หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 271-2 รักษาหมิงซิว หวนคืนต้าเหลียง
ตอนที่ 271-2 รักษาหมิงซิว หวนคืนต้าเหลียง
เฉียวเวยสวมเพียงชุดนอนโปร่งบางตัวหนึ่ง เสื้อนอนหลวมโพรกแต่ปิดบังเรือนร่างที่โผล่มาวับๆ แวมๆ ของนางไม่ได้ นางเยื้องย่างลงมาในสระน้ำทีละก้าว อาภรณ์ถูกน้ำพุร้อนอาบจนเปียกชุ่ม แนบไปกับเรือนร่างงามวิจิตรของนาง เอวบางไม่ถึงสองมือกอบ หน้าท้องแบนราบไม่มีไขมันส่วนเกินแม้แต่น้อย คล้ายกับพวกมันล้วนไปงอกอยู่ตรงที่ๆ ควรงอก
แขนของจีหมิงซิวยกขึ้นเท้าขอบสระอย่างสบายอารมณ์พลางชื่นชมภาพอันเย้ายวนตรงหน้า คิ้วเรียวบางเลิกขึ้นเล็กน้อย “หัวหน้าพรรคเฉียวกำลังล่อลวงข้าอยู่หรือ”
เฉียวเวยเดินนวยนาดมาตรงหน้าเขา ขาเรียวงามยกขึ้นคร่อมหน้าตัก “กับท่าน ต้องล่อลวงด้วยหรือ”
จีหมิงซิวหลุบตาลงมองอัครมหาเสนาบดีน้อยที่ไม่ทันได้รับคำสั่งก็เตรียมพร้อมออกรบเองโดยพลการ แล้วขานอืมตอบคำหนึ่งคล้ายจะตอบรับแต่ก็คล้ายปฏิเสธ “บอกมาดีกว่าว่าอยากจะลงจากเตียงไม่ได้สักกี่วัน”
เฉียวเวยตอบเสียงแผ่ว “กี่วันก็ได้ ยิ่งมากยิ่งดี”
จีหมิงซิวลมหายใจหอบกระเส่า พลิกร่างทีเดียวก็กดเฉียวเวยไว้กับขอบสระ ยึดปลายคางของเฉียวเวยไว้ ก่อนจะจุมพิตอย่างหนักหน่วง
“หืม” เฉียวเวยไถลตัวลงอย่างซุกซนหลบจุมพิตของเขา
จีหมิงซิวหรี่ตามองนางก็เห็นใบหน้าของนางแดงก่ำเป็นสีชาดตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ ดวงตากลมโตฉ่ำวาวคู่นั้นมองเขาอย่างเขินอายแต่แฝงความนัยลึกล้ำ “วันนี้ข้าทำเอง”
จีหมิงซิวได้ยินไม่กี่คำนี้ก็เกือบจะสูญเสียการควบคุมตัวเอง ฝ่ามือใหญ่ประคองบั้นเอวอ่อนนุ่มของนางแล้วถามแผ่วเบา “เป็นอะไร กลัวข้าไม่สบายใจที่ไม่มียาแก้ จึงอยากจะชดเชยให้ข้าหรือ”
ปลายนิ้วของเฉียวเวยวาดวงกลมบนแผ่นอกของเขา “นายน้อยหมิงอยากได้การชดเชยนี้หรือไม่เล่า”
จีหมิงซิวยกยิ้ม “นั่นก็ต้องดูว่าจะชดเชยสิ่งใด นายน้อยคนนี้ไม่ง่าย…”
เฉียวเวยลื่นไถลลงไปในน้ำ
“อืม…” ร่างของจีหมิงซิวสั่นระริก ชดเชยเช่นนี้ ต้องฝ่ามือเก้าสุริยันอีกร้อยหนก็คุ้ม
…
วันลาที่จีหมิงซิวขอไว้กับราชสำนักใกล้หมดลงทุกที เรื่องบนเกาะที่สมควรจัดการก็จัดการได้พอประมาณแล้ว ผู้อาวุโสใหญ่ตั้งใจจะให้จีหมิงซิวกับใต้เท้าเจ้าสำนักอยู่ต่อ อย่างน้อยก็อยู่ต่อสักคน ใต้เท้าเจ้าสำนักเต็มใจเป็นอย่างยิ่ง แต่จนปัญญาที่จีหมิงซิวไม่ตกลง น้องชายเติบใหญ่จนโตป่านนี้ยังไม่เคยพบคนในครอบครัว ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องกลับบ้านก่อนสักหน แล้วค่อยว่ากันอีกที
ผู้อาวุโสใหญ่รู้สึกว่าคำขอนี้เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ จึงตกปากรับคำอย่างเข้าอกเข้าใจ
ระยะนี้ไซน่าอิงกำลังต่อเรือใหญ่ลำหนึ่ง เพราะก่อนหน้านี้ไม่นานจั๋วหม่าโน้มน้าวเหอจั๋วให้ยกเลิกคำสั่งห้ามออกจากเกาะ นับจากนี้เป็นต้นไป พวกเขาสามารถออกทะเล เดินทางติดต่อค้าขายกับแคว้นต่างๆ ได้อย่างสง่าผ่าเผย
แน่นอนว่าเงื่อนไขก็คือต้องได้รับคำอนุญาตจากราชสำนักของแคว้นต่างๆ เรื่องนี้ไม่ยาก อย่างไรเสียชื่อเสียงของชนเผ่าลึกลับในโลกภายนอกก็ทำให้ไม่ต้องกังวลว่าราชสำนักของแคว้นต่างๆ จะไม่ตอบรับ
ในฐานะจั๋วหม่าน้อยของชนเผ่าถ่าน่า หน้าที่สำคัญอย่างการเจรจาการค้าจึงตกมาใส่ศีรษะของเฉียวเวย
ไซน่าอิงเชื่อในตัวเฉียวเวย การติดต่อค้าขายสำเร็จเป็นเรื่องของช้าเร็วเท่านั้น การเร่งสร้างเรือสินค้าให้เสร็จก่อนหน้านั้นจึงจะเป็นสิ่งที่เขาสมควรทำ
เขาคิดชื่อเรือสินค้าไว้เรียบร้อยแล้ว ให้ชื่อว่ามุกกระจ่าง
เฉียวเวยกับจีหมิงซิวพาลูกๆ ออกไปเที่ยวริมชายหาดหนึ่งวันเต็ม เจ้าตัวน้อยทั้งสองคนตากแดดจนหน้าดำขึ้นหนึ่งระดับ พอกลับมาถึงปราสาทเฮ่อหลัน สิ่งแรกที่ทำก็คือวิ่งไปหาเหอจั๋ว
“ท่านตาทวดๆ! ดูปลาที่ข้าจับมาสิเจ้าคะ!” วั่งซูวิ่งเร็วกว่าพี่ชาย นางพุ่งเข้ามาในห้องเป็นคนแรก
พอนางอวดของรางวัลแห่งชัยชนะจนเสร็จแล้ว จิ่งอวิ๋นจึงเพิ่งหิ้วถังน้ำใบน้อยใบหนึ่งเดินตุปัดตุเป๋หอบหายใจไม่ทันเข้ามา
นางกำนัลชิงเหยียนยกน้ำร้อนเข้ามา
เหอจั๋วบิดผ้า เช็ดหน้าให้ทั้งสองคน ใบหน้านี้ เขามองอีกเท่าไรก็มองไม่พอจริงๆ
เฉียวเวยถือเสื้อผ้าแห้งสองชุดเข้ามาเปลี่ยนให้เจ้าตัวน้อยทั้งสองคน
เหอจั๋วมองออกไปนอกประตูแล้วถามอย่างอาลัยอาวรณ์ “เก็บของเรียบร้อยแล้วหรือ”
เฉียวเวยพยักหน้า “เก็บเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
เสียงสะอื้นเบาๆ เล็ดลอดออกมาจากลำคอของเหอจั๋ว
จิ่งอวิ๋นมองเขา แม้สีหน้าของเขาจะไม่ผิดแปลกไปอย่างใด แต่จิ่งอวิ๋นสัมผัสได้ถึงความโศกเศร้าของเขา เขาตบไหล่เหอจั๋วราวกับผู้ใหญ่ตัวน้อยแล้วบอกว่า “ท่านตาทวดอย่าเสียใจเลย พวกเราจะกลับมาเยี่ยมท่านบ่อยๆ”
วั่งซูกะพริบดวงตาสุกสกาวของตนเอง “ใช่แล้วเจ้าค่ะท่านตาทวด พวกเราจะต้องกลับมาแน่! ท่านกินข้าวเยอะๆ กินผักเยอะๆ เดินเล่นเยอะๆ พอร่างกายแข็งแรงกำยำ พวกเราก็กลับมาแล้ว!”
เหอจั๋วยิ้มอย่างอ่อนโยน “ได้ ท่านตาทวดเชื่อฟังพวกเจ้า”
เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองเอะอะเจี๊ยวจ๊าวอยู่ในห้องของเหอจั๋วพักหนึ่งก็ถือของเล่นวิ่งออกไป
เหอจั๋วเห็นเฉียวเวยยังไม่ออกไปทันที จึงยิ้มแล้วถามว่า “ยังมีเรื่องใดหรือ”
“เรื่องนั้น…ท่านมานั่งตรงนี้” เฉียวเวยเดินไปหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วชี้เก้าอี้
เหอจั๋วเดินมานั่ง เขามองหลานตัวน้อยของตนผ่านกระจกสัมฤทธิ์ แล้วอมยิ้มถามขึ้นว่า “เป็นอะไร”
เฉียวเวยเกาคอแล้วกระแอมเบาๆ “ข้าจะหวีผมให้ท่าน”
เหอจั๋วยิ้มละไม “ดี”
เฉียวเวยหวีผมให้เหอจั๋วเสร็จก็สวมกวานให้ นางมองชายชราผู้แววตาเปล่งประกายในกระจก “ทำแบบนี้ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมากใช่หรือไม่”
เหอจั๋วกุมมือของเฉียวเวยแล้วเอ่ยอย่างปิดบังความยินดีไม่มิด “ใช่แล้ว หวีได้ดีกว่าชิงเหยียนมาก”
เฉียวเวยเลิกคิ้วอย่างลำพอง “นั่นแน่นอนอยู่แล้ว ไม่ดูเสียบ้างว่าข้าคือผู้ใด!”
หลายวันนี้คงเป็นช่วงเวลาที่เหอจั๋วเบิกบานใจที่สุดนับตั้งแต่จำความได้ ก่อนหน้านี้มีเฮ่อหลันชิงเพียงคนเดียว อีกทั้งเฮ่อหลันชิงมักจะทำให้เขาโมโหแทบตายอยู่บ่อยครั้ง แน่นอนว่าเขาโมโหก็ส่วนโมโห ในใจก็รักบุตรสาวคนนี้ที่สุดด้วย แต่มีเพียงพวกเขาสองพ่อลูก ในปราสาทจึงเงียบเหงา ไหนเลยจะเหมือนตอนนี้คนสี่รุ่นอยู่พร้อมหน้า ครึกครื้นจนต่อให้เขานอนหลับฝันอยู่ก็คงตื่นมาพร้อมรอยยิ้ม
หลังจากนี้ไม่มีเจ้าตัวน้อยพวกนี้แล้ว เขาคงไม่คุ้นชินอย่างยิ่ง
ต้องกลับมาเยี่ยมเขานะ…
…
ฝั่งจีหมิงซิว หลังจากเขาเก็บสัมภาระเสร็จก็เดินไปที่เรือนทิศใต้ เห็นข้าวของในเรือนทิศใต้ยังอยู่ที่เดิมไม่ขยับก็หันไปมองหญิงรับใช้ที่อยู่ด้านข้างอย่างอดไม่ได้ หญิงรับใช้หดคอ “ท่านเขยน้อย…”
“เจ้าออกไปเถิด” จีหมิงซิวตอบ
“เจ้าค่ะ” หญิงรับใช้ถอยออกไปราวกับได้ปลดภาระหนักอึ้งลงจากบ่า
ใต้เท้าเจ้าสำนักนั่งไขว้ห้างเอนพิงพนักเก้าอี้ ขบเมล็ดแตงอย่างสบายอุรา คล้ายไม่รู้ว่าพี่ชายของตนเองมาแล้ว แม้แต่หนังตาก็ไม่คิดจะยกขึ้นมอง
จีหมิงซิวเดินเข้ามามองเขาแล้วถามว่า “เหตุใดไม่ให้บ่าวเก็บข้าวของเล่า”
ใต้เท้าเจ้าสำนักขบเมล็ดแตงหนึ่งเมล็ดแล้วตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ข้าไม่กลับไปตระกูลจีกับเจ้าหรอก เจ้าตัดใจเสียเถอะ!”
แววตาล้ำลึกของจีหมิงซิวจับจ้องใบหน้าของเขา แล้วเอ่ยอย่างจริงใจ “ที่บ้านมีท่านพ่อ ท่านย่า แล้วก็มีพี่สาว พวกเขาไม่เคยลืมเจ้า หากรู้ว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่ พวกเขาจะต้องดีใจยิ่งกว่าผู้ใด เจ้าไม่อยากไปพบสักหน่อยหรือ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักกลอกตาใส่ “คนพวกนั้นเกี่ยวข้องอันใดกับข้า พวกเขาให้กำเนิดข้า เลี้ยงดูข้าหรือเคยให้เงินข้า”
“เจ้าจะไม่ไปจริงหรือ” จีหมิงซิวถาม
ใต้เท้าเจ้าสำนักแค่นเสียงดังเหอะ “บอกว่าไม่ไปก็คือไม่ไป! หากเจ้ากล้าบังคับข้าก็เอาศพข้ากลับไป!”
จีหมิงซิวมุ่นคิ้วเล็กน้อย “เหตุใดเจ้าจึงดื้อรั้นเช่นนี้”
ใต้เท้าเจ้าสำนักยิ้มหยัน “ข้าก็ดื้อรั้นเช่นนี้ ไม่ชอบหรือ ออกจากประตูเลี้ยวขวา เดินระวังเล่าข้าไม่ส่ง”
จีหมิงซิวถอนหายใจอย่างจนปัญญา “ก็ได้ ข้าไม่บังคับเจ้า เมื่อใดเจ้าคิดตกแล้วค่อยไปหาข้าที่ต้าเหลียง”
ใต้เท้าเจ้าสำนักส่งเสียงชิชะอย่างดูแคลน “ให้ตายข้าก็ไม่ไปหาเจ้า”
จีหมิงซิวเหมือนจะไม่ได้ยินเสียงพึมพำของเขา ยังคงเอ่ยด้วยท่าทีอ่อนโยน “มื้อเย็นอยากกินอะไร ข้าจะไปสั่งห้องครัวให้ทำไว้ หลังจากพวกเราไปแล้ว เจ้าคงไม่สะดวกอยู่ที่ปราสาทเฮ่อหลันต่อ ข้าคุยกับสำนักผู้อาวุโสเอาไว้แล้ว เจ้าจะไปอยู่กับพวกเขาก็ได้หรือจะไปตำหนักโหราจารย์ก็ได้ จะมีคนคอยรับใช้เจ้าโดยเฉพาะ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักโบกมืออย่างรำคาญ “รู้แล้ว มื้อเย็นข้าอยากกินปู!”
ปูเย็นวันนี้ อร่อยเป็นพิเศษ
วันต่อมา เดือนสองวันที่สิบห้า เหอจั๋วมาส่งพวกเฉียวเวยขึ้นเรือออกจากเกาะด้วยตัวเอง
เฉียวเวยกับจีหมิงซิวอุ้มลูกๆ ยืนบนดาดฟ้าเรือ จ้องมองเขา
วั่งซูกับจิ่งอวิ๋นโบกมือ วั่งซูตะโกนว่า “ท่านตาทวด! พวกเราจะกลับมา! ท่านต้องคิดถึงพวกเรานะ!”
เหอจั๋วยิ้มแย้มพลางโบกมือตอบ “ได้!”
วั่งซูมองเฮ่อหลันชิงกับเฉียวเจิง “ท่านตา! ท่านยาย! พวกเราก็จะคิดถึงพวกท่านเหมือนกัน!”
เฮ่อหลันชิงโบกมืออย่างหล่อเหลา
ร่างกายของเหอจั๋วยังไม่กลับมาแข็งแรงอย่างสมบูรณ์ เฉียวเจิงจึงจำเป็นต้องอยู่ดูแลเขาอีกช่วงเวลาหนึ่ง งานในเผ่าบางอย่างก็ต้องให้เฮ่อหลันชิงจัดการ ทั้งสองคนจึงตัดสินใจอยู่ต่อก่อน รอจนทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วค่อยกลับไปพบลูกสาวที่ต้าเหลียง
…
ใต้เท้าเจ้าสำนักฟื้นขึ้นมาจากอาการสลบ พอลืมตาขึ้นก็พบว่าตนเองนอนอยู่บนเตียงหลังน้อยที่ดูไม่คุ้นตาหลังหนึ่ง เตียงหลังน้อยโคลงไปเคลงมา โคลงจนเขาเริ่มเวียนหัว อยากจะอาเจียน
เขารู้ตัวว่าเขาเมาเรือ แต่ตอนนี้เขาสมควรอยู่ที่ปราสาทเฮ่อหลันไม่ใช่หรือ
ใต้เท้าเจ้าสำนักเปิดผ้าห่มก้าวลงมาบนพื้น เขาเหยียบขั้นบันไดขึ้นไปบนดาดฟ้า ลมทะเลเค็มๆ พัดเข้าใส่จนเขาเกือบจะหงายหลังล้ม
เขาตั้งสมาธิ เพ่งสายตามอง รอบด้านล้วนแต่เป็นเกลียวคลื่นซัดสาด
ไหนบอกว่าให้อยู่ปราสาทเฮ่อหลัน ไหนบอกว่าให้อยู่ที่สำนักผู้อาวุโส แล้วเหตุใดเขาถูกลักพาตัวมาอีกแล้ว!
“จีหมิงซิว! ขอให้ปู่เจ้าฉิบหายวายวอด!”