หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 282-1 การสอบ (1)
ตอนที่ 282-1 การสอบ (1)
การสอบรับลูกศิษย์ประจำปีของสำนักศึกษาหนานซานแน่นอนว่าไม่ใช่ครั้งที่มีผู้เข้าร่วมสอบจำนวนมากที่สุด และไม่ใช่ครั้งที่ความยากสูงสุด แต่กลับเป็นครั้งที่ทำให้คนตาโตอ้าปากค้างมากที่สุด ไม่มีใครคาดคิดว่าในสนามสอบจะมีเด็กน้อยมาร่วมด้วยสามคน หนึ่งในนั้นยังเป็นเด็กหญิงน่ารักน่าชังเสียด้วย ยิ่งไปกว่านั้นเด็กหญิงน่ารักน่าชังผู้นี้ยังเอาชนะเด็กผู้ทรงพลังจากชนเผ่าซยงหนีว์ได้อีกด้วย…
ในฐานะที่เป็นหัวหน้าผู้เข้าสอบจากซยงหนีว์ ในใจองค์ชายน้อยจากซยงหนีว์ย่อมเต็มไปด้วยความไม่ยอม อย่างไรเขาก็ไม่อยากยอมรับว่าผู้แข็งแกร่งองอาจจากทุ่งหญ้าอย่างพวกเขาจะอ่อนแอกว่าเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง จะต้องเป็นเพราะเด็กหญิงผู้นี้ใช้เล่ห์กลอะไรเป็นแน่ ก่อนออกเดินทางพี่รองของเขาก็เตือนเขาแล้วว่าชาวจงหยวนเป็นพวกเจ้าเล่ห์แสนกล
การที่เขาถูกเด็กหญิงคนหนึ่งเอาชนะได้ด้วยเล่ห์กล หากแพร่ออกไปอันที่จริงก็ออกจะเสียหน้าอยู่เล็กน้อย แต่เฟ่ยเหลียนตกใจจนไม่กล้าขยับตัวไปแล้ว ดังนั้นจะให้เขาออกหน้าไปเปิดโปงว่าเด็กหญิงตัวน้อยเล่นตุกติกนั้นคงเป็นไปไม่ได้
แต่นั่นไม่เป็นไร ไม่ใช่ว่ายังมีเขาหรอกหรือ
เขาจะเปิดโปงกลโกงของเด็กหญิงผู้นั้นต่อหน้าอาจารย์และผู้เข้าสอบทุกคนให้ได้ หากมีหลักฐานเป็นที่ประจักษ์ เขาไม่เชื่อว่าเหล่าอาจารย์จะไม่กล้าลงโทษนาง!
องค์ชายน้อยจากซยงหนีว์มั่นอกมั่นใจเต็มที่ เดินเข้าไปหาเด็กหญิงตัวอ้วนกลมผู้นั้น
เด็กหญิงผู้นั้นหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูมากจริงๆ ขาวผ่องเนื้อแน่น ดวงตาโตประหนึ่งสามารถพูดได้ เด็กทั้งทุ่งหญ้ารวมกันแล้วยังงดงามไม่ได้ส่วนหนึ่งของนางเลยด้วยซ้ำ องค์ชายน้อยจากซยงหนีว์คิดถึงเสด็จพี่สะใภ้รองของตน นางผู้นั้นก็เป็นชาวจงหยวนที่งดงามมากเช่นกัน แต่หญิงงามแห่งจงหยวนล้วนร้ายกาจทั้งสิ้น พี่สะใภ้รองของเขาเป็นเช่นนั้น เด็กหญิงตัวน้อยผู้นี้คิดแล้วก็คงเป็นเช่นนั้นเช่นกัน
เขาจะต้องสั่งสอนนางให้หนัก ทวงคืนความยุติธรรมกลับมาให้เฟ่ยเหลียน ให้ชาวจงหยวนได้ถ่างตาดูให้ดีว่าผู้เข้าสอบจากซยงหนีว์อย่างพวกเขาไม่ได้จะรังแกกันง่ายๆ
เมื่อคิดแล้ว องค์ชายน้อยจากซยงหนีว์จึงทำเช่นนี้
เขาขอท้าเด็กหญิงตัวน้อย เด็กหญิงผู้นั้นทำหน้างุนงง คล้ายฟังไม่เข้าใจภาษาจงหยวนของเขา เขาเลยเรียกอูซ่านเข้ามา อูซ่านช่วยแปลให้อย่างเชี่ยวชาญ เขาอธิบายเป็นภาษาจงหยวนให้เด็กหญิงฟังอย่างไหลลื่น แต่เด็กหญิงก็ยังคงทำหน้างุนงง
องค์ชายน้อยจากซยงหนีว์เรียกอูซ่านเข้ามาให้ทำท่ามวยปล้ำ ก่อนที่เขาจะยกอูซ่านขึ้นแล้วโยนลงจากเวที!
จากนั้นเขาก็กวักมือเรียกเด็กหญิงแล้วตบหน้าอกตนเอง
เด็กหญิงตัวน้อยในที่สุดก็เข้าใจเสียที นางกึ่งวิ่งกึ่งกระโดดเข้าไปหา จับเอวองค์ชายน้อยจากซยงหนีว์ไว้แล้วทำตามที่องค์ชายน้อยจากซยงหนีว์กระทำกับอูซ่านเมื่อครู่อีกครั้งอย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง จากนั้นก็เป็นฉากอันน่าเศร้าสลดขององค์ชายจากซยงหนีว์…
กว่าทุกคนจะตามหากองค์ชายจากซยงหนีว์เจอก็หลังจากนั้นไปครึ่งชั่วยามแล้ว ตัวเขาไปห้อยอยู่กับกิ่งไม้ กิ่งไม้นั้นทำท่าจะหักแหล่มิหักแหล่ สภาพน่าอนาถยิ่งนัก เพราะห้อยอยู่นานเกินไป แขนขาของเขาจึงแข็งเกร็งไปหมด ตอนได้รับการช่วยเหลือลงมาจากต้นไม้ เขายังคงตัวแข็งอยู่ในท่ากบนั่ง ก่อนจะมีคนมาแบกออกไปท่ามกลางสายตาของทุกคน
ผลการสอบสายบุ๋นของผู้เข้าสอบจากซยงหนีว์ไม่สู้ดีนักมาตลอด แต่ผลการสอบสายบู๊ของพวกเขามักนำห่างผู้เข้าสอบคนอื่นไปไกลลิบ ดังนั้นจึงมักเห็นชื่อผู้เข้าสอบจากซยงหนีว์ติดอยู่ในสิบอันดับแรกเสมอ มีปีหนึ่งมีผู้เข้าสอบจากซยงหนีว์มาด้วยกันสิบคน สิบอันดับแรกของการสอบสายบู๊เลยถูกผู้เข้าสอบจากซยงหนีว์เหมาไปทั้งหมด การเลือกสอบพวกเขาก็ได้คะแนนดีเลิศด้วยกันทั้งสิ้น นั่นเป็นครั้งที่ผู้เข้าสอบจากจงหยวนแพ้อย่างหมดรูปที่สุดครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นไม่ว่าผู้เข้าสอบจากจงหยวนจะพยายามมากเพียงใด ไม่ว่าจะได้ที่หนึ่งมากี่ครั้ง ก็ไม่อาจลบล้าง “ความอับอาย” ที่เคยเกิดขึ้นในครั้งนั้นได้
วันนี้ผู้เข้าสอบจากซยงหนีว์แพ้ในประเภทการสอบที่ตนภาคภูมิใจมากที่สุด เด็กหญิงตัวน้อยใช้ความสามารถของตนคว้าอันดับหนึ่งในการสอบสายบู๊มาครอบครอง ทั้งยังบดขยี้เฟ่ยเหลียนผู้หยิ่งผยองกับองค์ชายน้อยจากซยงหนีว์ผู้อหังการจนย่อยยับได้อีก
ช่างสาแก่ใจนัก ช่างสาแก่ใจเหลือเกิน!
…
การสอบในหนึ่งวันนี้จบสิ้นลงอย่างสมบูรณ์ ผู้เข้าสอบทยอยเดินกันออกมาจากสำนักศึกษา ผู้ปกครองหรือผู้ติดตามที่รอกันอยู่นานแล้ว รับบุตรหลานของตนกลับบ้านกันไป
เฉียวเวยกับจีหมิงซิวยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน ถึงแม้จะรู้ว่านางไม่มีทางถูกคนชนหายไปไหน แต่จีหมิงซิวก็ยังจับมือนางไว้แน่น
เฉียวเวยชะเง้อคอยาว หันมองซ้ายขวาเข้าไปด้านใน ยามปกตินางสงบนิ่งอยู่เป็นนิจ เวลานี้ถึงกับอดที่จะร้อนใจประหนึ่งมีไฟสุมไม่ได้ “ทำไมยังไม่ออกมาอีกนะ”
ทันใดนั้นผู้เข้าสอบสามคนที่เห็นชัดว่าตัวเล็กกว่าใครเพื่อนก็เดินออกมาจากประตูใหญ่
เฉียวเวยยังเป็นกังวลว่าพวกเขาเด็กเกินไป จะถูกผู้เข้าสอบคนอื่นที่รีบร้อนอยากกลับบ้านชนล้มเข้า แต่ที่ทำให้เฉียวเวยตกใจอย่างหนักก็คือ ผู้เข้าสอบทุกคนดูแลเด็กสามคนนี้เป็นอย่างดี เว้นที่ไว้ให้พวกเขาเสียกว้างทีเดียว
เด็กน้อยทั้งสามไม่รู้หอบอะไรกันออกมาเต็มไม้เต็มมือไปหมด ในมือวั่งซูมีมากที่สุดแทบจะสุมกันเป็นภูเขาลูกเล็กๆ ได้เลยทีเดียว
วั่งซูพอเห็นบิดากับมารดาก็วิ่งตุบตับๆ เข้ามาหาก่อนจะโผเข้าไปกอดเฉียวเวย “ท่านแม่!” ก่อนจะหันไปทางจีหมิงซิว “ท่านพ่อ!”
จีหมิงซิวเอาตัวบุตรสาวมาอุ้มไว้ วันปกติเพราะต้องประชุมราชการจึงไม่ได้พบหน้าเลยทั้งวัน แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดกลับไม่คิดถึงมากเท่าวันนี้ คงเพราะรู้ว่านางไปที่สำนักศึกษา ในใจจึงทั้งเป็นห่วงเป็นกังวลกระมัง
จีหมิงซิวมองของชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่บุตรสาวถืออยู่แล้วถามด้วยความงุนงงว่า “พวกนี้คืออะไรหรือ”
วั่งซูตอบด้วยสีหน้าจนใจว่า “เป็นของที่พวกพี่ผู้เข้าสอบให้มา! ข้าบอกว่าข้าไม่เอา แต่พวกเขาก็จะให้ให้ได้ ช่างยากจะปฏิเสธน้ำใจนัก”
จีหมิงซิว “…”
เฉียวเวย “…”
ยากจะปฏิเสธน้ำใจเสียด้วย ตามปกติสอนหนังสือตัวหนึ่งอยู่เป็นครึ่งวันก็ยังจำไม่ได้ เวลานี้เพื่อของกินเหล่านี้แม้แต่ภาษาสละสลวยก็หลุดออกมาแล้ว ไม่รู้จริงๆ ว่าควรหัวเราะหรือร้องไห้ดี
ไม่นานจิ่งอวิ๋นกับหลิวเกอร์ก็วิ่งมาถึง ทั้งๆ ที่พวกเขาต่างหากที่เป็นเด็กชาย แต่เป็นตายอย่างไรก็วิ่งสู้น้องสาว (หลานสาว) ไม่ได้ มันช่างน่าเศร้าใจนัก!
ในมือพวกเขาก็มีของขวัญอยู่ไม่น้อย โดยมากเป็นของกินเล็กๆ น้อยๆ ที่ผู้เข้าสอบพกมาจากบ้าน แต่ก็มีที่เป็นพู่กันหรือพัดอะไรเหล่านั้น ของเหล่านี้เป็นของที่ผู้เข้าสอบบังคับให้พวกเขารับมาจริงๆ ทุกคนไม่ได้มีความตั้งใจอื่น แค่เพียงชอบเด็กน้อยทั้งสามคนนี้มากเท่านั้น
เด็กน้อยทั้งสามได้รับข้าวของมากมาย จึงขึ้นรถม้าไปอย่างอารมณ์ดี
จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูไปสถานศึกษามาหลายครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่บิดามารับส่งด้วยตนเอง จึงอิ่มเอมใจยิ่งนัก!
หลิวเกอร์ไม่เคยพบเห็นคนมากเพียงนี้มาก่อน และไม่เคยอยู่ห่างจากผู้ใหญ่นานเพียงนี้ จึงคล้ายว่าเขาได้ค้นพบแผ่นดินผืนใหม่ เวลานี้จึงตื่นเต้นกว่าใครเพื่อน
คราแรกสองสามีภรรยายังกังวลว่าเด็กทั้งสามจะปรับตัวไม่ได้ แต่ดูจากปฏิกิริยาในเวลานี้ของพวกเขาแล้ว พวกตนเป็นกังวลกันเกินไปเองจริงๆ
“เมื่อกลางวันกินอะไรกันไปหรือ” เฉียวเวยถาม
“หมั่นโถว ข้าวต้ม ผักดอกเค็ม” วั่งซูร่ายบอกพลางนับนิ้ว
เฉียวเวยหันไปมองจีหมิงซิวอย่างพูดไม่ออก “สถานศึกษาเก่าของเจ้าอาหารการกินย่ำแย่เพียงนี้เชียว”
ค่าเล่าเรียนแพงมากเลยนะจะบอกให้ ค่าลงทะเบียนเข้าร่วมการสอบของเด็กสามคนนี้ก็ปาเข้าไปหกสิบตำลึงแล้ว หากสอบเข้าได้ วันหน้าค่าอาจารย์ยังอีกคนละห้าสิบตำลึงต่อเดือน อาเซิงเข้าเรียนในสถานศึกษาของเมือง เดือนหนึ่งยังมีค่าอาจารย์เพียงสองตำลึงเท่านั้น ยังไม่เคยได้ยินอาเซิงบอกว่าเขาได้กินหมั่นโถวกับผักดองเค็มเลย
จีหมิงซิวเอ่ยน้ำเสียสบายๆ ว่า “วันนี้คงเพราะเกิดเหตุบางอย่างขึ้นกระมัง ยามปกติอาหารที่นี่ดีมากอยู่”
เฉียวเวยจึงค่อยวางใจลง ไม่ใช่ว่านางทำใจให้ลูกๆ ตกระกำลำบากไม่ได้ แต่เด็กทั้งสามอยู่ในวัยกำลังโต เป็นช่วงอายุที่ต้องการสารอาหารไปบำรุงร่างกาย หมั่นโถวกับผักดองเค็มกินสักมื้อหรือสองมื้อไม่เป็นไร แต่ให้กินทุกวันสารอาหารคงไม่เพียงพอ
หลังจากนั้นเฉียวเวยถามทั้งสามต่อว่าสอบอะไรกันบ้าง
วั่งซูบอกว่า “มีเขียนอักษร แล้วยังมีวิ่งด้วย”
จิ่งอวิ๋น: นั่นใช่วิ่งเมื่อไรกัน ขี่ม้าต่างหาก…
วั่งซูกินขนมเข้าไปคำหนึ่งก่อนจะเอียงศีรษะเอ่ยว่า “อาจารย์ยังให้ข้าช่วยยกของด้วย!”
จิ่งอวิ๋น: นั่นคือยกแจกัน ยกแจกัน ยกแจกัน…
“ข้าแข่งวางหมาก” จู่ๆ หลิวเกอร์ก็พูดขึ้น
เฉียวเวยส่งยิ้มน้อยๆ ให้เขา “วางแข่งกับใครหรือ”
หลิวเกอร์ตอบอย่างภาคภูมิใจว่า “กับคนเยอะมาก เยอะมากๆ เลย”
“เช่นนั้นเจ้าชนะหรือไม่” เฉียวเวยถาม
หลิวเกอร์พยักหน้า “ชนะ”