเหรียญทองแลกได้สิบเหรียญเงิน หนึ่งเหรียญเงินแลกได้หนึ่งร้อยเหรียญทองแดง
ก่อนที่พวกเขาจะออกเดินทาง อันที่จริงพกเงินไปด้วยไม่น้อย ถ้าอยู่ที่ราชวงศ์ต้าเหลียงคงสามารถกินอยู่ไปได้หลายชีวิต แต่น่าเสียดายที่พออยู่ทางนี้ แค่ซื้อเสื้อผ้าไม่กี่ชุดก็เหลือเงินอยู่ไม่เท่าไรแล้ว ช่วยไม่ได้ คนในเมืองถ่าน่าร่ำรวยกันมากจริงๆ ที่จงหยวนเงินสองอีแปะซื้อซาลาเปาได้หนึ่งลูก แต่มาที่นี่ต้องมีหนึ่งเหรียญเงิน
เมื่อเป็นเช่นนี้ เวลานี้เฉียวเวยจึงอัตคัดมาก ในกระเป๋าเงินมีเหรียญเงินที่ใช้ก้อนเงินแลกมาอยู่ไม่กี่เหรียญเท่านั้น แม้แต่ขาแพะย่างสักขาก็ยังกินไม่ได้
เฉียวเวยจับถุงเงินที่แสนจะอาภัพแล้วตัดสินใจว่าแค่เดินดูก็พอ
เฉียวเวยเดินเล่นอยู่ที่ตลาดพักหนึ่งถึงได้เห็นว่าตรงจุดที่ไว้ปิดประกาศ มีชาวบ้านยืนล้อมกันอยู่เต็มไปหมด ด้วยความอยากรู้จึงเดินตามเข้าไปดู บนแผ่นไม้ปิดประกาศมีภาพเหมือนแปะอยู่ภาพหนึ่ง คนในภาพเป็นบุรุษสวมใส่หน้ากาก อายุยี่สิบกว่าปี รูปลักษณ์หล่อเหลา
“เป็นเขา?” เฉียวเวยลูบคางด้วยความสงสัย
ด้านข้างภาพเหมือนยังมีภาพกำไลอยู่อีกภาพหนึ่ง
ข้างใต้ภาพมีตัวอักษรเขียนอยู่
เฉียวเวยอ่านภาษาชนเผ่าถ่าน่าไม่ออก จึงหันไปถามคนที่อยู่ข้างๆ ว่า “พี่ชายท่านนี้ ข้างบนนั้นคือภาพอะไรหรือ”
ชายคนนั้นบอกว่า “เป็นภาพคนร้าย เมื่อคืนเขาบุกเข้าไปในปราสาทเฮ่อหลันแล้วขโมยเอากำไลอัญมณีที่เหอจั๋วให้จั๋วหม่าน้อยไป ตอนนี้ในชนเผ่าเลยให้รางวัลนำจับเขา ใครที่มีเบาะแสจะให้เงินห้าร้อยเหรียญ คนที่จับตัวเขาได้จะให้สองพันเหรียญ”
สองพัน เงินจำนวนเท่านี้ต่อให้อยู่ในเมืองถ่าน่าก็ยังเป็นจำนวนที่ไม่น้อยอยู่ดี
ท่านตานางช่างใจใหญ่ยิ่งนัก
เฉียวเวยหรี่ตาลงนิ่งๆ ห่างไปไม่ไกล มีทหารองครักษ์ตั้งยกพื้นเล็กๆ ขึ้น ด้านบนมีภาพคนร้ายวางทับกันอยู่ปึกหนา ชาวบ้านสามารถเข้าไปหยิบได้ เฉียวเวยก็ไปหยิบมาด้วยแผ่นหนึ่ง