หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 259-1 กลั่นแกล้งตำหนักธิดาเทพ
ตอนที่ 259-1 กลั่นแกล้งตำหนักธิดาเทพ
เฉียวเวยถูกปิดตาพาขึ้นรถม้าคันหนึ่ง รถม้าส่ายโคลงเคลง เลี้ยวไปเลี้ยวมาอยู่หลายหน เริ่มแรกยังได้ยินเสียงสายน้ำไหลอยู่ ต่อมาก็ไม่ได้ยินเสียงใดทั้งสิ้น ไม่รู้ว่าเดินทางมานานเท่าใด ในที่สุดรถม้าก็หยุด
ม่านรถถูกเลิกเปิด แม้ดวงตาจะถูกผ้าปิดไว้ แต่ก็สัมผัสได้ว่าแสงด้านนอกจ้ามากขึ้น
มีคนประคองแขนเฉียวเวยพานางเดินลงจากรถม้า
“ระวังธรณีประตู” คนผู้นั้นเอ่ยบอก
เฉียวเวยยกเท้าก้าวข้ามธรณีประตู
“บันได” คนผู้นั้นเตือนอีก
เฉียวเวยก้าวขึ้นบันไดอย่างเชื่องช้า
ฝั่งนี้เห็นชัดว่ามีเสียงคนอยู่มาก ทั้งหมดเป็นเสียงของผู้หญิง
ในที่สุดเฉียวเวยก็ถูกพาเข้ามาในห้องแห่งหนึ่ง
“เจ้าน่ะ อยู่ที่นี่อย่างสงบเสงี่ยมไปเถิด”
เสียงเสียดสีค่อนแคะของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามดังขึ้น
เฉียวเวยนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะนุ่มนิ่ม อุณหภูมิของเกาะกลางทะเลไม่ต่ำ ไม่มีฤดูหนาว แต่พื้นก็ยังคงวางระบบทำความอุ่นไว้ เวลานั่งลงไปรู้สึกอบอุ่น ความสุขสบายเช่นนี้น่ากลัวว่าคนทางใต้ของต้าเหลียงคงคิดไม่ถึง
“ให้ข้านั่งเฉยๆ หรือไร ไม่ยกขนมกับน้ำมาด้วยเล่า” เฉียวเวยถามเย้าแหย่
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสามหัวเราะหยัน “เจ้ายังกล้ากินอีกหรือ ไม่กลัววางยาพิษสังหารเจ้าหรืออย่างไร”
เฉียวเวยยิ้มเย็นชา “วิธีวางยาพิษมีอยู่มากนัก ไม่แน่ว่าจะต้องอาศัยของกินเท่านั้น ต่อให้ข้าไม่กินไม่ดื่ม พวกเจ้าจะไม่มีวิธีวางยาพิษข้าหรืออย่างไร”
คนปกติยามตกเป็นนักโทษ ไม่ว่าผู้ใดล้วนตื่นตระหนกแทบตาย สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามเห็นสภาพไม่อนาทรร้อนใจสักนิดของนางแล้วชิงชังนัก นางรู้สึกเหมือนตนเองต่อยหมัดลงบนก้อนปุยฝ้าย ไร้เรี่ยวแรงจนเพลิงโทสะสุมอก
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามคว้าคอเสื้อของนาง “แม่เจ้าสังหารศิษย์พี่รองของข้า หนี้หนนี้ ช้าเร็วข้าต้องทวงคืน หากเข้าใจสถานการณ์ก็อยู่อย่างสงบเสงี่ยมเสีย ไม่เช่นนั้นอย่าโทษที่ข้าเอาหนี้หนนี้มาคิดบัญชีบนหัวของเจ้า!”
ใบหน้าของเฉียวเวยไม่มีสีหน้าหวาดกลัวแม้แต่น้อย นางถอนหายใจอย่างเศร้าๆ “แต่เดิมข้าเพียงรู้สึกอับอายขายขี้หน้าแทนพวกเจ้าเท่านั้น ตอนนี้ได้ยินคำพูดของเจ้า ข้ากลับรู้สึกเศร้าสังเวชใจแทนพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้ากลัวแม่ของข้ามากเท่าใดกันถึงกลัวจนมีสภาพเป็นเช่นนี้ พูดถึงลำดับอาวุโส เจ้ากับแม่ของข้าถึงเป็นคนรุ่นเดียวกัน แม่ของข้าต่างหากที่เป็นคู่ต่อสู้ของเจ้า แต่เจ้าสู้แม่ข้าไม่ได้จึงมาหาความรื่นเริงของชัยชนะจากข้า หากข้าเป็นเจ้า คงเอาหัวโขกกำแพงตายไปนานแล้ว!”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามโกรธจัด “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าจะฉีกปากของเจ้า!”
เฉียวเวยเลิกคิ้วเรียวขึ้นนิดๆ “เจ้ามีแรงฉีกปากข้า ไม่สู้เอาแรงไปฝึกวรยุทธ์ให้ดีๆ ทำเช่นนี้วันหน้าสู้กับแม่ของข้าจะได้ไม่แพ้อย่างน่าสมเพชนัก”
“เจ้า…”
เฉียวเวยเอ่ยต่ออีกว่า “ความจริงเจ้าแพ้ก็ไม่มีอะไรหนักหนา ข้าได้ยินว่าบนเกาะไม่มีผู้ใดสู้แม่ของข้าได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าแพ้ก็ไม่ผิด อย่างไรเสียก็แพ้ให้กับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งคนหนึ่ง อ้อ ขออภัยด้วย ข้าพูดผิดแล้ว เจ้ายังไม่มีคุณสมบัติเป็นคู่ต่อสู้ของแม่ข้าหรอก”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามถูกเฉียวเวยทำให้โมโหจนหัวใจเต้นโครมๆ นางเงื้อมือขึ้นอยากจะสั่งสอนแรงๆ สักที ทว่าทันใดนั้นเองเสียงใสเย็นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นที่ประตู
“หยุดเดี๋ยวนี้”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามหันกลับไปเห็นศิษย์พี่ใหญ่ก็รีบวางมือลง แล้วย่อกายคำนับ ทักทายด้วยสีหน้านอบน้อม “ศิษย์พี่ใหญ่มาแล้ว”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งแผ่ความน่าเกรงขามออกมา “เจ้าถอยออกไป”
“เจ้าค่ะ” สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามขานรับอย่างไม่ใคร่จะยินดีแล้วถอยหลบไปด้านข้าง
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งหันกลับไปมองนาง แพขนตาของนางสั่นไหว จากนั้นจึงถอยออกจากห้องไป
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งสะบัดแขนเสื้อกว้าง ซัดสายลมสองสายออกมาปิดบานประตู หลังจากนั้นสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งจึงถอดผ้าปิดตาให้เฉียวเวย น้ำเสียงน่าเกรงขามที่ยังแฝงความอ่อนโยนเอ่ยขึ้นว่า “สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสามโมโหง่ายไปสักหน่อย ทำเจ้าลำบากแล้ว”
เฉียวเวยเอ่ยอย่างขบขัน “นี่จะเล่นบทอะไร ศิษย์น้องของเจ้าเกือบฆ่าข้าตาย ส่วนเจ้ากลับเข้ามาปลอบข้า นี่คือกลยุทธ์ตบหนึ่งฝ่ามือ ให้พุทราหวานหนึ่งลูกในตำนานหรือเปล่า”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งเอ่ยขึ้นว่า “สาวน้อย นางยังไม่ทันทำร้ายเจ้าเลยสักนิด”
เฉียวเวยยิ้มเย็นชา “นั่นเพราะว่าข้าโชคดี หนแรกได้อี้เชียนอินขวางไว้ หนที่สองได้เจ้าขวางไว้ แต่หากข้าโชคร้ายสักหน่อย สองฝ่ามือนั่นคงตบลงบนหน้าของข้าแล้ว ข้าคงจะเสียโฉมไปแล้วกระมัง เฮ้อ เจ้าบอกว่าพวกเจ้าล้วนแต่เป็นตัวแทนขององค์เทพ เป็นธิดาเทพผู้ช่วยเหลือสรรพชีวิต เหตุใดจึงโหดร้ายกับคนบริสุทธิ์คนหนึ่งเช่นนี้เล่า ข้าถามตัวเองดูแล้วข้าเพิ่งจะมาที่เกาะได้ไม่นาน เหมือนจะไม่เคยทำเรื่องที่ผิดต่อตำหนักธิดาเทพของพวกเจ้ามาก่อน”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งกล่าวว่า “ศิษย์น้องสามถูกข้าตามใจจนนิสัยเสีย ล่วงเกินไปบ้าง ขอจั๋วหม่าน้อยอภัยด้วย”
คำเรียกขานเปลี่ยนจากสาวน้อยเป็นจั๋วหม่าน้อยแล้ว นางจิ้งจอกเฒ่าจะปล่อยท่าไม้ตายแล้วสินะ
ดวงตาของเฉียวเวยทอประกายวูบหนึ่ง แต่ตอบด้วยสีหน้าปกติ “ความจริง พวกเจ้าอยากพบข้า บอกข้าสักคำก็พอ ไม่เห็นจำเป็นต้องใช้วิธีที่ไม่เป็นมิตรเช่นนี้ เจ้าว่าอย่างไรเล่า”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งหิ้วกาน้ำชาขึ้นมา “ข้าก็เพิ่งทราบว่าศิษย์น้องสามทำเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ จึงตั้งใจมาขออภัยจั๋วหม่าน้อย”
เจ้าเพิ่งรู้ก็แปลกแล้ว เรื่องใหญ่โตขนาดนั้น เจ้าตาบอดหูหนวกหรือ พูดเสียน่าฟังยิ่งกว่าร้องเพลงจริงๆ
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งรินน้ำชาร้อนถ้วยหนึ่งให้เฉียวเวย
เฉียวเวยยกถ้วยชาขึ้นจิบนิดๆ นางไม่กลัวคนวางยาพิษในน้ำชา อย่างไรเสียวิธีวางยาพิษก็มีมากมายเหลือเกินจริงๆ ต่อให้นางไม่กินไม่ดื่ม ผู้อื่นก็ยังมีหนทางลงมือสำเร็จอยู่ แทนที่จะเป็นเช่นนั้นมิสู้รับอย่างเปิดเผย
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งเห็นนางดื่มชาของตนอย่างไม่ถือสาสักนิดก็ยิ้มน้อยๆ “จั๋วหม่าน้อยใจกว้างยิ่งนัก”
เฉียวเวยจึงตอบว่า “น่าจะบอกว่าข้าใจกล้ามากถึงจะถูก ความใจกว้าง ข้าไม่มีหรอก ศิษย์น้องของเจ้าทำเช่นนั้นกับข้า หนี้หนนี้ข้าจำไว้แล้ว”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งคลี่ยิ้ม “จั๋วหม่าน้อยน่าสนใจกว่ามารดาของเจ้ามาก”
เฉียวเวยไม่ตอบนาง แต่กลับถามว่า “สามีของข้าเล่า”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งตอบเสียงอ่อนโยน “นายน้อยตระกูลจีสบายดีทุกอย่าง จั๋วหม่าน้อยไม่จำเป็นต้องกังวล”
เฉียวเวยแกว่งถ้วยในมือ “พวกเจ้าจับข้ามาต้องการจะทำอะไรกันแน่”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งตอบสีหน้าอ่อนโยน “มีเรื่องเข้าใจผิดบางอย่างต้องการชี้แจงให้จั๋วหม่าน้อยเข้าใจเท่านั้น”
เฉียวเวยดื่มน้ำชาใสอีกคำ “เจ้าพูดมาเถอะ จั๋วหม่าน้อยคนนี้ล้างหูรอฟังอยู่”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งกล่าวอย่างแฝงความนัย “ตำหนักธิดาเทพของข้ากับปราสาทเฮ่อหลันเป็นมิตรที่ดีต่อกันมาหลายร้อยปี มีความสัมพันธ์กลมเกลียวอย่างยิ่งมาตลอด ตำหนักธิดาเทพเคารพเหอจั๋ว เหอจั๋วก็ปฏิบัติต่อธิดาเทพอย่างดี สองฝ่ายใกล้ชิดเสมือนครอบครัว เป็นบุญของทั้งเกาะ”
มือของเฉียวเวยที่ถือถ้วยอยู่ชะงัก แล้วยิ้มอย่างห้ามตนเองไม่ได้ “ไม่ทราบว่าใกล้ชิดเสมือนครอบครัวที่สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งพูดหมายความว่าอย่างไร เรื่องที่เอาคนมาวางยาพิษท่านตาข้า หรือเรื่องที่ส่งคนมาทำลายยาแก้พิษของท่านตาข้าเล่า”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งรินชาให้ตนเองหนึ่งถ้วย “เรื่องที่จั๋วหม่าน้อยพูด ข้าไม่ค่อยเข้าใจนัก”
เฉียวเวยถอนหายใจ “เจ้าดูเจ้าสิ อยากจะซื้อใจข้า แต่กลับไม่พูดความจริงกับข้า เจ้าจะให้ข้าเชื่อใจพวกเจ้าได้อย่างไร”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งชะงัก เอ่ยขึ้นว่า “เรื่องของเหอจั๋ว เป็นเพียงความเข้าใจผิดเท่านั้น”
เฉียวเวยขำ “เข้าใจผิดหรือ คนฆ่าหมูแต่เดิมมีหน้าที่ฆ่าหมู แต่กลับฆ่าคนตาย เขาจะอ้างว่าตัวเองเข้าใจผิดได้หรือ”
ถึงกับเอาธิดาเทพไปเปรียบกับหมูตัวหนึ่ง ขมับของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งปูดนูนขึ้นมาทันใด เกือบจะรักษาสีหน้าไว้ไม่ได้
เฉียวเวยเอ่ยต่อเสียงราบเรียบ “เรื่องดำเนินมาจนถึงตอนนี้แล้ว เจ้ากับข้าเปิดอกพูดความจริงกันดีกว่า เพราะไม่ว่าเจ้าจะยอมรับหรือไม่ ข้าก็รู้ความจริงแล้ว แล้วข้าก็ไม่จำเป็นต้องหาข้อพิสูจน์จากปากของเจ้า เรื่องที่ข้าเชื่อ ไม่ว่าเจ้าจะปฏิเสธอย่างไร ข้าก็ยังจะเชื่ออยู่ดี”
ในที่สุดสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามจึงโมโหจนจะลงไม้ลงมือกับนางอยู่หลายหน สาวน้อยคนนี้ปากคอเราะรายจนทำให้คนโมโหตายได้จริงๆ
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งสูดหายใจลึกสองสามหนเพื่อสงบอารมณ์แล้วเอ่ยต่อว่า “ดูท่าจั๋วหม่าน้อยจะไม่เชื่อถือตำหนักธิดาเทพอย่างยิ่ง เรื่องนี้ทำให้คนรู้สึกอยุติธรรมจริงๆ ตำหนักธิดาเทพจงรักภักดีต่อตระกูลเฮ่อหลันมาหลายร้อยปี จั๋วหม่าน้อยทราบหรือไม่ แต่เดิมตำแหน่งเหอจั๋วไม่ใช่ของตระกูลเฮ่อหลันของพวกท่าน แต่เพราะได้ตำหนักธิดาเทพสนับสนุน ตระกูลเฮ่อหลันถึงแย่งชิงอำนาจหัวหน้าเผ่ามาได้สำเร็จ กล่าวได้ว่าหากไม่มีตำหนักธิดาเทพ ตระกูลเฮ่อหลันก็ไม่มีตำแหน่งอย่างในวันนี้”
เรื่องนี้เฉียวเวยไม่เคยได้ยินใครบอกมาก่อน แต่ถึงอย่างนั้นแล้วอย่างไรเล่า เรื่องเก่าตั้งแต่แปดร้อยปีก่อนแล้ว มีความดีความชอบช่วยสนับสนุนตระกูลเฮ่อหลันขึ้นครองตำแหน่งนิดหน่อยแล้วจะมาทำร้ายทายาทตระกูลเฮ่อหลันหลายร้อยปีให้หลังได้หรือ
เฉียวเวยยิ้มหยัน “พวกเจ้าเหตุใดไม่ลองคิดดูว่า หากไม่มีตระกูลเฮ่อหลันสนับสนุนพวกเจ้า พวกเจ้าจะมาแทนที่ตำแหน่งของตำหนักโหราจารย์ได้หรือ พูดไปแล้ว ต่างฝ่ายต่างก็ฉกฉวยสิ่งที่ตนเองต้องการ อย่ามาพูดเหมือนพวกเจ้าสูงส่งไร้ความเห็นแก่ตัวมากมายนักเลย”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งพบว่าตนกำลังถูกเฉียวเวยจูงจมูกอยู่ แต่เดิมนางอยากจะใช้พระเดชพระคุณให้เฉียวเวยตระหนักถึงความดีความชอบกับความสำคัญของตำหนักธิดาเทพ จากนั้นจะได้วาดภาพอันยิ่งใหญ่ให้เฉียวเวยคาดหวังต่อตำหนักธิดาเทพและต่ออนาคตของตนเอง แต่จุดสำคัญที่เฉียวเวยจับใจความได้กลับไม่เคยใช่จุดที่นางอยากสื่อสาร!
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งกำถ้วยในมือแน่น “ไม่ว่าอย่างไร ตำหนักธิดาเทพก็สนับสนุนตระกูลเฮ่อหลันมาหลายปี ตรากตรำลำบากมีความดีความชอบ จั๋วหม่าน้อยกับจั๋วหม่ากลับวางแผนจะเข่นฆ่าสังหารตำหนักธิดาเทพให้สิ้นซาก นี่จะไม่ใช่ถอดโม่ฆ่าลาหรือไร”
เฉียวเวยดื่มชาในมือหมดก็รินอีกถ้วยอย่างไม่เกรงใจสักนิด “ผู้ใดจะเข่นฆ่าสังหารพวกเจ้าให้สิ้น แม่ข้าเพียงเห็นพวกเจ้าขัดหูขัดตาเท่านั้น จะว่าไปแล้วแม่ข้าก็เห็นผู้คนมากมายขัดหูขัดตา นางเคยวางเพลิงเผาปราสาทเฮ่อหลัน ท่านตาของข้าเหตุใดจึงไม่บอกว่านางจะเข่นฆ่าสังหารตระกูลเฮ่อหลันให้สิ้น แล้วยังมีตระกูลไซน่า แม่ของข้าก็เคยก่อเรื่องมาก่อน ผู้อื่นเหตุใดจึงไม่บอกว่ามารดาของข้าจะกำจัดพวกเขาให้สิ้นซาก มีคำพูดประโยคหนึ่งกล่าวไว้ว่าอย่างไรนะ ในใจมีมาร ทุกคนล้วนเป็นมาร ในใจมีพระพุทธ ทุกคนล้วนเป็นพระพุทธ แม่ของข้าเคยทำตัวอันธพาลไปทั่วทุกที่ แต่พอมาเกิดกับพวกเจ้ากลับกลายเป็นหมายจะเข่นฆ่าสังหารให้สิ้น พวกเจ้าเป็นวัวสันหลังหวะเองใช่หรือเปล่า”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งบีบถ้วยจนข้อนิ้วกลายเป็นสีขาวอยู่เลือนราง “พวกเราเป็นวัวสันหลังหวะเรื่องอะไร”
เฉียวเวยตอบเหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราว “เรื่องนั้นต้องถามตัวพวกเจ้าเองแล้ว ข้าไม่ใช่คนตำหนักธิดาเทพของพวกเจ้าเสียหน่อย จะไปรู้ได้อย่างไรว่าพวกเจ้าเคยทำเรื่องอะไรบ้างที่ไม่อาจให้ผู้คนเห็น”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งโกรธจนตัวเริ่มสั่นเทา “จั๋วหม่าน้อย ระวังคำพูดด้วย”
เฉียวเวยเหมือนไม่รู้ว่านางโกรธตนเองจนแทบตายแล้ว นางพูดอย่างสบายใจ “ท่านตาของข้าใช้ชีวิตสง่าผ่าเผยมาทั้งชีวิต เบื้องบนมิผิดต่อฟ้าดิน เบื้องล่างมิผิดต่อประชาชน ดังนั้นเขาจึงไม่เคยกังวลว่าจะมีผู้ใดต้องการชีวิตของเขา ตระกูลใหญ่ทั้งหลายก็เป็นเช่นนี้ พวกเขาไม่เคยทำเรื่องผิด แล้วไยต้องกลัวคนข้างกายล้างแค้น พวกเจ้ามักจะบอกว่ามารดาของข้าต้องการเข่นฆ่าสังหารพวกเจ้าให้สิ้น ถ้าอย่างนั้นข้าขอถาม มารดาข้าเหตุใดต้องทำเช่นนั้น พวกเจ้าคิดเช่นนี้คงเป็นเพราะพวกเจ้ามีเหตุผลเพียงพอให้ผู้อื่นมาเข่นฆ่าสังหารให้สิ้นเสียกระมัง”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งมือสั่น ทำน้ำชาในมือหกคว่ำ