หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 279-2 ซาลาเปาน้อยเข้าสอบ ยอดสามตัวน้อย
ตอนที่ 279-2 ซาลาเปาน้อยเข้าสอบ ยอดสามตัวน้อย
การสอบสายบู๊ที่ผ่านๆ มา โดยมากมักสอบขี่ม้าและยิงธนูรวมกัน แต่เมื่อปีที่แล้วมีผู้เข้าสอบคนหนึ่งตกจากหลังม้าขณะง้างคันธนูจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ปีนี้จึงมีการปรับเปลี่ยนกันก่อนการสอบ แยกขี่ม้ากับยิงธนูออกจากกัน ดังนั้นการสอบสายบู๊จึงแยกเป็นสองสนาม ซึ่งจะต้องได้ที่หนึ่งทั้งสองประเภทถึงจะได้ที่หนึ่ง
เริ่มด้วยการสอบยิงธนู ผู้เข้าสอบทุกคนจะได้ธนูคนละสามดอก ยืนห่างไปยี่สิบเมตร ยิงเข้าใจกลางเป้าจะนับว่าได้คะแนนสูงสุด หากยิงเข้ากลางเป้าทั้งสามดอกก็จะได้คะแนนเต็มไป
การยิงธนูนับเป็นประเภทที่คนซยงหนีว์ถนัด องค์ชายน้อยซยงหนีว์ยิงธนูติดกันสามดอก ไม่มีหลุดเป้าสักดอกและเข้าที่กลางเป้าทั้งสิ้น คนที่อยู่โดยรอบพากันส่งเสียงฮือฮา องค์ชายน้อยซยงหนีว์เชิดคางขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง
ปั้งเหยี่ยนน้อยตระกูลลิ่นยิงเข้ากลางเป้าสองดอก ในหมู่ผู้เข้าสอบชาวจงหยวนนับว่าผลงานดีที่สุดแล้ว
ไม่นานก็มาถึงตาเด็กน้อยทั้งสาม
เด็กน้อยทั้งสามรับคันธนูไปจากมืออาจารย์ จิ่งอวิ๋นเคยเรียนการยิงธนูมาจากใต้เท้าเจ้าสำนักสมัยอยู่ที่ชนเผ่าถ่าน่า ความแม่นยำตอนล่าสัตว์นับว่าไม่เลวเลยทีเดียว การสอบประเภทนี้สำหรับเขาแล้วไม่นับว่ายากเย็นอะไร แต่หลิวเกอร์กับวั่งซูไม่ได้โชคดีเพียงนั้น
มือขาวซีดแห้งเหี่ยวของหลิวเกอร์ง้างธนูไม่ออกด้วยซ้ำ ส่วนวั่งซูกลับง้างได้สบายๆ แต่พอง้างปุบก็ขาดปับ หลังจากเปลี่ยนธนูไปสี่ห้าคัน ในที่สุดก็สามารถคุมแรงได้เสียที แต่น่าเสียดายที่ยิงไปเข้าเป้าคนอื่นทั้งหมด…
วั่งซูยังเหลือลูกธนูดอกสุดท้าย จิ่งอวิ๋นง้างธนูออก ชั่วขณะที่วั่งซูจะปล่อยมือนั้น เขาก็ปล่อยให้ลูกธนูของตนพุ่งทะยานออกไปเช่นกัน เขายิงเข้ากลางเป้าของวั่งซู วั่งซูได้คะแนน
ในที่สุดหลิวเกอร์ก็ง้างธนูออกเสียที ถึงแม้จะง้างออกแค่เพียงเล็กน้อย แต่ดีร้ายอย่างไรก็ยิงออกไปได้ จิ่งอวิ๋นใช้วิธีการเดียวกันยิงเข้ากลางเป้าของหลิวเกอร์ เขาเลยได้คะแนนไปด้วย
จิ่งอวิ๋นยิงธนูดอกสุดท้ายให้ตัวเอง
ผลการยิงธนูออกมาแล้ว องค์ชายน้อยซยงหนีว์ได้ที่หนึ่ง คุณชายน้อยตระกูลลิ่นได้ที่สอง เด็กน้อยทั้งสามได้ครองที่สามร่วม
องค์ชายน้อยจากซยงหนีว์ทำผลงานการยิงธนูได้ดีเช่นนี้นับว่าไม่น่าประหลาดใจสักนิด คุณชายน้อยตระกูลลิ่นถึงแม้จะคิดไม่ถึงไปบ้างแต่ก็นับว่าไม่เกินความคาดหมาย มีแค่ผลคะแนนของซาลาเปาน้อยทั้งสามเท่านั้นที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจ หากไม่ได้เห็นกับตา พวกเขาคงคิดว่าอาจารย์ประกาศคะแนนผิดเป็นแน่
องค์ชายน้อยจากซยงหนีว์กอดอกอย่างหยิ่งผยอง “ข้ายิงธนูเป็นตั้งแต่สี่ขวบ ห้าขวบก็ขี่ม้าได้แล้ว ไม่เห็นจะยากอะไรเลย!”
“แต่พวกเขาเป็นชาวจงหยวน ชาวจงหยวนมีแต่อ่อนแอกันทั้งนั้น!” ชายหนุ่มรูปร่างกำยำเอ่ยขึ้น
องค์ชายน้อยซยงหนีว์ขมวดคิ้ว เฟ่ยเหลียนกล่าวได้ถูกต้อง ชาวจงหยวนเกิดมาก็เหมือนแพะตัวน้อย เติบใหญ่ก็เป็นเพียงแพะตัวโต เด็กอย่างพวกเขามีพละกำลังมากเพียงนี้ ยิ่งไปกว่านั้นทั้งสามคน… มีพละกำลังมากเพียงนั้นด้วยกันทั้งหมด ช่างน่าประหลาดเกินไปจริงๆ
หรือจะบอกว่า… ชาวจงหยวนค่อยๆ เริ่มแข็งแกร่งขึ้นแล้ว?
อูซ่านเข้าใจความคิดขององค์ชายน้อยดีที่สุด รู้ว่าเขาเป็นกังวลเรื่องอะไรจึงกระซิบบอกว่า “องค์ชายอย่าได้เป็นกังวลไป ถึงแม้ข้าจะเห็นท่าทางของพวกเขาไม่ชัด แต่ข้ามั่นใจว่าธนูสามดอกนั้นต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากล เด็กหญิงผู้นั้นกับเด็กชายที่รูปร่างผอมเกร็งนั้นไม่ได้ยิงธนูเอง ทั้งสามดอกนั่นจะต้องเป็นเด็กที่ชื่อจิ่งอวิ๋นช่วยยิงให้เป็นแน่”
เพื่อนร่วมโต๊ะสร้างความประทับใจอันลึกซึ้งไว้ให้กับเขา ตอนส่งข้อสอบเขาแอบมองชื่อเพื่อนร่วมโต๊ะ จึงเห็นตัวอักษรที่เขียนว่าจิ่งอวิ๋น
องค์ชายซยงหนีว์เอ่ยว่า “หากทั้งสามดอกเขาเป็นคนยิงทั้งหมด จะไม่เท่ากับว่าเขาเก่งกาจเท่ากับข้าหรือ”
ไม่สิ ควรบอกว่าเก่งกาจกว่าเขาถึงจะถูก เพราะตอนเขาอายุเท่าเด็กคนนี้ เขายังยิงได้ไม่แม่นยำเพียงนี้เลย
“พวกเขาเป็นแฝดสาม?” เขาถาม
อูซ่านตอบว่า “น่าจะใช่” ความสูงไล่เลี่ยกัน อายุก็พอๆ กัน การแต่งกายเหมือนกัน เชือกที่ผูกก็แบบเดียวกัน ถ้าไม่ใช่แฝดสามแล้วจะคืออะไร?
องค์ชายน้อยซยงหนีว์เอ่ยว่า “เขาช่างโง่เขลานัก หากเขาไม่แบ่งธนูของตนให้น้องชายกับน้องสาว เขาคงได้อยู่ลำดับเดียวกับข้าไปแล้ว”
องค์ชายน้อยซยงหนีว์เติบโตขึ้นมาท่ามกลางพี่น้องต่างมารดา ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องผู้ชายเปรียบประหนึ่งน้ำกับไฟ ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเข้าใจการแบ่งเกียรติยศที่ควรเป็นของตนให้กับพี่น้องคนอื่นๆ
เดิมทีอูซ่านยังอยากบอกว่าจิ่งอวิ๋นไม่ได้ทำเพียงเท่านี้ เขายังทำข้อสอบแทนน้องชายกับน้องสาวด้วย แต่พอเห็นสีหน้าขององค์ชายน้อยเขาก็คิดว่าไม่ควรพูดคงจะดีกว่า
หลังจากนั้นก็เป็นการสอบสายบู๊รอบที่สอง – ขี่ม้า
ม้าที่ใช้ในการสอบของสำนักศึกษาหนานซานล้วนเป็นลูกม้าซีหนานตัวเล็กที่แสนเชื่อง อย่ามองแค่ว่าพวกมันเป็นลูกม้า นี่สำหรับผู้เข้าสอบที่ยังโตไม่เต็มวัยเช่นนี้ ถือว่าเป็นสัตว์ใหญ่แล้ว
ลำดับขั้นการสองนั้นเรียบง่ายมาก เริ่มจากทะเลสาบฝั่งนี้ข้ามไปยังอีกฝั่งของทะเลสาบถือเป็นอันเสร็จสิ้น ส่วนจะเดินอย่างไร จะขี่ไปหรือจะจูงไป หรือจะควบไปล้วนได้ทั้งสิ้น มีเพียงเงื่อนไขเดียวนั่นคือ – ห้ามทำร้ายม้า เคยมีการสอบครั้งหนึ่ง ผู้เข้าสอบคนหนึ่งโมโหร้าย เพื่อบังคับให้ม้าเดินข้ามแม่น้ำ เขาใช้มีดแทงม้าจนเลือดไหล แน่นอนว่าผู้เข้าสอบคนนั้นถูกตัดสิทธิ์ออกจากการสอบอย่างไม่ต้องสงสัย
หลังจากนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์น่าสลดเช่นนี้อีก สำนักศึกษาจึงจะประกาศกฎการสอบก่อนทุกครั้ง สรุปก็คือ ทั้งคนและม้าจะต้องไปถึงเส้นชัยอย่างเรียบร้อยปลอดภัยด้วยกันทั้งคู่ถึงจะนับว่าประสบความสำเร็จ
การจะไปถึงเส้นชัย เส้นทางที่ใกล้ที่สุดคือทางเดินเล็กๆ ใต้เงาไม้ตรงหน้าที่ตัดผ่ากลางไป ระยะทางของเส้นทางสายนี้ยาวเพียงแค่หนึ่งร้อยเมตรเท่านั้น โดยหลักการแล้วไม่น่าจะมีอะไรยาก แต่กระนั้นบนทางสายเล็กแห่งนี้กลับมีรั้วขวางอยู่สองแถว ระยะห่างระหว่างรั้วสองแถวไม่ถึงครึ่งเมตร ระยะห่างที่แคบเพียงนี้หากฝืนเดินผ่านไปล้วนอันตรายมากทั้งสิ้น ยิ่งไปกว่านั้นยังมีอุปสรรคอื่นๆ ขวางอยู่อย่างแน่นหนา ม้าที่ไม่เคยผ่านการฝึกมาก่อนแค่เห็นก็นึกกลัวกันหมดแล้ว ยังจะมีตัวไหนกล้าข้ามไปอีกหรือ ทุกตัวพากันหยุดนิ่งอยู่ตรงปากทาง
ชาวซยงหนีว์เป็นอินทรีย์ผู้กล้าบนทุ่งหญ้า เป็นวีรบุรุษบนหลังม้า หากม้าที่ขี่เวลานี้เป็นม้าขององค์ชายน้อยเอง เขามั่นใจมากว่าตนจะข้ามผ่านไปได้ แต่กระนั้นม้าตัวนี้เป็นม้าผอมแห้งของจงหยวนที่ไม่คุ้นมือ จึงไม่ฟังคำสั่งอยู่บ้าง
อูซ่านเอ่ยแนะนำว่า “องค์ชายน้อย พวกเราเดินเลาะริมทะเลสาบข้ามไปได้นะขอรับ! ถึงจะเสียเวลาไปบ้าง แต่พวกเราเป็นเด็กที่เติบโตมาบนหลังม้า ทักษะการขี่ม้าของพวกเรา อย่างไรก็ยังทิ้งห่างพวกคนจงหยวนไปได้ไกลลิบ!”
องค์ชายน้อยซยงหนีว์คิดว่าที่อูซ่านกล่าวมีเหตุผลยิ่งนัก จึงยกมุมปากยิ้มแล้วจึงบังคับม้าให้เดินเลาะฝั่งซ้ายของทะเลสาบที่ดูค่อนข้างใกล้ไป
พอเขาทำเช่นนี้ ทุกคนก็พากันทำตาม แม้แต่คุณชายน้อยตระกูลลิ่นก็ยังร่วมขบวนเดินอ้อมไปกับเขาด้วย
แต่ก็อย่างที่อูซ่านได้กล่าวไว้ พวกเขาเป็นเด็กที่เติบโตมาบนหลังม้า ทักษะการขี่ม้าของพวกเขาไม่ใช่อะไรที่ไก่อ่อนอย่างคนจงหยวนจะเทียบเทียมได้ พวกเขาเลยทิ้งห่างผู้เข้าสอบชาวจงหยวนไปไกลลิบ แม้แต่คุณชายน้อยตระกูลลิ่นที่มีทักษะการขี่ม้าล้ำเลิศที่สุดก็ยังมองไม่เห็นหลังพวกเขา
บนแท่นยกสูงห่างไปไม่ไกล อธิการทั้งสามและอาจารย์หลายคนคอยสังเกตการณ์การแข่งขันของผู้เข้าสอบด้วยความสนใจ
ปีนี้ดูจะไม่ต่างอะไรกับการสอบครั้งที่ผ่านๆ มา ทุกคนเลือกที่จะไปทางอ้อม
แต่ผู้เข้าสอบชาวจงหยวน ถูกเด็กจากซยงหนีว์ทิ้งห่างไปจนไม่เห็นฝุ่น ช่างน่าขายหน้ายิ่งนัก น่าขายหน้าเกินไปแล้ว!
อาจารย์ซุนพูดขึ้นว่า “อัครเสนาบดีไม่ได้เดินอ้อม เขาให้ม้าของเขาเดินข้ามไป”
อาจารย์ทุกคนพากันตกใจ ในตอนนั้นอัครเสนาบดีอายุยังไม่สิบขวบดีเลยกระมัง ทั้งยังเป็นครั้งแรกที่ได้ทำความรู้จักกับม้าของสำนักศึกษา เขาให้ม้าเดินข้ามไปโดยที่ไม่ผ่านการฝึกซ้อมมาก่อนเลยได้อย่างไร เขาทำได้อย่างไร!
อธิการถอนหายใจด้วยความผิดหวัง “หลังจากนั้นอัครเสนาบดีก็ไม่…”
เขายังไม่ทันพูดจบ รองอธิการเจียงก็ชี้ไปตรงปากทางเดินพร้อมร้องขึ้นว่า “พวกท่านดูสิ!”
ทุกคนมองตามทางที่เขาชี้บอก ก็เห็นเด็กหญิงร่างอ้วนท้วนกระโดดลงจากหลังม้า ชี้ไปยังทางเดินเล็กๆ ที่รกครึ้มคล้ายกำลังบอกว่า “ก็ได้ ข้าไม่ขี่เจ้าแล้ว เจ้ารีบเดินไปเถิด” แต่เพราะความกลัวม้าตัวนั้นเลยไม่ยอมเดินไป นางเลยโยนแส้ม้าทิ้ง แล้วลากม้าตัวนั้นไปกับพื้นเสียเลย!
ทุกคนพากันสูดสายใจเฮือกใหญ่ เด็กร่างท้วนผู้นี้โตมาด้วยอะไรกัน ถึงกับลากม้าซีหนานจนล้มลงกับพื้นแบบนี้ได้
แต่กระนั้นนั่นยังไม่น่าตกใจที่สุด ที่น่าตกใจที่สุดก็คือนางถึงขั้นยกม้าขึ้นเหนือศีรษะ แล้ววิ่งผ่ากลางรั้วไม้สองแถวนั้นไปได้…
อธิการทุกคน “…”
อาจารย์ทุกคน “…”
ม้า “…”