หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 257-1 ค้นพบเรื่องใหญ่
ตอนที่ 257-1 ค้นพบเรื่องใหญ่
ค่อนไปทางเหนือของเกาะนิรนาม มีกลุ่มอาคารที่หน้าตาคล้ายวัดอยู่กลุ่มหนึ่ง มีอาคารที่สร้างขึ้นจากหินทั้งหมดสิบสามหลัง ดูเก่าแก่เรียบง่ายแต่ใหญ่โตกว้างขวาง พวกมันก็คือสำนักผู้อาวุโสของชนเผ่าถ่าน่า
สำนักผู้อาวุโสตั้งอยู่บนเขานิรนาม จากอาคารหลังที่หนึ่งเรียงไปจนถึงหลังที่สิบสามก็บรรลุยอดเขาพอดี เมื่อยืนอยู่บนชั้นสูงสุดของอาคารก้มหน้ามองดูก็จะเห็นทิวทัศน์เกินกว่าครึ่งของทั้งเกาะอยู่ในสายตา
“คุณชายหมิงเห็นดวงไฟบนยอดนั่นหรือไม่ มันรวมมุกราตรีขั้นสุดยอดหนึ่งร้อยแปดเม็ดเอาไว้ถึงส่องสว่างเจิดจ้าได้เช่นนั้น ยามพวกเราล่องเรือหลงอยู่ในทะเล ขอเพียงมองหาแสงสีเขียวดวงนี้ก็จะล่องเรือย้อนกลับมาได้”
จีหมิงซิวเงยหน้าขึ้นมองตามนิ้วของผู้อาวุโสใหญ่ก็เห็นแสงสีเขียวบนยอดหอจริงๆ มันเหมือนหยกเปล่งแสงชิ้นหนึ่ง แสงสีเขียวสว่างไสว
เขาเอ่ยชมจากใจจริง “ในชีวิตเพิ่งเคยเห็นภาพที่งดงามอลังการเช่นนี้เป็นหนแรก เรียกได้ว่างดงามมีเอกลักษณ์ยิ่งนัก”
ผู้อาวุโสใหญ่มั่นใจในสิ่งก่อสร้างของสำนักผู้อาวุโสยิ่งนัก ไม่ต้องชมเขาก็ทราบว่าดวงไฟดวงนี้ของตนน่าตื่นตะลึงมากเท่าใด แต่พอถูกคุณชายหมิงชม ไม่รู้ว่าเหตุใด ในหัวใจจึงยังมีความยินดีปรีดาทะลักออกมาอย่างที่ยากจะห้าม
สายตาของเขาจับอยู่บนร่างของจีหมิงซิว อายุเท่าเขาเลยวัยที่จะมองคนจากหน้าตามานานแล้ว แต่คนบางคนก็เกิดมารูปลักษณ์แตกต่างจากคนธรรมดาจริงๆ ความสง่างามของพวกเขาแผ่ซ่านออกมาจากในกระดูก
ผู้อาวุโสใหญ่ไม่เคยสัมผัสความรู้สึกเช่นนี้จากตัวของผู้ใดมาก่อน
“ผู้อาวุโสใหญ่” จีหมิงซิวเห็นผู้อาวุโสมองตนเองแล้วนิ่งงันไป จึงเรียกเบาๆ หนึ่งคำ
ผู้อาวุโสใหญ่ได้สติกลับมาแล้วยิ้มหยันตนเอง เขาอายุปูนนี้แล้วแต่กลับยังมองคนบางคนไม่ออก แม้แต่เหอจั๋วก็ยังเหมือนหนังสือเล่มหนึ่งที่กางอยู่ตรงหน้าเขา ขอเพียงเขาอ่านอย่างอดทนก็จะทราบความคิดในใจของเหอจั๋วทั้งหมด แต่คนหนุ่มผู้นี้ เขากลับมองทะลุจิตใจอีกฝ่ายไม่ได้เลย
ผู้อาวุโสใหญ่เก็บความคิดแล้วเอ่ยว่า “คุณชายหมิงได้รับคำสั่งจากจั๋วหม่าให้ดินทางมาศึกษาตำรา ไม่ทราบว่าต้องการอ่านตำราทางด้านไหนหรือ”
จีหมิงซิวตอบว่า “ต้องการเลือกตำราเกี่ยวกับแต่ละเขตมาสักสองสามเล่มให้จั๋วหม่าน้อยได้เรียนรู้”
ความสัมพันธ์ระหว่างจีหมิงซิวกับเฉียวเวย นอกจากตระกูลไซน่าก็มีเพียงเหอจั๋วกับคนของตำหนักธิดาเทพที่ล่วงรู้ หนนี้เข้ามาในสำนักผู้อาวุโสเขาจึงใช้ฐานะองครักษ์
ผู้อาวุโสใหญ่กล่าวขึ้นว่า “จั๋วหม่าน้อยยังไม่เข้าใจตัวอักษรของเผ่าเราไม่ใช่หรือ จะให้เชิญอาจารย์มาสอนนางหรือไม่”
จีหมิงซิวตอบอย่างมีมารยาท “ไม่จำเป็น ข้าพอรู้อยู่บ้าง ข้าสอนเองจะดีกว่า”
ผู้อาวุโสถามอย่างประหลาดใจ “คุณชายหมิง…รู้ตัวอักษรของเผ่าเราได้อย่างไรกัน” แม้สำเนียงการพูดของพวกเขาจะคล้ายคลึงกัน แต่ตัวอักษรแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
จีหมิงซิวย่อมไม่บอกว่าตนเองเพิ่งเรียนมาสดๆ ร้อนๆ หลังจากมาถึงที่แห่งนี้ แต่ตอบว่า “ตอนจั๋วหม่าอยู่ในจงหยวนเคยทิ้งตำราของชนเผ่าถ่าน่าไว้จำนวนหนึ่ง ข้าจึงมีโชคได้อ่านดูอยู่บ้าง”
ผู้อาวุโสใหญ่คล้ายจะเข้าใจแล้ว “คุณชายหมิงเป็นผู้มีพรสวรรค์เหนือผู้ใดจริงๆ”
ทั้งสองคนคุยกันสักพักก็เดินขึ้นมาบนหอศิลาหลังที่สิบสาม ผู้อาวุโสใหญ่กดกลไกอย่างชำนาญ ประตูศิลาหนาหนักค่อยๆ เลื่อนออกไปสองฝั่งอย่างเชื่องช้า กลิ่นของหินกับไม้ไผ่โถมเข้ามาใส่จมูก ผู้อาวุโสใหญ่พาจีหมิงซิวเดินเข้าไปในหอศิลา
อุณหภูมิด้านในต่ำกว่าด้านนอกอยู่เล็กน้อย อากาศเย็นฉ่ำอยู่นิดๆ
ห้องโถงใหญ่ที่ชั้นหนึ่งว่างโล่ง ผู้อาวุโสใหญ่หยิบไม้เท้าฝังมุกราตรีอันหนึ่งที่ตรงประตู ชูขึ้นคล้ายคบเพลิง นำทางจีหมิงซิวเดินไปจนสุดทางแล้วก้าวขึ้นบันได
เมื่อมาถึงชั้นสอง ทั้งสองคนก็ราวกับอยู่ท่ามกลางทะเลตำราอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่ง
หอตำราลับของตระกูลจีเก็บตำราไว้เกือบหมื่นเล่ม มีเล่มที่ทำจากระดาษ ทำจากผ้าไหม แล้วก็มีเล่มที่ทำจากไม้ไผ่ เล่มที่ทำจากไม้ไผ่ค่อนข้างกินที่ หนึ่งเล่มมักต้องใช้ม้วนไม้ไผ่หนึ่งหีบเขียนบันทึก สรุปก็คือเมื่อรวมทั้งหมดทั้งมวลแล้วตำราลับของตระกูลจีก็วางบนชั้นวางหนังสือได้เต็มหลายร้อยอัน ทว่าที่แห่งนี้ใหญ่เท่ากับหอตำราลับของตระกูลจีสิบแห่ง
ผู้อาวุโสใหญ่เอ่ยอย่างภาคภูมิใจ “ตอนแรกที่พวกเราย้ายมายังที่แห่งนี้ เงินทองแพรพรรณล้วนมิได้นำติดมา มีเพียงตำราเหล่านี้ที่นำมาไม่ขาดสักเล่มเดียว โหราจารย์กล่าวว่า ชนเผ่าถ่าน่าเสียอะไรก็เสียได้ แต่ความรู้ที่สืบทอดกันมาจะเสียไปมิได้ ก่อนมาอยู่ที่เกาะนิรนาม ชนเผ่าถ่าน่าของพวกเราเคยอพยพทั้งหมดเจ็ดหน ไม่เคยทำตำราหายไปแม้แต่เล่มเดียว เห็นใบลานตรงนั้นหรือไม่ นั่นเป็นเนื้อความที่บรรพบุรุษของพวกเราสลักไว้ แต่ใบลานของจริงเน่าเปื่อยไปแล้ว สิ่งเหล่านี้คือของจำลองที่สร้างเลียนแบบมาให้เหมือนของเดิมทุกประการ”
จีหมิงซิวหยิบใบลานใบหนึ่งขึ้นมาดู “จำลองขึ้นมาได้ไม่เลว”
ต้องไม่เลวอยู่แล้ว สิ่งนี้เขาเป็นคนทำจำลองขึ้นมาเองกับมือ ผู้อาวุโสใหญ่รู้สึกว่าความสุขแผ่ซ่านไปทั่วร่าง บนหน้ามีรอยยิ้มขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว “สำนักผู้อาวุโสของพวกเรานอกจากเรื่องงานปกครองแล้ว งานสำคัญที่สุดก็คือการเก็บรักษาและสืบทอดมรดกของชนเผ่าถ่าน่าต่อไป แต่เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าไม่เลว”
จีหมิงซิววางใบลานกลับไปที่เดิม “ที่บ้านของข้ามีตำราลับไม่น้อย บางส่วนเป็นของจงหยวน บางส่วนเป็นของต่างแคว้น ข้าวของจากเหนือจรดใต้ทั่วหล้านับแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน ข้าล้วนเคยได้ยลมาอยู่บ้าง”
ผู้อาวุโสใหญ่ขมวดคิ้ว “เจ้าเป็นองครักษ์ธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้นจริงหรือ”
จีหมิงซิวตอบอย่างสุขุม “แน่นอนว่าไม่ใช่ องครักษ์ธรรมดาจะติดตามอยู่ข้างกายจั๋วหม่าน้อยได้เช่นไรเล่า”
ผู้อาวุโสใหญ่รู้สึกว่าคำพูดของอีกฝ่ายมีความนัยแฝงอยู่
จีหมิงซิวเดินชมทะเลตำราอยู่พักหนึ่งก็ค้นพบว่าชั้นหนังสือส่วนใหญ่ล้วนมีตำราวางอยู่เต็มแน่น นอกจากไม่กี่ชั้นด้านในสุด
เขาถามอย่างฉงน “ผู้อาวุโสใหญ่ ตำราตรงนั้นเหตุใดจึงน้อยถึงเพียงนั้น”
พอเอ่ยถึงเรื่องนี้ ผู้อาวุโสใหญ่ก็ถอนหายใจ “กล่าวไปแล้วก็เป็นโชคร้ายของเผ่าเรา ตอนที่พวกเราอพยพมายังเกาะนิรนาม เคยถูกราชสำนักตามล่าสังหาร มีเรือลำหนึ่งจมลงสู่ก้นทะเล เรือลำนั้นบรรทุกข้าวของจากตำหนักโหราจารย์ หลังเกิดเรื่องโหราจารย์เคยออกทะเลเพื่อตามหาแต่ก็หามิพบ ตำราเหล่านี้เป็นตำราที่โหราจารย์เขียนขึ้นมาจากความทรงจำระหว่างที่เขายังมีชีวิตอยู่ น่าเสียดายเขียนได้ไม่เท่าไรเขาก็ลาจากโลกไปเสียก่อน”
จีหมิงซิวเดินเข้าไปหยิบตำราไม้ไผ่ม้วนหนึ่งขึ้นมาอ่าน “สรรพสิ่งมีวิถีของตน วิถีธรรมะ วิถีอธรรม วิถีทุรชน วิถีมาร…”
ผู้อาวุโสมองเขาอย่างตกตะลึง “เจ้าอ่านภาษาเยี่ยหลัวออกด้วยหรือ”
จีหมิงซิวเองก็ตกตะลึงเล็กน้อยเช่นกัน “นี่คือภาษาเยี่ยหลัวหรือ”
ผู้อาวุโสใหญ่ตอบ “ถูกต้องแล้ว นับตั้งแต่โหราจารย์จากโลกไป ในเผ่าก็ไม่มีผู้ใดเข้าใจภาษาเยี่ยหลัวอีก แม้แต่พวกเราในสำนักผู้อาวุโสก็อ่านออกเพียงน้อยนิด”
จีหมิงซิวเอ่ยว่า “บ้านของข้ามีตำราที่มีตัวอัษรเช่นนี้อยู่ไม่น้อย แต่ข้าไม่ทราบมาก่อนว่ามันคือภาษาเยี่ยหลัว”
จีหมิงซิวเคยได้ยินเรื่องราวของแคว้นเยี่ยหลัวมาก่อน เล่ากันว่าก่อนที่ราชวงศ์เทียนฉี่จะรวมใต้หล้าเป็นหนึ่ง เคยมีชนเผ่าที่เก่งกาจอย่างยิ่งเผ่าหนึ่ง คนในเผ่าบางคนมีพละกำลังมหาศาลแต่กำเนิด บางคนมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดเป็นพรสวรรค์ติดตัว ระหว่างการรบกับเผ่าอื่น แคว้นเยี่ยหลัวใช้พลังที่สวรรค์ประทานให้พวกเขากำราบหนึ่งร้อยแปดเผ่าของแดนเหนือ ก่อตั้งแคว้นเยี่ยหลัวของพวกเขาขึ้นมา
หลังจากนั้นเจ้าแคว้นเยี่ยหลัวก็ทะเยอทะยานมากขึ้น เขาเริ่มบุกโจมตีเก้าแคว้น สุดท้ายก็ก่อตั้งราชวงศ์เทียนฉี่