หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 265-2 พี่น้องพานพบ
ตอนที่ 265-2 พี่น้องพานพบ
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” ผู้อาวุโสใหญ่ย่อมไม่ทราบว่าใต้เท้าเจ้าสำนักหายสาบสูญไปหลังถูกฝังลงสุสาน เขาคิดว่าอีกฝ่ายพลัดหลงกับครอบครัวสมัยยังเด็ก นี่อย่างไรก็เป็นเรื่องในครอบครัวของพวกเขา ผู้อาวุโสใหญ่จึงไม่สะดวกถามไถ่ ผู้อาวุโสใหญ่มองกระบี่บนพื้น เมื่อคิดอะไรขึ้นมาได้ก็ถามว่า “ในเมื่อน้องชายของท่านเขยน้อยดึงกระบี่เล่มนี้ออกมาได้ ท่านเขยน้อยอยากจะลองดูบ้างหรือไม่”
จีหมิงซิวไม่ตอบคำถามของเขา แต่หันไปมองเขาแล้วบอกว่า “เผ่าถ่าน่ามีโหราจารย์เพียงคนเดียวก็พอแล้ว ผู้อาวุโสใหญ่คิดเช่นไร”
ผู้อาวุโสใหญ่อึ้งไป
จีหมิงซิวเก็บกระบี่บนพื้นขึ้นมาเสียบกลับลงในฝักกระบี่
เฉียวเวยเบ้ปาก “เจ้าคนชั่วนั่นเป็นน้องชายของท่านหรือ ถ้าอย่างนั้นหลังจากนี้ข้าจะสั่งสอนเขาอย่างไรเล่า”
จีหมิงซิวจับมือนาง ยิ้มอย่างรักใคร่แล้วพานางเดินออกไปที่สวนดอกไม้
ผู้นำทั้งแปดรุมล้อมเข้ามาอย่างไม่เข้าใจ ปี้หลัวฟู่ถามว่า “ผู้อาวุโสใหญ่ ข้าไม่เห็นเข้าใจ สองคนนั้น…เป็นใครกันแน่”
ผู้อาวุโสใหญ่มองแผ่นหลังของจีหมิงซิวที่เดินห่างออกไปแล้วยิ้มอย่างปลื้มปิติ “พวกเขาคือทายาทของโหราจารย์”
ปี้หลัวฟู่ตาโตพูดไม่ออก “อะ อะไรนะ ทายาทของโหราจารย์ โหราจารย์มีทายาทตั้งแต่เมื่อใด”
แล้วยังเป็นคนจงหยวนอีก!
แล้วโหราจารย์ทำตัวเหลวไหลอยู่ข้างนอกจะดีจริงหรือ!
“ชนเผ่าถ่าน่าของพวกเราไม่มีโหราจารย์มานานหลายปี ครั้งนี้ปรากฏตัวขึ้นมาทีเดียวถึงสองคน นี่ต้องเป็นเพราะองค์เทพคุ้มครอง!” ผู้อาวุโสใหญ่ไม่สนใจหรอกว่าโหราจารย์จะเคยใช้ชีวิตเหลวไหลที่ใดมาก่อน เขารู้แต่ว่าตำหนักโหราจารย์มีผู้สืบทอดแล้ว ชนเผ่าถ่าน่าจะฟื้นกลับสู่ความรุ่งเรืองอีกหน ไม่มีเรื่องใดทำให้คนยินดีไปมากกว่านี้อีกแล้ว
…
“ท่านโหราจารย์! ท่านโหราจารย์!” ผู้อาวุโสห้าไล่ตามท่านโหราจารย์ออกมาจากหอสอยดาว
ใต้เท้าเจ้าสำนักเดินไปด้านหน้าต่ออย่างรำคาญใจ “เลิกตามข้ามาสักที!”
ผู้อาวุโสห้าถามหน้าระรื่น “ท่านโหราจารย์ ท่านจะไปที่ใด”
ใต้เท้าเจ้าสำนักว่าเสียงเย็นชา “ข้าอยากจะไปที่ใดก็จะไปที่นั่น! เกี่ยวอันใดกับเจ้า”
ผู้อาวุโสห้าถูกเขาตวาดใส่ก็ไม่โกรธ กลับหัวเราะฮ่าๆ เอ่ยขึ้นว่า “ท่านโหราจารย์ ท่านไปที่ใด ข้าจะไปส่งท่าน”
“ข้าไม่มีขาหรือถึงต้องให้เจ้าไปส่ง” ใต้เท้าเจ้าสำนักเหลือบเห็นรถม้าที่สะท้อนแสงเป็นประกายสีทองวิบวับไม่ไกล ทันใดนั้นเขาก็กลืนน้ำลาย “นั่น…รถม้าของผู้ใด”
“ของสำนักผู้อาวุโส!” ผู้อาวุโสห้าเป็นคนหัวไวคนหนึ่ง เขาก้าวเท้าแซงหน้าไปเปิดม่านรถ “ท่านโหราจารย์เชิญ!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเดินเข้าไปอย่างหยิ่งยโส แต่กลับไม่ขึ้นไปบนรถ
ผู้อาวุโสห้าถามขึ้นว่า “ท่านโหราจารย์…มีสิ่งใดต้องการสั่งหรือไม่”
ลูกตาของใต้เท้าเจ้าสำนักกลอกไปมา “ไม่ว่าข้าต้องการสิ่งใด พวกเจ้าก็จะมอบให้อย่างนั้นหรือ”
ผู้อาวุโสห้าตอบอย่างไม่เสียเวลาหยุดคิด “ขอเพียงมอบให้ได้ ย่อมไม่ตระหนี่ถี่เหนียวแน่นอน”
สายตาของใต้เท้าเจ้าสำนักจับจ้องบนสัญลักษณ์ใบไม้สีทองสามใบบนตัวรถ
ครึ่งเค่อหลังจากนั้น ผู้อาวุโสห้าก็แงะตราสัญลักษณ์ของสำนักผู้อาวุโสออกมาด้วยความเจ็บปวดใจ
ใต้เท้าเจ้าสำนักซุกทองคำเข้าไปในอกเสื้อ เดินเชิดจากไปโดยไม่หันหลังกลับมามอง
ผู้อาวุโสห้าโยนมีดสั้นที่ใช้แงะทองคำกลับเข้าไปในตัวรถ แล้วไล่ตามมาอย่างรีบร้อน “ท่านโหราจารย์ ท่านรอข้าด้วย!”
ใต้จ้าสำนักไม่รอเขาหรอก เขาเลี้ยวทีหนึ่งก็ผลุบเข้าไปในตรอก แต่บังเอิญยิ่งนัก ศิษย์หญิงของตำหนักธิดาเทพคนหนึ่งกำลังเดินออกมาจากด้านในตรอกพอดี เมื่อครู่นางไปปลดทุกข์มา ระหว่างทางได้ยินว่าหอสอยดาวปรากฏขึ้นในเผ่าถ่าน่าอีกหนจึงรีบร้อนจะไปชมเรื่องสนุก แต่ดันชนถูกคนไม่มีตาคนหนึ่งจนตกอยู่ในอ้อมแขนของเขา นางเงื้อฝ่ามือขึ้นตบใส่ใต้เท้าเจ้าสำนักทันที!
ใต้เท้าเจ้าสำนักเดินชนแม่นางน้อยผู้หนึ่ง แต่เดิมเขารู้สึกไม่ดีนัก อยากจะเอ่ยขออภัยสักคำ ไหนเลยจะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่พูดพร่ำก็เงื้อมือจะตบเขาหนึ่งฉาด เขาเอี้ยวตัวหลบเหมือนกับแมว มือข้างหนึ่งจับข้อมือของอีกฝ่ายเอาไว้
ทว่าข้อมือของศิษย์ตำหนักธิดาเทพไฉนเลยจะถูกยึดจับได้ง่ายดายปานนั้น นางบิดข้อมือทีเดียวก็หลุดจากการยึดจับ พลิกกลับมาเป็นฝ่ายจับข้อมือของเขาเอาไว้ “เจ้าคนไม่มีตา กล้าล่วงเกินข้าหรือ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเถียงด้วยความโมโห “เจ้าประสาทหรือเปล่า เจ้าเอาตาดวงไหนดูว่าข้าล่วงเกินเจ้า หน้าตกกระอย่างเจ้า ต่อให้เปลือยล่อนจ้อนข้าก็คร้านจะดู!”
ศิษย์หญิงหน้าแดงก่ำ “เจ้าคนลามก! คอยดูข้าจะฉีกปากเจ้า!”
“หยุดนะ!”
ผู้อาวุโสห้าพุ่งเข้ามา ด้านหลังเขามีองครักษ์ของสำนักผู้อาวุโสกลุ่มใหญ่ตามมาด้วย องครักษ์ล้อมทั้งสองคนไว้ในวง
ศิษย์หญิงไม่กลัวเกรงสักนิด “ข้าเป็นศิษย์ตำหนักธิดาเทพ อาจารย์ของข้าคือสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่ง คนผู้นี้ล่วงเกินข้า ข้าจะสั่งสอนเขาสักทีเท่านั้น ทางที่ดีพวกท่านอย่ามายุ่งกับเรื่องของตำหนักธิดาเทพ!”
“เจ้าผู้หญิงบัดซบคนนี้ ตัวเองไม่มีตามอง เดินมาชนข้าแล้วยังจะตบข้าอีก!”
“เจ้าพูดเหลวไหล! เจ้าเป็นคนมาชนข้าชัดๆ!”
“เจ้าไม่ใช่ยอดฝีมือหรือ ข้าเดินชนเจ้า เจ้าไม่มีปัญญาหลบหรือไร”
“เจ้า…” ศิษย์หญิงสะอึก
ผู้อาวุโสห้าเอ่ยเสียงเข้ม “องครักษ์ จับตัวนางไว้!”
แม้ศิษย์หญิงจะบอกว่าตนวรยุทธ์สูงส่ง แต่ตัวคนเดียวย่อมพ่ายแพ้คนหมู่มาก ไม่นานนางก็ถูกองครักษ์ของสำนักผู้อาวุโสจับตัวไว้
“ท่านโหราจารย์ ท่านไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่” ผู้อาวุโสห้าถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย
เจ้าสำนักดึงแขนเสื้อขึ้น เผยให้เห็นข้อมือที่ขาวผ่องยิ่งกว่าสตรี “บวมหมดแล้ว เจ้าว่าเป็นอะไรหรือไม่เล่า”
ผู้อาวุโสห้ามิกล้าล่วงเกินร่างกายอันล้ำค่าของท่านโหราจารย์ รีบดึงแขนเสื้อของท่านโหราจารย์ลง “ข้าคุ้มกันไม่ถี่ถ้วน ขอท่านโหราจารย์โปรดอภัย ข้าจะลงโทษนางตามกฏ”
“ฝั่งนี้เกิดอะไรขึ้น”
เสียงเรียบเรื่อยของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งดังขึ้นตรงปากตรอก
ศิษย์หญิงราวกับเห็นผู้ช่วยชีวิต นางสะอื้นอย่างสะเทือนใจ “อาจารย์! ช่วยข้าด้วยเจ้าค่ะ!”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งพาศิษย์หลายคนเดินเข้ามา นางมองลูกศิษย์ของตนเองจากนั้นหันไปมองโหราจารย์ที่จู่ๆ ก็โผล่มาคนนั้น ดวงตาทอประกายเย็นยะเยือกวูบหนึ่ง ทว่าเพียงชั่วพริบตาเดียวก็คลี่ยิ้มน้อยๆ เอ่ยขึ้นว่า “ศิษย์ไม่รู้ความล่วงเกินผู้อาวุโสห้าแล้ว ขอผู้อาวุโสห้าโปรดอภัย ข้าจะพานางกลับไปสั่งสอนให้เข้มงวด”
ผู้อาวุโสห้าอธิบาย “คนที่นางล่วงเกินไม่ใช่ข้า”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งหันไปมองใต้เท้าเจ้าสำนัก ใต้เท้าเจ้าสำนักรู้สึกถึงความเป็นอริจากตัวนาง จึงไม่คิดจะไว้ไมตรี “ไม่ต้องมองข้า ข้าไม่มีทางอนุญาตให้เจ้าพาคนกลับไป หากเจ้าพากลับไปแล้ว ผู้ใดจะรู้ว่าเจ้าจะลงโทษหรือไม่ลงโทษ หากโกงขึ้นมาเล่า ผู้ใดจะรู้”
“เจ้ากำลังสงสัยตำหนักธิดาเทพ…”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเอ่ยขัดนางอย่างไม่เกรงใจสักนิด “ล่วงเกินข้า ควรลงโทษอย่างไร”
ผู้อาวุโสห้าตอบว่า “ตามกฎของเผ่า หากกล่าววาจาล่วงเกิน สมควรตบปากหนึ่งร้อยหน หากเสียมารยาทต่อหน้า สมควรโบยห้าสิบหน”
สายตาของใต้เท้าเจ้าสำนักจับจ้องบนใบหน้าของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่ง แล้วฉีกยิ้มร้าย “นางทำผิดทั้งสองข้อ ตบปากก่อนแล้วค่อยโบยก็แล้วกัน!”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งชี้ใต้เท้าเจ้าสำนัก “ผู้อาวุโสห้า เขาแค่ดึงกระบี่เล่มหนึ่งออกมาได้เท่านั้น!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเลิกคิ้ว “ตบปาก”
องครักษ์จิกผมของศิษย์หญิง จากนั้นเงื้อมือตบ เพียะ! เพียะ! เพียะ!…