หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 255-2 รีดเลือดอย่างโหดเหี้ยม
ตอนที่ 255-2 รีดเลือดอย่างโหดเหี้ยม
หลังจากตกกลางคืน กำลังพลก็ทยอยกลับมายังปราสาทเฮ่อหลัน สมุนไพรที่ควรซื้อก็ซื้อแล้ว ของที่ควรสั่งก็สั่งแล้ว เพราะว่าเฉียวเวยให้ราคาสูง ใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วยาม ร้านค้าก็ทำของออกมาให้ได้ ส่วนพวกเฉียวเจิงก็เก็บของที่จำเป็นต้องใช้กลับมาได้อย่างราบรื่นเช่นกัน
จีหมิงซิวสั่งว่า “หาสถานที่สักแห่งที่จะไม่ถูกคนรบกวน”
ปราสาทเฮ่อหลันจะบอกว่าใหญ่ก็ค่อนข้างใหญ่ แต่ทุกมุมล้วนมีองครักษ์หรือหญิงรับใช้คอยเฝ้าดูอยู่ จะหาสถานที่ซึ่งไม่มีคนรบกวนสักแห่งความจริงแล้วก็ไม่ง่ายนัก
เดินตระเวนรอบหนึ่ง ในที่สุดก็หาเรือนหลังน้อยที่ไม่มีคนอาศัยอยู่นานแล้วแห่งหนึ่งพบ
หญิงรับใช้ที่คอยดูแลเรือนหลังนี้ล้มป่วย คนที่จะมาทำหน้าที่แทนนางยังไม่ทันมารับหน้าที่ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงสะดวกสำหรับจีหมิงซิว
จีหมิงซิวเดินวนภายในเรือนรอบหนึ่ง เดินไปพลางก็มองไปด้วย ก้าวเท้าเดี๋ยวกว้างเดี๋ยวแคบ ปากพึมพำอะไรสักอย่าง ท่าทางลึกลับนัก
เฉียวเวยกับเฮ่อหลันชิงเฝ้าอยู่ที่ประตูทางเข้าเรือน เฉียวเวยเหลือบมองสามีของตนแล้วสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าปอดอย่างไม่เข้าใจ “ท่านแม่ เขากำลังทำสิ่งใด ประเดี๋ยวเดินไปตรงนี้ ประเดี๋ยวเดินไปตรงนั้น เขายังเลือกสถานที่ดีๆ ไม่ได้หรือ”
“เขาเดินตามค่ายกล”
“ค่ายกลอันใด”
“แม่ก็ไม่เข้าใจนักเหมือนกัน”
มารดาของนางยังไม่เข้าใจ นางยิ่งไม่เข้าใจแล้ว เฉียวเวยมองสามีของตนเองอย่างมึนงง แต่ต่อให้ไม่เข้าใจก็รู้สึกได้ว่าเขาร้ายกาจอย่างยิ่ง
เหตุเพราะจีหมิงซิวยืนอยู่หน้าโต๊ะบวงสรวง หันหลังให้เฉียวเวย เฉียวเวยจึงเห็นการเคลื่อนไหวที่มือของเขาไม่ชัด รู้แต่ว่าเขาถือกระบี่อยู่เล่มหนึ่ง แสงจันทร์ตกต้องร่างของเขาทำให้เงาของเขาทอดยาว สายลมรัตติกาลพัดเสื้อคลุมตัวหลวมของเขาให้สะบัดพรึ่บพรั่บท่ามกลางราตรี ไม่ทราบว่าเป็นความรู้สึกลวงหรืออย่างอื่น เฉียวเวยรู้สึกว่าจีหมิงซิวในยามนี้แลดูเหมือนคนแปลกหน้านิดๆ เขาทั้งไม่ใช่อัครมหาเสนาบดีผู้สูงส่งเหนือคนทั้งมวลผู้นั้น แล้วก็ไม่ใช่นายน้อยตระกูลจีผู้คาบช้อนทองมาเกิด เขาราวกับเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่ง เป็นตัวตนอันหยิ่งทะนงเหนือโลกหล้า ลักษณะท่าทางประหนึ่งเทพเซียนผู้หลุดพ้นจากโลกีย์โลกแล้ว
สายตาของเฮ่อหลันชิงจับจ้องอยู่บนแผ่นหลังของจีหมิงซิวตั้งแต่ต้นจนจบ ริมฝีปากแดงยกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มจาง
เฉียวเวยคิดอะไรขึ้นมาได้จึงเกี่ยวนิ้วของมารดาแล้วเอ่ยขึ้นว่า “จริงสิ ท่านแม่ ยังไม่ได้ถามท่านเลยว่าตอนนั้นเหตุใดจึงหมั้นหมายให้ข้า ข้าได้ยินหมิงซิวกับท่านพ่อบอกว่า หลังจากท่านใช้อุบายกับอดีตฮองเฮา ท่านก็บีบนางให้จำเป็นต้องตกลงกับการหมั้นหมายครั้งนี้”
เฮ่อหลันชิงตอบว่า “แม่ก็กลัวว่าพวกสารเลวฝูงนั้นในเผ่าจะจับเจ้ากลับมาน่ะสิ มีหนหนึ่งแม่ไม่ทันระวังบุกรุกเข้าไปในตระกูลจี หลังจากนั้นหน้าอกก็เจ็บปวดอย่างุนแรง แม่รีบปีนออกมา ความเจ็บปวดนั่นก็มลายหายไป แม่รู้สึกว่าประหลาดยิ่งนักจึงลองดูอีกหลายหน แต่ทุกครั้งขอเพียงแม่เข้าไปในตระกูลจีก็จะเจ็บปวดยากจะทานทน แม่ลองโยนพ่อของเจ้าเข้าไป พ่อของเจ้ากลับไม่เป็นไร หลังจากนั้นแม่ก็ลองโยนคนมากมายเข้าไปอีก ผลปรากฏว่าพวกเขาล้วนไม่เป็นอะไรเลย”
สมองของเฉียวเวยผุดภาพมารดาของนางโยนผู้คนเข้าไปในกำแพงบ้านตระกูลจี พริบตานั้นนางก็เหงื่อตก
เฮ่อหลันชิงหรี่ตาลง “แม่ก็เลยคิดว่า หรือตระกูลจีแห่งนี้จะเป็นเขตต้องห้ามของชาวเผ่าถ่าน่า”
เฉียวเวยกะพริบตา “ชาวถ่าน่ามีเขตต้องห้ามด้วยหรือ”
เฮ่อหลันชิงพยักหน้า “ในอดีตเคยมีอยู่ ต่อมาพอย้ายมาอยู่บนเกาะก็ไม่มีแล้ว”
เฉียวเวยเข้าใจในทันที “ท่านแม่สงสัยว่าจุดที่ตระกูลจีตั้งอยู่ก็คือเขตต้องห้ามของชนเผ่าถ่าน่าในอดีต”
เฮ่อหลันชิงครุ่นคิด “ก็ประมาณนั้น สรุปก็คือขอเพียงเจ้าแต่งเข้าไปในตระกูลจีแล้วไม่ออกมาอีก พวกสารเลวฝูงนั้นก็ทำอันใดเจ้าไม่ได้”
เฉียวเวยเคยโกรธเคืองมารดาของนางที่จากไปโดยไม่ลา แล้วยังเงียบหายไปอย่างไร้ข่าวคราว แต่เวลานี้นางเข้าใจความทุ่มเทของนางแล้ว
นางร้องไห้ไม่เป็นไม่ได้หมายความว่านางโศกเศร้าไม่เป็น
พลัดพรากจากกันหลายปี นางเองก็คงใช้ชีวิตอย่างทุกข์ทรมานมากเหมือนกันสินะ
เฉียวเวยกุมมือของมารดาแน่น “มิน่าวรยุทธ์ของไซน่าอิงดีปานนั้นแต่ไม่เคยบุกเข้าไปในตระกูลจีเพื่อ ‘จับตัว’ ข้าเลยสักครั้ง เขาเองก็คงเข้าไปไม่ได้เหมือนกัน แต่…”
พูดมาถึงตรงนี้ เฉียวเวยก็คิดถึงเจ้าคนสวมหน้ากากผู้นั้นขึ้นมา คนผู้นั้นก็เป็นคนบนเกาะเหมือนกันสินะ เหตุใดจึงไปมาตระกูลจีได้อย่างอิสระเล่า
ข้อสงสัยนี้ยังไม่ทันได้คำตอบ ข้อสงสัยอีกประการหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในสมอง “ท่านแม่ ตระกูลขุนนางจำนวนไม่น้อยล้วนมีเขตต้องห้าม แต่ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีเขตต้องห้ามที่เข้าไปแล้วจะไม่สบายตัว อย่างเช่นเขตต้องห้ามของตระกูลเฉียว ที่แห่งนั้นเป็นป่ารกร้างแห่งหนึ่ง ด้านในมีสัตว์ร้ายปรากฏตัวจึงไม่ให้คนเข้าออกเพราะเกรงว่าจะถูกสัตว์ร้ายโจมตี นี่จึงเป็นที่มาของเขตต้องห้ามตระกูลเฉียว เขตต้องห้ามของตระกูลจี ข้ายังไม่เคยเข้าไป แต่ก็ไม่เคยได้ยินว่าเข้าไปแล้วจะเจ็บปวดไปทั้งตัว เหตุใดเขตต้องห้ามของชนเผ่าถ่าน่าจึงแปลกประหลาดเช่นนี้เล่า”
เฮ่อหลันชิงถอนหายใจ “แม่เองก็ไม่เข้าใจนักเหมือนกัน”
นางเพิ่งเอ่ยคำพูดจบ นอกเรือนก็มีสายลมแรงพัดโหม เฉียวเวยเงยหน้าขึ้นมองท้องนภาอันกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด ทันใดนั้นนางก็พบว่าดวงดาราพร่างพราวเต็มท้องนภากับดวงจันทราสว่างไสวเมื่อครู่ไม่รู้ว่าหายไปหมดตั้งแต่เมื่อใด เมฆดำทะมึนบดบังผืนฟ้า ทั่วทั้งเวิ้งนภาคล้ายกับลอยต่ำลงมาหลายส่วน
ไม่นาน สายลมก็โหมกระหน่ำ ใบไม้ถูกพัดส่งเสียงดังแสกสาก
จีหมิงซิวยืนอยู่ระหว่างแสงและเงามืด ตัวเขาคล้ายกับถูกตรึงนิ่ง ไม่ขยับแม้แต่น้อย ตอนที่เฉียวเวยอยากจะถามเขาว่าทำพิธีเป็นเช่นไรบ้าง เขาก็ทำพิธีบวงสรวงเสร็จแล้ว
เขาหมุนตัวกลับมาแล้วเดินมาทางด้านนี้
เฉียวเวยมองจากตรงนี้ รู้สึกเหมือนเขายังไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น ทว่าเมื่อเขาเดินเข้ามาใกล้จึงเพิ่งพบว่าใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ เฉียวเวยลูบหลังคอของเขา แม้แต่เสื้อผ้าก็เปียกโชก
“โอ๊ะ” เฉียวเวยอุทานออกมาด้วยความตกใจ
จีหมิงซิวส่งน้ำมนตร์ให้กับเฮ่อหลันชิง “เอาให้เหอจั๋วดื่ม หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยามก็ให้กินยา ดื่มติดต่อกันสิบวัน พิษไสยเวทก็จะแก้ได้แล้ว”
เฮ่อหลันชิงรับชามมา แล้วยกมุมปากท่าทางคล้ายไม่ใส่ใจ “ได้ ข้าจะให้พวกนางได้เหลือลมหายใจอีกสักสองสามวัน!”
…
“แย่แล้วๆ!”
หญิงรับใช้นางหนึ่งวิ่งโซเซเข้ามาในห้องนอนของธิดาเทพ ธิดาเทพบาดเจ็บหนักเกินไป เรี่ยวแรงจะดื่มยายังไม่มี สตรีศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายเพิ่งหาหนทางกรอกยาให้นางดื่มสำเร็จ ตอนนี้ชามยังไม่ทันเย็นก็มีคนพุ่งเข้ามา
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งหน้าบึ้ง “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
หลิงจือถามหญิงรับใช้ ทันใดนั้นนางก็หน้าถอดสีเดินมาตรงหน้าสตรีศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายแล้วรายงานว่า “เมื่อครู่ได้ข่าวมาว่าพวกเขาจะแก้พิษไสยเวทให้เหอจั๋ว!”
“อะไรนะ” สตรีศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายต่างตกตะลึงอย่างพร้อมเพรียง
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามถามทันควัน “คำพูดนี้จริงหรือ ไม่ได้ฟังผิดใช่หรือไม่!”
หลิงจือส่ายหน้า “ไม่เจ้าค่ะ สายสืบที่พวกเราส่งไปอยู่ข้างตัวพวกเขาบอกว่าของสำหรับพิธีบวงสรวงที่พวกเขาหามาวันนี้พวกนั้นล้วนเป็นของสำหรับแก้พิษไสยเวทของเหอจั๋ว แล้วก็สมุนไพรพวกนั้นก็เป็นของที่ไว้ใช้แก้พิษเหมือนกัน!”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามทำหน้าไม่เข้าใจ “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านไม่ได้บอกว่าวิธีแก้พิษไสยเวทหายสาบสูญไปแล้วหรือ”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งตกตะลึง นางขมวดคิ้วเหมือนขบคิดบางอย่าง “สมควรสาบสูญไปแล้ว…พวกเขาไปรู้วิธีมาจากที่ใด…”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สี่ไม่ปรารถนาให้เรื่องนี้เป็นความจริง จึงเอ่ยว่า “บางทีพวกเขาอาจจะทำไปอย่างนั้น ไม่แน่ว่าจะได้ผล พวกเราอย่าทำตัวเป็นคนแคว้นฉี่กลัวฟ้าถล่มเลยดีกว่า”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งในฐานะผู้มีอาวุโสสูงสุด ความคิดย่อมรอบคอบกว่าคนทั่วไปอยู่มาก นางเอ่ยอย่างจริงจัง “ข้ายอมให้พวกเราเป็นคนแคว้นฉี่กลัวฟ้าถล่มมากกว่า โบราณกล่าวได้ดีนัก ยอมเชื่อว่ามี ดีกว่าเชื่อว่าไม่มี เฮ่อหลันชิงเตรียมตัวมาพร้อม จั๋วหม่าน้อยกับคนกลุ่มนั้นข้างตัวนางก็ล้วนไม่ธรรมดา หากพวกเราประมาทเลินเล่อ สุดท้ายแล้วผู้ที่เสียท่าย่อมเป็นพวกเราเอง!”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามคล้อยตาม “ศิษย์พี่ใหญ่พูดไม่ผิด ระวังถี่ถ้วนหมื่นปีเรือก็ไม่ล่ม ระวังไว้ก่อนอย่างไรก็ไม่ผิด!”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สี่ถูกผู้อื่นเอ่ยแย้ง ในใจก็รู้สึกไม่ชอบใจนัก แต่นางมีคุณสมบัติสู้ศิษย์พี่ทั้งสองไม่ได้ จึงได้แต่ถอนหายใจบอกว่า “ถ้าอย่างนั้น…พวกเราสมควรจะทำอย่างไร ยามนี้ธิดาเทพอ่อนแอเช่นนี้ คงไม่มีหนทางเข้าไปในปราสาทเฮ่อหลันขัดขวางเหอจั๋ว”
เหอจั๋วเอ็นดูธิดาเทพมาตลอด เขาเชื่อถือนางมากกว่าเฮ่อหลันชิงอยู่มาก หากธิดาเทพออกหน้า จะต้องห้ามปรามเหอจั๋วไม่ให้ดื่มยาแก้ของพวกเขาได้แน่นอน
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่ห้าไม่ค่อยเชื่อเท่าใดนัก “ข้าคิดว่าแก้ไปก็ไม่เห็นเป็นอะไร อย่างมากกลับไปก็ใส่พิษไสยเวทให้เหอจั๋วอีกสักหนเท่านั้น!”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งเอ่ยอย่างเย็นชา “เจ้าคิดว่าวันนี้เฮ่อหลันชิงตั้งป้อมระวังเช่นนี้ พวกเรายังจะมีโอกาสลงมืออีกหรือ”
“ถ้าเช่นนั้นจะทำอย่างไรดีเล่า” สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่ห้าถามอย่างกลัดกลุ้ม
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งครุ่นคิดอยู่นานก็กวักมือเรียกหลิงจือ “เจ้าเข้ามา”
หลิงจือเดินเข้ามาหา
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งกระซิบเสียงเบาข้างหูนางสองสามประโยค หลิงจือพยักหน้า “เจ้าค่ะ บ่าวเข้าใจแล้ว บ่าวจดจำไว้แล้ว”
…
เฮ่อหลันชิงกลับมาถึงห้องนอนของเหอจั๋วก็กรอกน้ำมนตร์ทั้งชามใส่ปากบิดา จับกรอกอย่างที่จับกรอกจริงๆ เฉียวเวยมองดูท่านตาของนางตาเหลือก แล้วรู้สึกว่าหากกรอกอีกสักสองสามรอบ ท่านตาของนางคงไม่ต้องแก้พิษแล้ว คงจะได้ตรงไปพบองค์เทพเลย
เฉียวเจิงต้มยาอยู่ในห้องครัว ยาชนิดนี้ต้องต้มน้ำให้เดือดก่อน หลังจากนั้นค่อยเปลี่ยนมาใช้ไฟอ่อนต้มอย่างช้าๆ ต้มจนน้ำในหม้องวดเหลือเพียงหนึ่งชามจึงจะได้ยาในท้ายที่สุด
“ข้าทำเองเจ้าค่ะ ท่านเขย” หญิงรับใช้ในห้องครัวคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมาด้วยเจตนาดี
เฉียวเจิงสะบัดพัดเร่งไฟ แล้วตอบอย่างเกรงใจ “ไม่ต้อง เย็นแล้ว พวกเจ้าไปพักผ่อนกันเถิด”
หญิงรับใช้ทั้งหลายไม่กล้า
เฉียวเจิงจึงบอกว่า “ให้จั๋วหม่าเห็นข้าอยู่กับพวกเจ้าในห้องตามลำพัง นางน่าจะโกรธนะ”
ดวงหน้างามของหญิงรับใช้ทั้งหลายซีดเผือดแล้วเผ่นแน่บออกจากห้องไปทันที
แม้ความผิดโทษฐานละเลยต่อหน้าที่จะหนักหนา แต่การล่วงเกินจั๋วหม่าจุดจบน่าอนาถยิ่งกว่า
เฉียวเจิงหัวเราะ แล้วจึงต้มยาให้พ่อตาต่ออย่างสบายใจ
“นายท่านเฉียว”
เสียงอ่อนโยนเสียงหนึ่งดังขึ้นที่ประตู
เฉียวเจิงหันไปเห็นว่าเป็นนาง จึงถามขึ้นว่า “เจ้าเองหรือ เจ้ามาทำอะไร”
หญิงสาวตอบเสียงเบา “พี่เยี่ยนเก็บสมุนไพรจนได้รับบาดเจ็บ ข้าอยากจะต้มน้ำแกงให้เขาสักหน่อยเจ้าค่ะ”
ตอนที่เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเก็บสมุนไพร เขาถูกพุ่มหนามเกี่ยวเข้าจริงๆ บนหลังมือมีรอยแผลลากยาวอยู่เส้นหนึ่งแต่จัดการแผลเรียบร้อยแล้ว ผู้ฝึกวรยุทธ์ร่างกายแข็งแรงนัก น่าจะไม่เป็นปัญหาอะไรมาก
แม่นางผู้นี้คงอยากฉวยโอกาสใช้ความพยายามเอาใจเยี่ยนเฟยเจวี๋ย
เฉียวเจิงขานอ้อตอบคำหนึ่งแล้วว่า “เจ้าจัดการเองก็แล้วกัน”
หญิงสาวถือไม้เท้าเดินเข้ามาในห้องครัว แล้ววางไม้เท้าพิงไว้กับผนัง นางเดินกะโผลกกะเผลกขยับเท้าเดินหาโสมมาจำนวนหนึ่ง จากนั้นก็หาเนื้อไก่สดใหม่มาหนึ่งถ้วยแล้ววุ่นวายอยู่กับงานของตน
หญิงสาวยิ้มแย้ม “นายท่านเฉียว เย็นเช่นนี้แล้ว ท่านไม่ไปพักผ่อนหรือ ข้าช่วยท่านเฝ้าดีหรือไม่”
“ไม่ต้องหรอก” เฉียวเจิงตอบอย่างไม่นำพา
หญิงสาวใส่วัตถุดิบลงในหม้อ แล้วพูดขึ้นอีก “ข้าจะออกไปข้างนอกสักครู่ นายท่านเฉียวช่วยข้าดูไฟหน่อยนะเจ้าคะ”
“อืม” เฉียวเจิงขานตอบส่งๆ
หญิงสาวถือไม้เท้าเดินกะโผลกกะเผลกออกไป
เฉียวเจิงนั่งอยู่ตรงนั้นได้ประเดี๋ยวหนึ่งก็เริ่มอยากจะเข้าห้องน้ำหน่อยๆ แต่เขาไม่วางใจจะทิ้งหม้อยาไว้ที่นี่ หากรู้ก่อนเมื่อครู่เขาคงไม่ให้หญิงรับใช้สองคนนั้นออกไป
เฉียวเจิงเดินมายืนตรงประตูแล้วชะเง้อมอง เห็นหญิงรับใช้ที่ทำงานปัดกวาดเช็ดถูกคนหนึ่งอยู่ไม่ไกลจึงเรียกนางมาเฝ้าไว้ พลางกำชับว่าอย่าปล่อยให้ไฟดับ อย่าปล่อยให้ไฟแรงเกินไป แล้วก็ห้ามให้ผู้ใดแตะต้องทั้งนั้น
หญิงรับใช้ตอบรับ เฉียวเจิงจึงไปปลดทุกข์
หญิงสาวกลับมายังห้องครัว เห็นหญิงรับใช้ที่ทำงานปัดกวาดอยู่เฝ้าอยู่จึงถามอย่างมีมารยาท “นายท่านเฉียวไปแล้วหรือ”
หญิงรับใช้ตอบว่า “ท่านเขยไปห้องน้ำเจ้าค่ะ”
หญิงสาวยิ้มพลางเดินกะโผลกกะเผลกมาถึงหลังเตา จากนั้นเปิดฝาหม้อออก ตักน้ำแกงออกมาหนึ่งกระบวย “ช่วงนี้ลิ้นข้าไม่รู้รสอะไรเลย เจ้าช่วยข้าชิมหน่อยได้หรือไม่ว่ารสชาติเป็นอย่างไร”
หญิงรับใช้มองนางอย่างลังเล ในใจรู้สึกเลือนรางว่าไม่ค่อยเหมาะสมนัก แต่น้ำแกงโสมหอมเหลือเกิน นางเองก็หิวอยู่บ้างจริงๆ ดังนั้นจึงก้าวเข้าไปรับน้ำแกงโสมมาดื่มหนึ่งคำ รสชาติดียิ่งนัก นางอยากจะดื่มอีก หญิงสาวก็ตักให้นางหนึ่งชามใหญ่อย่างใจกว้าง แล้วยังเพิ่มเนื้อไก่ให้อีกไม่น้อย
หญิงรับใช้ตกอกตกใจเพราะคิดไม่ถึง “นี่…นี่…”
หญิงสาวหัวเราะ “อย่าเกรงใจเลย ข้าต้มมากมายเช่นนี้ พี่เยี่ยนคนเดียวกินไม่หมดหรอก เจ้าค่อยๆ นั่งกินไปเถิด”
หญิงรับใช้กลืนน้ำลาย ในที่สุดก็ยอมรับเจตนาดีของนางมาแล้วนั่งลงหลังเตาไฟ ค่อยๆ กินทีละคำน้อยๆ
นางกินไปๆ ก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยจึงเงยหน้ามองหญิงสาวแวบหนึ่ง หญิงสาวยิ้มอย่างอ่อนโยน นางก็ยิ้มตอบแล้วก้มหน้ากินเนื้อไก่ในชามต่อ
รอยยิ้มของหญิงสาวค่อยๆ จางลง นางถือไม้เท้าแสร้งทำเป็นยุ่งวุ่นวายอยู่ในครัว
“ข้าช่วยท่านดีหรือไม่” หญิงรับใช้ที่คอยทำงานปัดกวาดนางนั้นถาม
หญิงสาวยิ้มอย่างอ่อนโยนยิ่งนัก “ไม่ต้องหรอก พี่เยี่ยนไม่ชอบกินของที่คนอื่นทำ”
ยามนี้นางสวมใบหน้าของเฟิ่งชิงเกออยู่ ยามแย้มรอยยิ้ม ดวงหน้าจึงงามสะคราญ สว่างไสวดุจฤดูใบไม้ผลิ
ไม่เคยมีผู้ใดยิ้มให้ตนเช่นนี้มาก่อน หญิงรับใช้รู้สึกอบอุ่นในใจจึงยิ่งกินเนื้อไม่กี่ชิ้นในถ้วยอย่างเอร็ดอร่อย
หญิงสาวเดินมาถึงหน้าหม้อต้มยาแล้วหันกลับไปมองหญิงรับใช้คนนั้นทีหนึ่ง นางกำลังกินอย่างเพลิดเพลิน ไม่ทันสังเกตว่าตนเข้ามาใกล้หม้อยาแล้ว
หญิงสาวอาศัยร่างกายบังไว้ จากนั้นล้วงผงยาห่อหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ เทใส่ลงในหม้อยาอย่างไม่ทิ้งร่องรอย