หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 234-2 ครอบครัวพร้อมหน้า (ปลาย)
ตอนที่ 234-2 ครอบครัวพร้อมหน้า (ปลาย)
ใต้เท้าเจ้าสำนักยกมุมปากที่แดงก่ำของตนขึ้นเป็นรอยยิ้มชั่วร้าย “ดูท่าไม่ให้เขาเจ็บตัวสักหน่อยคงไม่ได้การ อาต๋าเอ่อร์ ตัดนิ้วเขาเสีย! ถ้าไม่ตอบครั้งหนึ่งก็ตัดทิ้งนิ้วหนึ่ง ถามสักเจ็ดแปดครั้งเดี๋ยวก็คงยอมสารภาพเอง”
เฟ่ยจยาพลันตัวสั่นสะท้าน
อาต๋าเอ่อร์เกลี้ยกล่อมว่า “เจ้าสำนัก ทำเช่นนั้นไม่ได้”
เฉียวเจิงพยักหน้าติดๆ กัน ใช่แล้วๆ เด็กสองคนยังอยู่ที่นี่อยู่เลย ถ้าเล่นงานเขาจนเลือดไหลนองเดี๋ยวเด็กๆ จะตกใจเสีย
อาต๋าเอ่อร์บอกว่า “ตัดทิ้งเลยจะเจ็บเกินไป ถ้าเขาร้องแล้วเรียกคนมาทางนี้อีกเดี๋ยวจะไม่เป็นการดี วางยาให้เขาเป็นใบ้ก่อนแล้วค่อยตัดก็แล้วกัน”
เฉียวเจิง “…”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเห็นว่าวิธีการนี้ไม่เลวเลย แต่ที่ตัวเขาไม่มียาพิษที่มีฤทธิ์เช่นนั้นอยู่ เขาจึงหันไปมองทางเฉียวเจิง
เฉียวเจิงขนลุก “มองข้าทำไม ข้าเป็นหมอ! ไม่ใช่นักฆ่า! มือของข้าไว้ใช้รักษาคน! ยาของข้าก็ไว้ทำอาชีพหมอ! ไม่ได้มีไว้ให้พวกเจ้าทำเรื่องเลวร้ายเช่นนี้!” ก่อนจะควักห่อกระดาษห่อหนึ่งออกมา “ครั้งละครึ่งห่อ!”
พูดจบก็หมุนตัวเดินเข้าบ้านไป
อาต๋าเอ่อร์บีบคอเฟ่ยจยาไว้ พอมือสั่นยาทั้งห่อก็ถูกกรอกลงปากเขาไป
เฟ่ยจยาพลันรู้สึกว่าลำคอของตนหมดสิ้นความรู้สึก เขาเอามือจับคอไว้ พยายามเปล่งเสียงพูดแต่กลับไม่มีเสียงใดเล็ดรอดออกมา
ใต้เท้าเจ้าสำนักพอใจมาก “อาต๋าเอ่อร์ ซักเขาต่อ”
อาต๋าเอ่อร์เริ่มรู้สึกเอะใจ แต่ให้คิดตอนนี้ก็คิดไม่ออกว่าเอะใจเรื่องอะไร เขาใช้ขาถีบหัวไหล่เฟ่ยจยา พูดด้วยสีหน้าดุดันว่า “เจ้าเป็นใคร พวกเจ้ามีกันทั้งหมดกี่คน พวกเจ้ามีเป้าหมายอะไรกันแน่ จะพูดไม่พูด ถ้าไม่พูดข้าจะสับเจ้าเป็นชิ้นๆ เวลานี้เจ้าร้องไม่ได้ ต่อให้สับเจ้าจนแหลกละเอียด ก็คงไม่มีใครรู้ ถ้าไม่อยากเจ็บตัวก็รีบพูดมา!”
ในใจเฟ่ยจยากำลังโอดครวญ ข้าโดนกรอกยาพิษจนเป็นใบ้ไปแล้ว จะให้พูดอย่างไร จะให้พูดอย่างไร…
อาต๋าเอ่อร์ “เจ้าสำนัก เขาไม่ยอมพูด”
ใต้เท้าเจ้าสำนัก “สับทิ้ง”
เฟ่ยจยาอยากจะเป็นบ้า!
อีกด้านหนึ่งคนที่ฮาจั่วส่งออกไปหากลับมารายงานด้วยความเคารพว่า “ใต้เท้าฮาจั่ว ข้าน้อยไปสืบดูจนละเอียดแล้ว ข้างหน้ามีแค่กับดักอยู่แห่งหนึ่ง จัดการทำลายทิ้งเรียบร้อยแล้ว เฟ่ยจยาหายตัวไป หมาล่าเนื้อได้รับบาดเจ็บ ดูจากรอยเลือด พวกมันน่าจะพาตัวเฟยจยากลับไปยังถิ่นฐานของมันแล้ว”
ฮาจั่วถามเสียงเย็นว่า “เจ้าไปดูที่ถิ่นฐานของพวกมันมาหรือยัง”
ลูกน้องตอบว่า “ไปมาแล้วขอรับ เป็นกระท่อมหลังเล็กแห่งหนึ่ง ไม่มีอะไรพิเศษ”
ฮาจั่วหรี่ตาอย่างใช้ความคิด “พวกมันมีกันกี่คน”
ลูกน้องรายงานว่า “ถ้านับเด็กสองคนนั้นด้วยก็ไม่เกินห้าคนขอรับ”
ฮาจั่วหัวเราะฮ่าๆ “คนแค่เท่านี้ ขัดขวางทหารกล้าของตระกูลปี้หลัวอย่างพวกเราไม่ได้หรอก! พี่น้องทั้งหลาย ลุย!”
คณะของพวกเขาทั้งสิบเก้าคน เงื้อดาบพุ่งตรงไปทางกระท่อมหลังเล็กแห่งนั้น
เสียงเกือกม้า เสียงร้องตะโกนดังลอยมาอย่างน่าเกรงขาม เฟ่ยจยาที่กำลังจะถูกสับเป็นชิ้นๆ จึงรักษานิ้วของตนเอาไว้ได้ อาต๋าเอ่อร์ถีบเฟ่ยจยาออกไป ตั้งใจฟังอยู่พักหนึ่งแล้วถึงพูดกับใต้เท้าเจ้าสำนักว่า “ทั้งหมดสิบเก้าคน เป็นยอดฝีมือทั้งสิ้น ถ้าต้องประมือกันโอกาสชนะคงไม่มาก”
หากอาต๋าเอ่อร์บอกว่าเป็นยอดฝีมือ ก็คงไม่ใช่คนทั่วไปที่ฝึกวรยุทธ์ แต่เป็นกำลังพลที่เก่งกาจที่สุดของชนเผ่าลึกลับ หากต้องสู้กันขึ้นมาจริงๆ จิ่วโจวลี่ว์ก็ไม่แน่ว่าจะใช้ได้ผล
ทั้งสองร่วมกันวางแผน ตัดสินใจที่จะแบ่งทหารออกเป็นสองเส้นทาง ให้เจ้าสำนักพาเฉียวเจิงขับม้าออกไป อาต๋าเอ่อร์พาเด็กสองคนขึ้นรถม้าหนีไปอีกทางหนึ่ง
เด็กทั้งสองกระโดดขึ้นรถม้ากันอย่างว่าง่าย เจ้าไป๋ทั้งสองกับจูเอ๋อร์ก็กระโดดขึ้นไปด้วย
พออาต๋าเอ่อร์สะบัดแส้พร้อมส่งเสียง รถม้าก็แล่นฝุ่นตลบออกไปทันที
คนของฮาจั่วใกล้จะมาถึงแล้ว ใต้เท้าเจ้าสำนักไม่รู้ไปเอาแรงมาจากไหน คว้าตัวคนข้างๆ ขึ้นไปนั่งบนหลังม้า
เขาขึ้นไปนั่งข้างหน้า สะบัดแส้แล้ววิ่งฉิวหนีไปทางถนนสายเล็กทางตะวันตก
ใต้เท้าเจ้าสำนักเร่งความเร็วจนถึงขีดสุด คนข้างหลังฟุบอยู่บนอานม้า อาเจียนจนน้ำดีแทบจะไหลออกมา
ในใจใต้เท้าเจ้าสำนักสั่นสะท้าน ปล่อยมือหนึ่งมาส่งผ้าเช็ดหน้าให้คนข้างหลัง
เขายื่นมือจะไปรับ
ใต้เท้าเจ้าสำนักใช้หางตาเหลือบมองมืออีกฝ่าย จึงเห็นว่าแขนเสื้ออีกฝ่ายเป็นสีเทาขาว “เจ้าเปลี่ยนชุดตั้งแต่เมื่อไร”
พอพูดจบก็ตกใจเมื่อรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล พอหันไปมองก็พลันตะลึงงัน!
เฉียวเจิงที่คุยกันไว้เล่า เหตุใดจึงเปลี่ยนเป็นเฟ่ยจยาไปได้!
เฟ่ยจยาเองก็แทบอยากจะบ้าเช่นกัน ไอ้คนโรคจิตนี่จะหนีก็หนีไปสิ เหตุใดต้องพาเขามาด้วย ทิ้งเขาไว้รอฮาจั่วอยู่ที่นั่นไม่ได้หรือ เหตุใดจะต้องพาเขาขึ้นมาทรมานบนหลังม้าให้ได้ ท้องไส้เขาสะเทือนแทบจะขาดอยู่แล้ว แทบจะสำรอกออกมาเป็นน้ำดีแล้วด้วย แทบจะเอาชีวิตมาทิ้งอยู่แล้ว…
ฮือๆ… เขาช่างน่าสงสาร…
แน่นอนว่าในใจเฉียวเจิงก็แทบอยากจะเป็นบ้าสุดขีดแล้วเหมือนกัน เขาแค่เข้าไปเก็บสมุนไพรในห้องชั่วแวบเดียวเท่านั้น วิ่งออกมาอีกทีม้าก็วิ่งหายไปแล้ว รถม้าก็ไม่อยู่แล้ว ภายในลานมีแต่ความว่างเปล่า แม้แต่คนที่จะตายแหล่มิตายแหล่ก็พลอยหายไปด้วย
ที่คุยกันไว้ว่าจะหนีไปด้วยกันเล่า!
นี่จะไม่มีสัจจะต่อกันเกินไปหรือไม่!
“เห้ย! พวกเจ้าไปไหนกันแล้วเล่า!”
เฉียวเจิงโอดครวญ
ขบวนของฮาจั่วเดินทางผ่านป่าเข้ามา
เฉียวเจิงตกใจ ค้นถุงผ้าอยู่เป็นนานกว่าจะหามีดผ่าตัดที่คบกริบออกมาได้ สองมือเขากำมีดไว้แน่น จ้องเขม็งไปยังองครักษ์ที่เขยิบใกล้เข้ามาเรื่อยด้วยความระมัดระวังและสั่นสะท้าน
ฮาจั่วดึงบังเหียนไว้แน่น พอยกมือขึ้นทุกคนก็หยุดนิ่ง เรียงแถวเป็นหน้ากระดานอยู่หน้ากระท่อมหลังเล็ก ทุกคนต่างมีสีหน้าเคร่งขรึมพร้อมไอสังหารที่แผ่ออกมา
ฮาจั่วหยิบภาพเหมือนออกมาเทียบดูกับเฉียวเจิง ดูเสร็จก็ส่งภาพนั้นไปให้องครักษ์ที่อยู่ข้างๆ แล้วจึงหยิบคันธนูออกมาจากกระเป๋าม้า เล็งตรงไปที่เฉียวเจิง “บอกมา ผู้ชายคนนั้นกับเด็กสองคนหายไปไหน”
เฉียวเจิงไม่ตอบ
ฮาจั่วดึงสายธนูจนสุด ยิ้มเย็นขณะเอ่ยว่า “ไม่บอกก็ไม่เป็นไร คิดจริงๆ เหรอว่าพวกเราจะหาพวกเขาไม่พบ”
พูดจบก็ปล่อยมือ ลูกธนูวิ่งฉิวออกไป วิ่งโค้งเป็นองศาที่สวยงามอยู่กลางอากาศ ในขณะที่มันกำลังจะพุ่งเข้าปักบนตัวเฉียวเจิงนั้น จู่ๆ ด้านหลังมันก็มีลูกธนูที่วิ่งเร็วยิ่งกว่าไล่ตามมา เสียบทะลุธนูดอกข้างหน้าจนแตกกระจาย!
ฮาจั๋วเลิกคิ้ว เขาหันหลังไปดู แทบจะในชั่วขณะเดียวกัน ธนูอีกดอกก็วิ่งตรงเข้ามาหมายจะเอาชีวิตเขา ฮาจั่วยกดาบขึ้นกัน แต่ด้วยความแรงของธนูดอกนั้น มันจึงทะลุดาบโค้งไปเสียบเข้าที่หัวไหล่ของเขาจนได้รับบาดเจ็บ
ถึงแม้จะบาดเจ็บไม่หนัก แต่อีกฝ่ายแค่ยิงธนูใส่เขาดอกเดียวเท่านั้น ในใจฮาจั่วจึงบังเกิดความระแวดระวังและหวาดหวั่นขึ้นมาทันที
ความหวาดกลัวจากความไม่รู้น่ากลัวที่สุดแล้ว ฮาจั่วยังไม่ทันได้เห็นแม้แต่เงาของอีกฝ่ายก็ถูกธนูดอกหนึ่งเล่นงานอย่างงงงวย เรื่องนี้ทำให้ฮาจั่วไม่กล้าใช้ไม้แข็งกับอีกฝ่าย เขาส่งสัญญาณมือให้ลูกน้องแบ่งกำลังออกเป็นสองส่วน แล้วรุกไล่ไปตามทางที่เจ้าสำนักกับอาต๋าเอ่อร์หนีไป!
เฉียวเจิงเพิ่งมองเข้าไปในป่าที่รกชัด “ใครกัน”
จีหมิงซิวจูงม้าเดินออกมา “ท่านพ่อ ข้าเอง”
เฉียวเจิงดีใจยิ่งนัก “พ่อลูกเขย! เจ้ามาเสียที!”
เฉียวเจิงไม่รู้ว่าจีหมิงซิวมาตามหาเขาเอง ยังคิดว่าใต้เท้าเจ้าสำนักเป็นคนติดต่อเขามา ดังนั้นพอเห็นว่าเป็นเขาจึงไม่รู้สึกแปลกใจสักนิด แต่ความไม่แปลกใจของเฉียวเจิงสำหรับจีหมิงซิวแล้ว กลับเป็นเรื่องที่น่าประหลาดยิ่งนัก แต่นี่ไม่ใช่เวลาจะมาสนใจเรื่องนี้
“ท่านพ่อ พวกเราไปกันเถอะ” จีหมิงซิวช่วยเขาหิ้วถุงผ้าขึ้นมา
เฉียวเจิงคว้าแขนลูกเขยไว้ “เจ้าไม่ต้องสนใจข้า! เจ้ารีบไปหาจิ่งอวิ๋นกับวั่งซู! เมื่อครู่ทหารของเจ้านั่นแบ่งกำลังเป็นสองส่วน ไล่ตามพวกเขาไปแล้ว! แค่ว่า… แค่ว่าข้าก็ไม่รู้ว่าพวกจิ่งอวิ๋นไปกันทางไหน…”
จีหมิงซิวพยักหน้า “เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับจีอู๋ซวงตามไปแล้ว ต้องหาพวกเขาเจอแน่ ท่านวางใจเถิด”
ตั้งแต่ตอนที่จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูขึ้นนั่งบนรถม้าเพื่อหนีไป นกจุยเฟิงก็เปลี่ยนเส้นทางไล่ตามไปแล้ว จีหมิงซิวได้ยินเสียงเฉียวเจิงถึงได้ตามมาดูที่นี่
จีหมิงซิวพาเฉียวเจิงเดินออกไปตามทางที่มาอย่างสง่าผ่าเผย ทหารทั้งสองกองของฮาจั่วมัวแต่จดจ่ออยู่กับการรุกไล่จิ่งอวิ๋นกับใต้เท้าเจ้าสำนัก จึงไม่รู้ว่าใต้เท้าเจ้าสำนักสละม้าไปนานแล้ว คนที่อยู่บนหลังม้านั่นคือเฟ่ยจยาที่ถูกจับมัดไว้ ส่วนทางฝั่งจิ่งอวิ๋นก็ไปรวมตัวกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยและจีอู๋ซวงกันนานแล้ว
ข่าวที่จีอู๋ซวงกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยรับรู้คือมีคนปลอมตัวเป็นจีหมิงซิวมารับตัวเด็กทั้งสองไป ในใจทั้งสองย่อมไม่คิดว่าอีกฝ่ายเป็นคนดีอะไร ชั่วขณะที่ได้เห็นอาต๋าเอ่อร์ จึงพุ่งเข้าสู้กับอาต๋าเอ่อร์โดยไม่มีการพูดพร่ำทำเพลงทันที
พอสู้เสร็จยังพาตัวอาต๋าเอ่อร์กลับไปเจอกับจีหมิงซิวด้วยความยินดียิ่งอีกด้วย
“ท่านพ่อ!”
ซาลาเปาน้อยทั้งสองพอเห็นจีหมิงซิวก็รีบกระโดดลงจากรถม้า โผเข้าหาอ้อมแขนของบิดาตนทันที!
จีหมิงซิวย่อตัวลงไปรับมากอดข้างละคน เขากอดเด็กน้อยทั้งสองไว้แน่น ไม่ผอมลง ดูเหมือนจะอ้วนขึ้นเล็กน้อยเสียด้วย ใจที่กระวนกระวายอยู่ทั้งวันของเขา ในที่สุดก็ได้เบาลงเสียที เขาขยี้ศีรษะเด็กทั้งสองแล้วถามเสียงเบาว่า “ใครกันที่พาพวกเจ้าสองคนมาที่นี่”
วั่งซูตอบเสียงใสว่า “ท่านอารูปหล่อกับท่านปู่อาต๋าเอ่อร์!”
“ท่านอา? ท่านปู่?” จีหมิงซิวดูงุนงงเล็กน้อย เขาหันไปมองทางรถม้า แต่บนรถม้าไม่มีเงาใครอยู่ให้เห็น
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยมองไปรอบๆ “เอ๊ะ? อะไรกัน เมื่อกี้ยังอยู่ตรงนี้อยู่เลย! อาต๋าเอ่อร์! อาต๋าเอ่อร์!”
“ท่านปู่อาต๋าเอ่อร์”
“ท่านปู่อาต๋าเอ่อร์”
ซาลาเปาน้อยตะโกนเสียงดัง
ไม่มีการตอบรับจากอาต๋าเอ่อร์
เขากับใต้เท้าเจ้าสำนักยืนกันอยู่บนเนินเขาสูง เพ่งสายตามองไปทางตีนเขากันเงียบๆ
บนเส้นทางเล็กๆ ตรงตีนเขา ซาลาเปาน้อยทั้งสองขึ้นรถม้ากันไปแล้ว แต่ยังคงเลิกผ้าม่าน ยื่นศีรษะน้อยๆ ออกมาเมียงมองไปทั่ว
อาต๋าเอ่อร์รู้สึกแสบจมูกขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก “พวกเขากำลังมองหาพวกเราหรือไม่”
ใต้เท้าเจ้าสำนักตีหน้าขรึม “เจ้าอัปลักษณ์ขนาดนี้ ใครจะมองหาเจ้า จะหาก็ต้องหาข้านี่”
จีหมิงซิวนั่งอยู่บนหลังม้า ม้าตัวสูงใหญ่เดินไปเอื่อยๆ เขามักรู้สึกว่ามีใครกำลังมองเขาอยู่ พอหันไปดูกลับเห็นเพียงทิวเขาที่ทอดยาวไม่มีที่สิ้นสุดไปจนสุดขอบฟ้า
ฝนห่าใหญ่ค่อยๆ เทลงมาจนเสื้อผ้าเปียกปอน ใต้เท้าเจ้าสำนักยกหมวกขึ้นสวมอย่างเย็นชาแล้วหมุนตัวเดินหายไปท่ามกลางสายฝน