หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 281-1 บดขยี้ ชัยชนะ
ตอนที่ 281-1 บดขยี้ ชัยชนะ
ระหว่างการเลือกสอบ ผู้เข้าสอบจำนวนมากจะเลือกฉินหมากเขียนอักษรและภาพวาด คนที่มือไม้ว่องไวหน่อยสอบเสร็จทั้งสี่ประเภทไปแล้ว แต่เพราะสำนักศึกษาไม่อนุญาตให้ออกจากสนามสอบก่อน ดังนั้นคนที่ไม่มีอะไรต้องสอบแล้วจึงเริ่มเดินไปดูการสอบประเภทอื่นๆ ปีก่อนๆ การสอบที่คึกคักที่สุดคือมวยปล้ำ เพราะถึงอย่างไรไม่ว่าภายนอกพวกเขาจะดูเรียบร้อยเพียงใด แต่ภายในก็ยังเป็นเพียงเด็กอายุสิบเอ็ดสิบสองปีอยู่ดี ซึ่งเป็นวัยที่กำลังรักสนุก และชอบความตื่นเต้นให้เลือดในการเดือดพล่านเช่นนี้ที่สุดแล้ว
การสอบมวยปล้ำในปีนี้ยังคงคึกคักเช่นเดิม ทั้งสามด้านมีผู้เข้าสอบเข้ามาล้อมวงชมกันเต็มไปหมด ด้านที่สี่มีการขึงฉากผ้า เพราะมีอาจารย์ผู้ให้คะแนนนั่งอยู่ จึงไม่อาจเข้าไปมุงดูได้
บนแท่นมวยปล้ำมีผู้เข้าสอบเก่งๆ ขึ้นมากันหลายคน ฝีมือของผู้เข้าสอบในภาพรวมสูงขึ้นกว่าหลายปีที่ผ่านมาไม่น้อย เพียงแต่โชคไม่ดีที่พวกเขามาเจอกับคู่ต่อสู้ที่เป็นชาวซยงหนีว์ที่ก็แข็งแกร่งกว่าผู้เข้าสอบจากซยงหนีว์ในปีก่อนๆ เช่นกัน ในขณะที่ผู้เข้าสอบจากซยงหนีว์กำลังสู้กับผู้ท้าชิงคนที่แปดอยู่นั้น ในหมู่ผู้เข้าสอบก็ไม่รู้มีใครตะโกนขึ้นมาว่า “ดูนั่น!”
ทุกคนมองตามมือเขาไปยังแท่นยกแจกันที่ไม่รู้ว่ามีเด็กหญิงตัวอวบอ้วนคนหนึ่งเพิ่งเข้ามาตั้งแต่เมื่อไร ทุกคนคิดว่าตนเองตาฝาดไป แต่พอขยี้ตา เด็กหญิงตัวน้อยคนนั้นก็ยังยืนอยู่บนแท่นสอบเหมือนเดิม—
หันไปมองคู่แข่งบนแท่นอีกที ก็ต้องตกใจว่าเป็นเด็กรูปร่างกำยำราวกับโคถึกจากซยงหนีว์ เมื่อเช้าพวกเขาไม่รู้ว่าคนเหล่านี้เป็นใคร แต่หลังจากได้เข้าสอบร่วมกัน ทุกคนต่างรู้ว่าพวกเขาเป็นผู้เข้าสอบจากซยงหนีว์
ผู้เข้าสอบผู้นั้นสูงใหญ่ล่ำสัน เด็กหญิงตัวน้อยยังสูงไม่ถึงอกอีกฝ่ายด้วยซ้ำ… แน่ใจหรือว่าไม่ได้เดินไปสอบผิดสนาม
“ไป ไปดูกัน!” ผู้เข้าสอบลากเพื่อนของตนไปยังแท่นยกแจกัน
“พวกเราก็ไปดูด้วย!”
“ไป!”
ทุกคนทยอยกันเดินไปทางนั้น องค์ชายน้อยจากซยงหนีว์ใช้หัวไหล่ดักคู่ต่อสู้จนล้มลงกับพื้นได้อย่างสวยงาม เขาชูมือสองข้างขึ้น หันมองไปทางฝูงชนอย่างได้ใจและหยิ่งผยอง แต่พอได้กวาดตามองเขาก็ถึงกับอึ้งงัน
หายไปไหนกันหมด?
…
การสอบยกแจกกันไม่เคยเป็นที่ฮือฮาเช่นนี้มาก่อน ทั้งข้างในข้างนอกมีผู้เข้าสอบมามุงดูกันแน่นขนัด
วั่งซูน้อใช้ความพยายามอย่างมากจนที่สุดก็ปีนขึ้นมาได้ นางยืดตัวตรงพลางหอบแฮ่ก ใบหน้าอ้วนกลมแดงก่ำ ตาเบิกโต ตรงปลายจมูกมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมา ปากน้อยๆ เผยอเล็กน้อยคล้ายดอกอิงเถาน้อยสีแดงฉ่ำ
อาจารย์ที่ให้คะแนนอึ้งงันไปทันที ทำให้ได้รู้ว่าอธิการกับอาจารย์ทั้งหลายที่ลอบสังเกตการณ์การสอบอยู่ไม่ได้ป่าวประกาศให้ทราบโดยทั่วกันถึงเรื่องที่วั่งซูน้อยยกม้าข้ามแม่น้ำ แต่วันนี้เขารู้ว่ามีผู้เข้าสอบเป็นเด็กหญิงมาด้วยคนหนึ่ง แค่ไม่คิดว่าจะเด็กเพียงนี้!
มิน่าถึงได้วิ่งเล่นไปทั่ว นี่ไม่ได้มาทำให้ยุ่งหรอกหรือ
ด้านล่างยกพื้น ผู้เข้าสอบที่มุงดูอยู่หัวเราะเสียงดังขึ้นมา เจ้าเด็กอ้วนซื่อบื้อนี่มาเล่นถึงแท่นยกแจกันเชียวหรือ รีบลงมาจะดีกว่า อีกเดี๋ยวหากถูกแจกันหล่นใส่ศีรษะเข้าจะเป็นอันตรายไป
อาจารย์ที่คอยให้คะแนนเอ่ยอย่างใจเย็นว่า “แม่หนูน้อย เจ้าไปเล่นที่อื่นเถิด ทางนี้พวกเรายังต้องสอบกันอีกนะ”
วั่งซูน้อยกะพริบตาปริบๆ “ข้าก็มาร่วมสอบด้วยคนอย่างไร!”
อาจารย์คนนั้นอึ้งไป ก่อนจะชี้ไปทางศาลารับลมที่ไว้สอบเขียนอักษรกับภาพวาดอย่างเห็นขัน “แม่หนูน้อย สถานที่สอบของเจ้าอยู่ทางนั้น”
เด็กเล็กขนาดนี้ จะทำอะไรเป็นได้ แค่เขียนตัวอักษรใหญ่ๆ ได้ไม่กี่ตัวกับวาดภาพที่ดูไม่เป็นภาพได้ก็เก่งมากแล้ว
วั่งซูเอียงศีรษะเอ่ยว่า “ข้าไม่ได้อยู่ทางนั้นเสียหน่อย! ข้าอยู่ตรงนี้นี่แหละ!”
แม่หนูน้อยน่ารักเกินไปจริงๆ อาจารย์ผู้ให้คะแนนยังทำใจไล่เด็กคนนี้ไปไม่ได้ จึงชี้ไปทางแจกันใบที่เล็กที่สุด “หากเจ้าอุ้มแจกันใบนั้นขึ้นมาได้ จะถือว่าเจ้าชนะไปเลย”
ตามกฎคือให้ยก แต่เด็กตัวเล็กขนาดนี้จะยกไหวได้อย่างไร อุ้มขึ้นมายังเป็นไปไม่ได้เลย แค่เพียงให้นางลองดูสนุกๆ เท่านั้น
วั่งซูน้อยเดินไปตรงหน้าแจกันสัมฤทธิ์ แจกันใบนั้นสูงประมาณครึ่งตัววั่งซูได้ อย่ามองเพียงว่ามันเล็ก น้ำหนักของมันมากถึงห้าสิบจินเลยทีเดียว สำหรับเด็กหญิงที่ฟันน้ำนมยังหลุดไม่หมดแล้ว แทบจะเป็นเรื่องที่ไม่มีวันทำได้เลย
ทุกคนมองวั่งซูด้วยความขบขัน
วั่งซูยื่นมืออวบอ้วนของตนออกไปแล้วอุ้มแจกันใบนั้นลอยขึ้นมาราวกับอุ้มหัวกะหล่ำปลี แล้วจึงวิ่งตุบตับๆ ไปหาอาจารย์ผู้ให้คะแนน “อาจารย์ ให้”
อาจารย์ผู้ให้คะแนนถึงกับนิ่งอึ้ง
วั่งซูมองสีหน้าอึ้งค้างของอีกฝ่ายแล้วคิดว่าตนอุ้มมาผิดอัน จึงรีบเอาแจกันน้อยใบนั้นกลับไปวางที่เดิน แล้วอุ้มใบข้างๆ ที่หนักกว่าห้าสิบจินมาให้
อาจารย์ผู้ให้คะแนนอ้าปากกว้างหนักกว่าเดิม
ยังไม่ถูกอันอีกหรือ
วั่งซูเอาแจกันใบนั้นกลับไปอีกครั้งแล้วอุ้มอันที่ใหญ่ขึ้นกลับมา แจกันคราวนี้สูงกว่าตัววั่งซูไปอีก พอวั่งซูอุ้มขึ้นมาจึงมองไม่เห็นทางข้างหน้า เลยยกมันขึ้นเหนือศีรษะเสียเลย
อาจารย์ผู้ให้คะแนนถึงกับพ่นน้ำชาออกมาเลยทีเดียว!
วั่งซูคิดว่าตนเองอุ้มมาผิดอันอีกแล้ว จึงวิ่งเอาแจกันกลับไปวางที่เดิม คราวนี้นางเลยเลือกอันใหญ่ขึ้นซึ่งเป็นใบที่เฟ่ยเหลียนเคยยกไว้ขึ้นมา “อาจารย์ๆ! ใช่ใบนี้หรือไม่”
สีหน้าอาจารย์ในเวลานี้ไม่อาจใช้คำว่าตกใจมาอธิบายได้อีกแล้ว ฝูงชนที่รอชมเรื่องคนอื่นอยู่ก็ตาเบิกโตจนลูกตาแทบจะถลนออกจากเบ้ากันหมด
เฟ่ยเหลียนไม่ยอมแพ้ เขาไม่เชื่อว่าตนจะแพ้ให้กับเด็กหญิงตัวน้อยชาวจงหยวนผู้นี้ เขาเลือกแจกันใบที่ใหญ่ที่สุดบนนั้น รวบรวมพละกำลังทั้งหมดที่มี ออกแรงยกพลางตะโกนเสียงดัง “อ้ากกกก”
นี่เป็นแจกันใบที่หนักที่สุดแล้ว น้ำหนักมันเท่าไรกันแน่นั้น อาจารย์เองก็ตอบไม่ได้ ตั้งแต่เริ่มมีการสอบยกแจกันขึ้นมา ยังไม่เคยมีผู้เข้าสอบคนไหนพยายมยกมันขึ้นมาก่อน