หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 241-2 เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ
ตอนที่ 241-2 เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ
แน่นอนว่า ระหว่างบิดากับบุตรสาว ไฉนเลยจะโกรธกันข้ามวัน แทบจะทันทีที่พ้นมื้อค่ำ ทั้งสองก็กลับมาดีกันดังเก่า พวกเขาหายโกรธกันเร็วกว่าที่จีหมิงซิวคาดเดาไว้มากนัก เรื่องเช่นนี้หากเกิดกับจีหมิงซิว อย่างน้อยต้องมีมึนตึงใส่กันสักสิบวันครึ่งเดือน หากคนที่เดือดดาลเป็นจีซั่งชิง จีซั่งชิงก็คงมึนตึงไปสิบวันครึ่งเดือนเช่นกัน นับไปนับมา เดือนหนึ่งก็ผ่านไปแล้ว
ที่บิดากับบุตรชายเฉยชาใส่กันมานานปี สาเหตุใหญ่เป็นเพราะต่างฝ่ายต่างไม่ยอมลดทิฐิให้กัน
แต่เห็นได้ว่าเฉียวเวยกับเฉียวเจิงไม่มีปัญหาในเรื่องนี้
“แม่ลูกสาว พรุ่งนี้เจ้าอยากกินอะไร” เฉียวเจิงถามขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ คงลืมไปแล้วว่าแม่มดตัวร้ายที่ตะคอกใส่ตนตอนอยู่ในรถม้าเป็นใคร
เฉียวเวยใจกว้าง จึงลืมความไม่พอใจอันน้อยนิดนั่นไปแล้วเช่นกัน “เห็ดที่ครั้งก่อนท่านเก็บมายังเหลืออยู่หรือไม่ เอามาตุ๋นน้ำแกงสักหน่อย ข้าตุ๋นเอง”
เฉียวเจิง “ไม่ต้อง เดี๋ยวข้าทำเอง”
เฉียวเวย “ข้าดีกว่า ท่านพ่อไปพักเถอะ”
“อย่างไรก็มีลูกสาวที่รักข้า เช่นนั้นข้าไปก่อนนะ” เฉียวเจิงลุกเดินกลับห้อง
นายน้อยหมิงที่วางแผนคำพูดไว้เต็มหัว คิดหาวิธีไว้ร้อยแปดพันเก้า เต็มไปด้วยความมั่นใจว่าจะทำให้ทั้งสองกลับมาคุยกันดีๆ ให้ได้ จึงไม่มีโอกาสได้แสดงฝีมือ
…
เพื่อเป็นการปลอบใจที่ไม่ได้กินเนื้อนกอินทรี เฉียวเวยจึงทำอาหารมื้อค่ำแสนอร่อยให้หนึ่งมื้อ – นกพิราบตุ๋นน้ำแดง วั่งซูคนเดียวกินไปเจ็ดแปดตัว เป็นที่พออกพอใจยิ่งนัก
จิ่งอวิ๋นกินไปตัวหนึ่ง ตอนที่อยากหยิบตัวที่สองมากินน ในถาดก็ไม่เหลือกระทั่งขนนกแล้ว
ดูเอาเถิด โตมาด้วยกันกับน้องสาว ไม่ใช่ว่าเขาไม่กิน แต่ไม่มีให้กินต่างหาก
ซาลาเปาน้อยนั่งย่อยอาหารกันอยู่ในห้องพักหนึ่งแล้วจึงกระโดดขึ้นเตียงไปนอนหลับฝันหวาน
ตรงข้ามเตียงมีเก้าอี้ตัวน้อยที่แสนประณีตแขวนอยู่ ซึ่งก็คือที่นอนของสัตว์น้อยทั้งสามตัว
สัตว์น้อยสามตัวทิ้งตัวนอนสบายบนเตียงหรูหลังใหญ่ของตน หลับตาลงก่อนเข้าสู่นิทรารมย์อันแสนหวาน
จีหมิงซิวยังคงทำเช่นเดิม พอเด็กๆ หลับกันไปแล้วก็อ้อมมาที่อีกฝั่งของเตียง เลิกผ้าห่มขึ้นแล้วไถลตัวเข้าไป ดึงตัวนุ่มนิ่มของภรรยาเข้ามาในอ้อมแขน ดมกลิ่นหอมหวานนุ่มนวลตามตัวของนาง ในใจรู้สึกอิ่มเอมยิ่งนัก
เฉียวเวยถูกโอบล้อมไว้ด้วยกลิ่นกายบุรุษที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเขา รู้สึกได้ถึงความสุขใจเช่นกัน นางขยับหาท่าทางที่ตัวเองสบายในอ้อมกอดเขา แล้วจู่ๆ ก็ได้ยินเขาพูดว่า “วันนี้เหอจั๋วพูดคุยกับเจ้าหรือ”
“ท่านเห็น?” เฉียวเวยถาม
“อื้อ” จีหมิงซิวพยักหน้า ตอนแรกเขาก็ไม่ทันสังเกตว่านางกับเหอจั๋วบังเอิญได้พบหน้ากัน แต่พอนกอินทรีทองกลุ่มนั้นบินออกมา เขาไล่ตามนกไป ถึงได้เห็นเฉียวเวยที่เกือบถูกนกอินทรีจู่โจม ทว่าจุดที่เฉียวเวยยืนอยู่ค่อนข้างอับสายตา คนที่ยืนอยู่ตรงจุดอื่นอาจมองไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น
เฉียวเวยนึกย้อนไปแล้วเล่าว่า “ก็ไม่ได้พูดอะไรกันมาก ข้าทักทายเขา เขายังไม่ทันได้พูดอะไรก็มีนกอินทรีทองตัวหนึ่งบินเข้ามา”
พอเล่าถึงตรงนี้ เฉียวเวยก็ทำหน้าจริงจัง “ใช่สิ เรื่องในวันนี้ออกจะแปลกอยู่สักหน่อย”
“เรื่องอะไร” จีหมิงซิวถาม
เฉียวเวยขมวดคิ้ว เอ่ยอย่างใช้ความคิดว่า “ตอนที่นกอินทรีบินมาทางข้า เหอจั๋วดึงตัวข้าไป ท่านว่าเหตุใดเขาถึงต้องทำเช่นนั้น ใช่เพราะเขาคิดว่าข้าเป็นเจ้าตัวปลอมที่ตระกูลปี้หลัวหามาผู้นั้นหรือไม่”
จีหมิงซิวเอาปรอยผมนางขึ้นทัดหู “อาภรณ์ของพวกเจ้าสองคนไม่เหมือนกันเลย จะคิดว่าเจ้าเป็นนางได้อย่างไร”
เฉียวเวยไม่เข้าใจ “เช่นนั้นเหตุใดเขาต้องช่วยข้าด้วย ถึงแม้ข้าไม่จำเป็นต้องให้เขาช่วยก็เถอะ แค่นกอินทรีทองตัวเดียวเท่านั้น ข้าจัดการเองได้”
จีหมิงซิวชะงักไป “เขาคงกลัวว่านกอินทรีทองจะทำร้ายเจ้าเข้ากระมัง”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “ข้าไม่ใช่หลานสาวแท้ๆ ของเขาสักหน่อย นกอินทรีจะทำร้ายถูกข้าหรือไม่เกี่ยวอะไรกับเขาด้วย”
น้ำเสียงฟังดูไม่พอใจ
“เรื่องสายเลือดอะไรเหล่านี้ช่างละเอียดอ่อนนัก คนที่ไม่เคยประสบมาก่อนคงไม่เข้าใจ” ก็เหมือนกับที่เขาเคยไม่รู้มาก่อนว่าจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูเป็นบุตรของตน และตัวเขาเองก็ไม่เคยชอบเด็ก แต่พอได้พบเด็กสองคนนี้ ใจเขามักจะอ่อนยวบโดยไม่รู้ตัว คิดอยากสนิทสนมกับพวกเขา อยากปกป้องพวกเขา แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่เข้าใจว่าตนเองเป็นอะไร “เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ บางทีเหอจั๋วอาจเป็นเหมือนข้าในตอนนั้น ที่ลึกๆ รู้ว่าเป็นเจ้า แค่เพียงตัวเขายังตระหนักไม่ได้เท่านั้น”
เฉียวเวยพยักหน้า พอคิดอะไรได้ก็ส่งเสียงหึหึออกทางจมูก “แต่เขาดีกับนังตัวปลอมนั่นขนาดนั้น หรือว่าเขาไม่รู้สึกว่านางไม่ใช่หลานสาวแท้ๆ ของเขาอย่างนั้นหรือ”
จีหมิงซิวลูบมือเรียวที่อ่อนนุ่มไร้กระดูกของอีกฝ่าย “คนเรานอกจากเชื่อความรู้สึกแล้ว ก็ต้องเชื่อหลักฐานด้วยไม่ใช่หรือ”
เฉียวเวยโอดครวญ “เหตุใดจะให้ท่านตายอมรับถึงได้ยากเพียงนี้”
ยากกว่าให้พ่อเขายอมรับบุตรเสียอีก!
จีหมิงซิวเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “การที่สวรรค์จะมอบหมายภารกิจอันใหญ่หลวงให้ผู้ใดนั้น จำต้องวัดกำลังใจคนผู้นั้นด้วย ให้ทุ่มเทแรงกาย ให้ตัวอดอยาก ให้ร่างกายว่างเปล่า พฤติกรรมยุ่งเหยิง ดังนั้นจิตใจจึงรู้จักอดทน ได้ประโยชน์จากสิ่งที่ไม่เคยได้…”
เฉียวเวยเอามือปิดปากเขา ทำปากมุ่ยเอ่ยว่า “ข้าอยากได้ภารกิจยิ่งใหญ่อะไรนี่หรือ ข้าเพียงอยากได้ผลสองภพแล้วเอาท่านแม่ข้ากลับมาก็เท่านั้น! ชนเผ่าถ่าน่าเป็นอย่างไร ข้าไม่เห็นจะสนใจเลย!”
จีหมิงซิวพูดยิ้มๆ ว่า “ทองก็ไม่สนใจหรือ”
เฉียวเวยกลืนน้ำลาย “ไม่สนใจ”
จีหมิงซิวพูดต่อว่า “ทรัยพ์สมบัติหายากก็ไม่สนใจ”
เฉียวเวยกลืนน้ำลายดังเอื้อก “…ไม่สนใจ”
จีหมิงซิวพึมพำกับตัวเองว่า “เด็ดสมุนไพรผลไม้อะไรบนเกาะมาก็เอาไปขายได้หลายร้อยตำลึงเงินแล้ว ต้นไม้ต้นหนึ่งมีผลไม้ตั้งเป็นร้อยลูก นี่ต้อง…”
เฉียวเวย “สนใจ”
เสียงเล็กเสียงน้อย ขนตาหลุบต่ำ
ยามค่ำคืนพลันมีบรรยากาศแห่งความอบอุ่น
สัตว์น้อยในเก้าอี้แขวนทั้งสามตัวตื่นแล้ว
ตัวที่หนึ่งปิดตา
ตัวที่สองปิดตา
ตัวที่สาม… ตัวที่สามลืมตาโต
ข้าอยากดูให้เต็มตา!
ว่ะฮ่ะฮ่ะฮ่ะฮ่า…
สุดท้ายในท้ายที่สุด สัตว์น้อยทั้งสามก็ถูกโยนออกไปอย่างไร้ปราณี
ท่ามกลางลมหนาว สัตว์น้อยทั้งสามถูกลมพัดจนตัวสั่นเทิ้ม ต้าไป๋กับจูเอ๋อร์มองค้อนเสี่ยวไป๋ตาดุ อยากจะลากเจ้านี้ออกไปตีให้ตายนัก!