หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 26 รวยเละ
คนกลุ่มนั้นไล่ตามมาล้อมรถม้าเอาไว้ รถม้าคันนี้ดูจากภายนอกไม่มีจุดใดสะดุดตาแม้แต่น้อย ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เห็นคนในรถอยู่ในสายตา บุรุษหน้าแผลเป็นที่เป็นหัวหน้าตวาด “คนด้านในจงฟังให้ดี ส่งผู้หญิงโสโครกคนนั้นออกมาเสีย! มิฉะนั้น อย่าโทษว่าท่านปู่คนนี้ของเจ้าไม่เกรงใจ!”
คนขับรถโมโห “คิดจะทำอันใด พูดกับคุณชายของเราเช่นนี้ได้เช่นไร มาเรียกตัวเองว่าเป็นปู่ของคุณชาย! ข้าว่าพวกเจ้าคงมีชีวิตอยู่จนเบื่อหน่ายแล้ว!”
สำเนียงของคนขับรถฟังดูก็รู้ว่าเป็นสำเนียงของเมืองหลวง คนในเมืองหวั่นเกรงคนเมืองหลวงอยู่บ้าง แต่ไม่รวมสถานการณ์เช่นนี้ ในฐานะแม่ทัพผู้เก่งกล้าอันดับหนึ่งในสังกัดของอู๋ต้าจิน เขาดันถูกแม่นางน้อยผู้หนึ่งแทงจนบาดเจ็บ หากเล่าลือออกไป พวกพี่น้องคงหัวเราะจนฟันร่วง!
วันนี้ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องกู้หน้าคืนมาให้ได้ ผู้ใดกล้าปกป้องสตรีนางนั้น ผู้นั้นต้องมีเรื่องกับพวกเขา!
ดวงตาของบุรุษหน้าแผลเป็นแดงก่ำเฉกเช่นเดียวกับคราบเลือดบนหัวไหล่ของเขา “ข้าจะถามเป็นครั้งสุดท้าย จะส่งมาหรือไม่”
เรื่องดำเนินมาจนถึงตอนนี้ เฉียวเวยจึงอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว ความตั้งใจแรกที่นางกระโดดขึ้นรถม้ามาก็เพื่อหวังจะใช้รถม้าหนีไปจากที่นี่ ไม่ได้คิดจะลากอีกฝ่ายมาโชคร้ายด้วยสักนิด
นางก้มตัวเลิกผ้าม่านกำลังจะเดินออกไป บุรุษที่อยู่ด้านข้างพลันเอ่ยปากว่า “มีความสามารถ ก็มาเอาเอง”
บุรุษหน้าแผลเป็นได้ฟังคำนี้ก็ทราบว่าอีกฝ่ายกำลังท้าทาย ความเจ็บปวดที่บาดแผลทำให้เพลิงโทสะของเขาลุกโชนจนถึงขีดสุด เขาชักมีดสั้นพุ่งเข้าใส่รถม้า
พี่น้องทั้งหลายเห็นเขาเริ่มโจมตีจึงพากันแห่เข้ามาด้วย เสียงตะโกนโหวกเหวก เสียงชนกระแทก เสียงกรีดร้องของคนเดินเท้าสับสนปนเป ถนนทั้งเส้นอลหม่านในพริบตา
ทว่าสิ่งที่ทำให้ทุกคนคิดไม่ถึงก็คือพวกเขายังไม่ทันแตะรถม้าก็ถูกพลังประหลาดสายหนึ่งกระแทกออกมา เงาดำร่างหนึ่งเสมือนดั่งเงาลวง ใช้ความเร็วอันน่าเหลือเชื่อซัดคนสิบกว่าคนลงไปกองกับพื้นจนลุกไม่ขึ้น
เฉียวเวยขวางอยู่หน้าบุรุษผู้นั้น มือถือม้านั่งตัวหนึ่งตั้งท่าจะ ‘สู้ตาย’ แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังระงม นางรีบยื่นมือข้างหนึ่งออกไปเลิกผ้าม่าน จึงเห็นบุรุษที่ ‘ไล่สังหาร’ นางกลุ่มนั้นนอนระเกะระกะอยู่บนพื้นทั้งหมด
นี่ นี่ผู้ใดทำ ฝีมือดีเกินไปแล้วกระมัง
เฉียวเวยมองไปทางเด็กหนุ่มที่ซัดพวกเขาจนหมอบ เด็กหนุ่มหันกายกลับมาเผยให้เห็นดวงหน้าเกลี้ยงเกลาดวงนั้น เฉียวเวยเบิกตาโต “สือชีหรือ”
หากคนผู้นั้นคือสือชี ถ้าเช่นนั้นบุรุษในรถม้า…
เฉียวเวยหันขวับกลับไป!
มิน่านางจึงรู้สึกคุ้นเคยแต่นึกไม่ออก ครั้งก่อนยามพบเขา เขากำลังขับรถเทียมควาย สวมเสื้อผ้าเหมือนชาวบ้าน แต่ครั้งนี้เปลี่ยนมาใส่เสื้อไหมที่เรียบง่ายแต่หรูหรา สิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนก็คือเขายังคงสวมหมวกปีกกว้างเอาไว้
เพียงมองแวบแรกก็รู้ว่าเขาไม่มีทางเป็นชาวบ้านจริงๆ ดังนั้นเมื่อยามนี้เห็นสภาพเช่นนี้ของเขาจึงไม่รู้สึกแปลก แต่สิ่งที่ทำให้เฉียวเวยรู้สึกแปลกก็คือตนพบเขาอีกแล้ว แล้วยังเป็นช่วงเวลาที่ตนสภาพอเนจอนาถยิ่งนักอีกด้วย
เฉียวเวยเกาใบหูน้อยอย่างขัดเขิน แล้วเอ่ยเสียงเบา “ขอบพระคุณคุณชายที่ช่วยข้าไว้อีกครั้ง”
เขากลับไม่เอ่ยวาจา
เฉียวเวยเอ่ยต่อว่า “ข้าทราบว่าคุณชายไม่ได้จัดการพวกเขาเพื่อช่วยข้า คุณชายเพียงไม่พอใจที่พวกเขาไม่เคารพเท่านั้น แต่ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ได้รับผลประโยชน์ อย่างไรก็ต้องขอบพระคุณคุณชายยิ่งนัก”
กล่าวจบก็ยอบกายคำนับ
เขาผงกศีรษะเล็กน้อย นับว่าเป็นการตอบรับอันหาได้ยากยิ่งแล้ว
เฉียวเวยกระโดดลงจากรถม้า ผู้คนที่มุงดูอยู่รอบด้านถอยพรึ่บไปด้านหลังก้าวหนึ่งเสมือนว่าเฉียวเวยเป็นอสรพิษหรือสัตว์ร้ายสักตัว ไม่แปลกที่พวกเขาจะหวาดกลัวเช่นนี้ ภาพที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่น่าหวาดหวั่นเกินไปแล้วอย่างแท้จริง พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองมาจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยเห็นเด็กที่ไหนซัดชายฉกรรจ์สิบกว่าคนจนมอบในหนึ่งกระบวนท่าได้มาก่อน
แม่นางผู้นี้กับเด็กคนนั้นเป็นพวกเดียวกัน ผู้อื่นก็คงเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง
“สือชี” เฉียวเวยยิ้มทักทาย
สือชีเห็นเฉียวเวยก็ผงะเล็กน้อย คิดไม่ถึงอย่างสิ้นเชิงว่าจะได้พบนางที่นี่
เฉียวเวยยิ้มพลางเดินไปหยุดตรงหน้าบุรุษหน้าแผลเป็นผู้นั้นแล้วนั่งยองๆ เหยียดยิ้ม “ยังกล้ามาหาเรื่องข้าอีกหรือไม่”
“เจ้า…” บุรุษหน้าแผลเป็นเจ็บจนกัดฟัน “เจ้าอย่าลำพองนัก รอพี่ต้าจินออกมา ดูว่าเขาจะจัดการเจ้าเช่นไร!”
“อ้อ พวกเจ้าคนมากขนาดนี้ยังสู้ไม่ชนะ…” เฉียวเวยเหลือบมองสือชีที่ยืนอยู่ไม่ไกล แล้วกระซิบ “น้องเล็กของข้า เจ้าคิดว่าอู๋ต้าจินจะชนะหรือ”
บุรุษหน้าแผลเป็นนึกถึงฝีมือของสือชี ร่างกายก็สั่นสะท้าน “เขาคือน้องเล็กของเจ้าหรือ”
สตรีนางนี้เป็นเพียงหญิงชาวบ้านคนหนึ่งแท้ๆ จะมีน้องเล็กที่เก่งกาจปานนั้นได้เช่นไร
เฉียวเวยรู้ว่าเขาไม่เชื่อจึงเอ่ยต่อว่า “เขาย่อมไม่ใช่น้องแท้ๆ ของข้า แต่ข้ากับนายท่านของเขามีไมตรีต่อกันอยู่บ้าง ดังนั้น เจ้าเข้าใจแล้วสินะ”
“นายท่านหรือ” บุรุษหน้าแผลเป็นฉงน
เฉียวเวยเอ่ยโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิด “อืม คนในรถม้านั่นอย่างไรเล่า ไม่เช่นนั้นเจ้าคิดว่าเหตุใดข้าจึงต้องขึ้นรถม้าคันนี้ หากเป็นรถของคนแปลกหน้า ข้าจะกล้าขึ้นหรือ ต่อให้ขึ้นไป ผู้อื่นก็คงไล่ข้าลงมาใช่หรือไม่เล่า”
บุรุษหน้าแผลเป็นคิดตามก็เหมือนจะมีเหตุผล แววตายามมองเฉียวเวยจึงเกิดความหวาดกลัวเล็กน้อยผุดขึ้นมาอย่างไม่อาจห้าม เด็กหนุ่มผู้นั้นร้ายกาจเช่นนี้ นายท่านของเขาจะต้องมีเบื้องหลังใหญ่โตเป็นแน่
แต่พวกเขาก็ไม่ใช่พวกกินผักหญ้า
เขาเอ่ยเสียงเย็นชา “นั่นแล้วอย่างไร เจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังพี่ต้าจินคือผู้ใด คนใหญ่คนโตของเมืองหลวง เอ่ยชื่อออกมาเจ้าคงตกใจกลัวจนตาย!”
เฉียวเวยหนังตาไม่กระตุกแม้แต่น้อย “ถ้าเช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้ที่นั่งอยู่ในรถม้าคือผู้ใด ข้าเอ่ยออกมา เจ้าก็คงตกใจกลัวจนตายเหมือนกัน! ทั่วใต้หล้าล้วนเคยได้ยินชื่อเสียงของเขา แม้แต่จักรพรรดิยังหวั่นเกรงเขาอยู่สามส่วน นามนั้นยิ่งใหญ่จนข้ามิกล้าเรียกขาน ข้าพูดเช่นนี้ เจ้าน่าจะเข้าใจแล้วกระมัง”
ผู้ที่แม้แต่จักรพรรดิยังหวั่นเกรงสามส่วน หรือว่าจะเป็น…จีหมิงซิวอัครมหาเสนาบดีผู้อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ต้าโจวผู้นั้น
บุรุษหน้าแผลเป็นแสดงท่าทางหวาดกลัวถึงขีดสุด
เฉียวเวยรู้ว่าบุรุษหน้าแผลเป็นใช้สติปัญญาอันมีเหตุมีผล (โง่เขลา) อย่างยิ่งของเขาเติมบุคคลที่เหมาะสมเข้าไปในช่องว่างแล้ว เฉียวเวยกลั้นรอยยิ้มพลางเลิกคิ้วเรียว “เดาออกแล้วสิว่าเป็นผู้ใด ยังกล้าหาเรื่องข้าอีกหรือไม่”
บุรุษหน้าแผลเป็นเค้นความคิด “ไม่ถูกต้องสิ ใต้เท้าจะนั่งรถม้าซอมซ่อเช่นนี้ได้เช่นไร”
เฉียวเวยเอ่ยเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา “ย่อมเป็นเพราะไม่ต้องการให้ผู้ใดมองฐานะออกน่ะสิ”
บุรุษหน้าแผลเป็นมองไปทางสือชี “เขาชื่อว่าอันใด”
เฉียวเวยตอบตามจริง “สือชี”
ใต้เท้าหมิงซิวมียอดฝีมือเจ็ดคนอยู่ใต้บัญชา คนหนึ่งในนั้นมีนามว่าสือชี เล่าลือกันว่าสือชีพออายุได้สิบปีก็ล้มผู้ที่สอบรับราชการทหารได้อันดับหนึ่งของราชสำนักได้ อายุสิบเอ็ดปีเล็ดลอดเข้าไปในค่ายของศัตรูเพียงลำพังช่วยองค์หญิงเก้าที่ตกเป็นตัวประกันออกมา อายุสิบสองปีจัดการค่ายวายุทมิฬที่เป็นเนื้อร้ายแห่งซีหนาน หลังจากนั้นจึงติดตามใต้เท้าหมิงซิวออกจากเมืองหลวง เงียบหายไร้ข่าวคราวมาหนึ่งปี
หรือว่าเด็กหนุ่มผู้นี้จะเป็นสือชีจริงๆ
บุรุษหน้าแผลเป็นเอ่ยอย่างคลางแคลง “ใต้เท้าหายตัวไปหนึ่งปีแล้ว เจ้าจะไปผูกไมตรีกับใต้เท้าได้เช่นไร”
หายตัวไปหรือ ถ้าเช่นนี้ก็แต่งเรื่องง่ายแล้ว!
เฉียวเวยนึกถึงบุคคลลึกลับที่มักจะมาซื้อเหยื่อในกรงดักสัตว์ของนางผู้นั้น ในใจคิดว่าเอาเรื่องนี้มาใช้ก็ไม่เลว! จากนั้นจึงเริ่มเล่าด้วยท่าทางลึกลับ “ใต้เท้ามิได้หายตัวไป แต่ปลีกวิเวกไปอยู่บนเขา ป่าที่ใต้เท้าอยู่บังเอิญเป็นเขาลูกที่ข้าอยู่พอดี ทุกวันข้าจะขึ้นเขาไปล่าสัตว์ ใต้เท้ามักจะมาซื้อสัตว์ที่ข้าล่าได้ ไปๆ มาๆ จึงรู้จักกัน ทว่าเรื่องนี้เจ้าอย่าเล่าต่อจะดีที่สุด ใต้เท้าไม่อยากให้ผู้ใดทราบร่องรอยในช่วงหนึ่งปีนี้ของเขา”
บุรุษหน้าแผลเป็นฟังถึงตรงนี้ก็ไม่กล้าไม่เชื่อแล้ว “เจ้าวางใจ ข้าจะไม่แพร่งพรายร่องรอยของใต้เท้า แม้แต่พี่ต้าจินก็จะไม่บอก ฝั่งใต้เท้า…”
เฉียวเวยเอ่ยสีหน้าเย็นชา “ใต้เท้าโกรธมาก”
บุรุษหน้าแผลเป็นลนลาน “ขอร้องแม่นางขอความเมตตาให้พวกผู้น้อยด้วย แม่นาง! ผู้เป็นพระโพธิสัตว์เดินดิน! ขอร้องท่านแล้ว!”
เฉียวเวยยื่นมืออกมา
บุรุษหน้าแผลเป็นงุนงง “อะไรหรือ”
เฉียวเวยเอ่ยว่า “เงินน่ะสิ! ไม่มีเงินข้าจะทำให้ใต้เท้าคลายโทสะได้เช่นไรเล่า ข้าต้องหาอาหารสุราชั้นดีมารับรองใต้เท้า ให้ใต้เท้ากินอิ่มหนำ ข้าจึงจะขอความเมตตาแทนพวกเจ้าได้!”
บุรุษหน้าแผลเป็นรีบล้วงเงินที่ตัวออกมา แล้วให้คนอื่นหยิบเงินออกมาด้วย ไม่ขาดสักคน
เฉียวเวยมองเงินสีขาวแวววาว น้ำลายเกือบจะไหลออกมา เมื่อครู่นางทิ้งข้าวของราคาเกือบหนึ่งตำลึงจนหมดเพื่อวิ่งหนี แต่กลับปอกลอกจากตัวคนเหล่านี้ได้ถึงสามสิบตำลึง!
รวย…เละแล้ว!