หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 289-2 สืบหาความจริง เด็กน้อยทั้งสาม
ตอนที่ 289-2 สืบหาความจริง เด็กน้อยทั้งสาม
เฉียวเวยเก็บสีหน้ากลับมาแล้วระบายยิ้มบางๆ “ที่เจ้ามาเมืองหลวงครั้งนี้ บังเอิญพบกับท่านเขยของข้าได้อย่างไรหรือ”
ฉินเฉียวตอบว่า “บังเอิญพบบนถนนเจ้าค่ะ”
“ถนนเส้นไหนหรือ” เฉียวเวยถาม
สายตาของฉินเฉียวมองเฉียงลงข้างกายตนตลอดเวลา “ถนนฉางหลิวเจ้าค่ะ”
เฉียวเวยมองตาอีกฝ่าย “ท่านเขยเป็นคนเห็นเจ้าก่อนหรือ”
ฉินเฉียวพยักหน้า
เฉียวเวยเห็นว่าอีกฝ่ายถูกตนถามจนไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อแล้ว จึงได้เวลาที่จะปล่อยนางกลับไปได้ “ลูกเจ้าดูเหมือนจะเริ่มง่วงแล้ว เจ้าอุ้มกลับไปนอนกลางวันก่อนเถิด”
ฉินเฉียวโค้งกายแล้วอุ้มถงเกอร์ออกจากห้องไป
จีซวงพึมพำว่า “เฉียวเฉียวเป็นคนใจเสาะ เมื่อครู่เจ้าทำนางตกใจแล้ว”
เฉียวเวยระบายยิ้ม “ข้าเป็นคนใจร้อนจึงถามมากไปสักหน่อย ท่านน้าอย่าได้เก็บไปใส่ใจ”
จีซวงดึงผ้าเช็ดหน้าในมือเล่น “ข้าไม่ได้อะไรหรอกนะ แต่เจ้าอย่าได้ทำเช่นนี้ยามอยู่ต่อหน้าท่านเขยเชียว ถึงอย่างไรก็เป็นน้องสาวของเขา ถึงแม้จะต่างบิดา แต่พี่ชายเปรียบประหนึ่งบิดา ถึงอย่างไรจะไม่สนใจนางก็คงไม่ได้”
คำพูดนี้ไม่รู้ว่าพูดให้เฉียวเวยฟังหรือพูดให้ตนเองฟังกันแน่
เฉียวเวยมองของที่อยู่บนโต๊ะ “เมื่อครู่มัวแต่ซักถามจนลืมเอาของให้แม่นางฉินเสียแล้ว เช่นนั้นรบกวนท่านน้ามอบให้นางแทนข้าที”
จีซวงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เจ้ามีน้ำใจแล้ว ขอบคุณเจ้าแทนเฉียวเฉียวด้วย”
เฉียวเวยตกใจกับประโยคนี้ไม่น้อย “ท่านน้าช่างดีกับแม่นางเฉียวยิ่งนัก”
จีซวงระบายยิ้ม “ข้าชอบใจนางมากอยู่ ข้ามีแต่พี่ชายสามคน ไม่มีน้อง จึงอยากได้น้องสาวมาตลอด”
เฉียวเวยฉีกยิ้มกว้าง แสดงออกว่าที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ นางเหลือบมองนาฬิกาทรายบนกำแพงแล้วเอ่ยว่า “ข้าต้องไปรับพวกจิ่งอวิ๋นแล้ว พรุ่งนี้จะมาหาท่านน้าอีกครั้ง”
จีซวงบอกว่า “ข้าจะไปส่ง”
เฉียวเวยกดมือนางไว้เบาๆ “ไม่ต้องหรอก ท่านน้าส่งที่นี่ก็พอ”
จีซวงจึงยิ้ม “ค่อยๆ ไปนะ”
เฉียวเวยลุกขึ้นเดินออกไป
จนกระทั่งเฉียวเวยเดินลับตาไปแล้ว จีซวงถึงได้นวดใบหน้าที่แข็งเกร็งของตน นางเรียกเถาจือเข้ามาแล้วเอ่ยช้าๆ ว่า “นางกลับไปพักแล้วเหรือ”
เถาจือตอบว่า “เจ้าค่ะฮูหยิน แม่นางฉินกับถงเกอร์นอนหลับกันไปแล้ว”
จีซวงทำเสียงหึเรียบๆ “อย่างนี้ก็ยังนอนหลับได้นะ ช่างสบายใจนัก! หากเป็นข้าที่สามีหายไป เวลานี้ข้าคง… ช่างเถิด เจ้าออกไปได้! คอยรับใช้นางให้ดี อย่าให้ท่านเขยเห็นว่าละเลยนางล่ะ”
“เจ้าค่ะ” เถาจือตอบรับ
…
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม ท่านเขยฉินก็เอาสัมภาระของฉินเฉียวกลับมาที่จวน
จีซวงเดินเข้าไปรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม นางเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดเหงื่อตรงขมับให้เขา “เก็บเสร็จเร็วเพียงนี้เชียวหรือ”
ท่านเขยฉินบอกว่า “ของนางไม่มาก”
จีซวงเหลือบมองหีบที่อยู่บนพื้น คิดในใจว่าของของภรรยาเจ้ายังไม่เคยเก็บให้มาก่อน นี่ถึงขั้นไปเก็บให้น้องสาว!
“เจ้าเป็นอะไรหรือ” ท่านเขยฉินเห็นสีหน้าอีกฝ่ายดูไม่สู้ดีจึงถามขึ้น
จีซวงระบายยิ้มเล็กน้อย “ไม่มีอะไร ข้ากำลังคิดว่าของของน้องสาวออกจะน้อยเกินไปสักหน่อย ข้าต้องช่วยเติมให้สักนิด”
ท่านเขยฉินเอ่ยเสียงนุ่มว่า “ไม่ต้องหรอก นางอยู่ที่นี่ไม่นาน หากซื้อมากเข้าแล้วถึงเวลานางเอาไปไม่ได้ คงสิ้นเปลืองแย่”
จีซวงพึมพำว่า “ข้าให้คนส่งนางกลับไปก็ได้มิใช่หรือ แค่รถม้าไม่กี่คันเท่านั้น ตระกูลจีไม่ขาดสิ่งของเหล่านี้”
ท่านเขยฉินเพ่งมองภรรยานิ่ง “เช่นนี้จะเป็นการรบกวนเจ้าเกินไป”
จีซวงถูกสายตาล้ำลึกของอีกฝ่ายมองจนหน้าแดง จึงหลุบตาลงเอ่ยเสียงเบาว่า “ระหว่างเราอย่าได้กล่าวเช่นนี้ น้องสาวของเจ้าก็คือน้องสาวของข้า ข้าจะปฏิบัติต่อนางเยี่ยงน้องสาวที่คลานตามกันมา”
ท่านเขยฉินดึงนางเข้ามากอด สายตาทอดมองไปไกล “ซวงเอ๋อร์ เจ้าช่างดีเหลือเกิน”
พอนึกอะไรขึ้นมาได้ จีซวงจึงเอ่ยว่า “ใช่สิ ท่านพี่ เมื่อครู่เสี่ยวเวยมาที่นี่ นางจะให้ของขวัญกับเฉียวเฉียว ทั้งยังรับปากว่าจะช่วยเฉียวเฉียวตามหาสามีด้วย”
ท่านเขยฉินเอ่ยด้วยสายตาล้ำลึกว่า “จะไปรบกวนนางได้อย่างไร”
จีซวงไม่คิดเช่นนั้น “คนบ้านเดียวกันทั้งนั้น รบกวนอะไรกัน”
ท่านเขยฉินจับไหล่จีซวงไว้แน่น “เป็นเพราะข้าไม่อยากพึ่งพาตระกูลจีไปทุกเรื่องถึงได้คิดจะตามหาเอง ข้าไม่อยากให้ตนพอไม่มีตระกูลจีแล้วก็คล้ายจะทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่าง”
จีซวงเงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่าย “เจ้าไม่พอใจหรือ”
ท่านเขยฉินบอกว่า “ไม่ใช่อย่างนั้น ข้ารู้ว่าเจ้าทำไปเพราะหวังดีกับข้า”
จีซวงเอามือวางบนหน้าอกเขาแล้วเอ่ยด้วยความจนใจว่า “ข้าก็สงสารน้องสาวเจ้ายิ่งนัก เจ้าบอกว่านางเลี้ยงดูบุตรคนเดียวมาไม่ง่าย สามีนางก็หายไปสองสามปีโดยไม่มีข่าวคราวอะไรเลย ใครจะรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเพราะไม่ต้องการนางแล้ว ที่ข้าทำนี่ไม่ใช่เพราะอยากให้ทุกอย่างกระจ่างโดยเร็วหรอกหรือ จะได้ช่วยให้น้องสาวเจ้าหายคลางแคลงใจเสียที”
ท่านเขยฉินพยักหน้า “ข้าเข้าใจ ขอบคุณมาก ซวงเอ๋อร์”
จีซวงยื่นแขนออกไปกอดเอวแกร่งของสามี นางหลับตาดื่มด่ำกับความสงบตรงหน้า แต่แล้วจู่ๆ ในห้องกลับมีเสียงร้องไห้ของถงเกอร์ดังขึ้น
ท่านเขยฉินดึงตัวภรรยาออกแล้วบอกว่า “ถงเกอร์ร้องไห้ ข้าจะไปดูสักหน่อย”
จีซวงขยับปาก “นี่…”
ท่านเขยฉินหมุนตัวไปทันที
จีซวงมองแผ่นหลังสามีที่เดินไปแล้วกำผ้าเช็ดหน้าแน่น หลานชายล้มป่วย ตามปกติแล้วการที่ผู้เป็นลุงไปเยี่ยมเยียนนับว่าสมควร แต่เหตุใดใจนางถึงไม่เป็นสุขเช่นนี้
…
เฉียวเวยขึ้นนั่งรถม้าไปที่สำนักศึกษา ตอนไปถึงหน้าประตู จีหมิงซิวไปถึงก่อนแล้ว เฉียวเวยกระโดดลงจากรถม้าแล้วเดินไปพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ใต้เท้าอัครเสนาบดีไม่เพียงมาไม่ช้า แต่ยังมาเร็วเสียด้วย หากข้าเป็นฮ่องเต้คงไม่พอใจท่านแย่”
จีหมิงซิวจับมือนางแล้วแล้วเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “หนี้มีมากเข้าก็กลายเป็นไม่เฉยชา ถึงอย่างไรก็ไม่พอใจมาหลายครั้งแล้ว อีกสักครั้งสองครั้งไม่เป็นอะไรหรอก”
เฉียวเวยหลุดหัวเราะก่อนเอ่ยต่อว่า “ไม่กลัวฝ่าบาทจะปลดท่านจากตำแหน่งด้วยความโกรธเกรี้ยวหรือ”
จีหมิงซิวจับปลายนิ้วนางเล่นแล้วเอ่ยอย่างใจลอยว่า “เจ้าเคยเห็นข้ากลัวด้วยหรือ”
เฉียวเวยปรายตามองอีกฝ่ายทีหนึ่ง “ฝ่าบาทเป็นญาติผู้พี่ของท่านย่อมต้องเอนเอียงไปทางท่าน แต่ข้าได้ยินว่าผู้ตรวจการพวกนั้นแทบอยากจะถลกหนังท่านออกมากันจะแย่อยู่แล้ว หากพวกเขาคิดจะเล่นงานท่าน…”
จีหมิงซิวตอบว่า “ไม่ได้เล่นงานต่อหน้าข้าเสียหน่อย”
จู่ๆ เฉียวเวยก็รู้สึกปวดหัวแทนฮ่องเต้ขึ้นมา การมีญาติผู้น้องเช่นนี้น่าปวดหัวอยู่จริงๆ
ทั้งสองรออยู่พักหนึ่งก็เห็นเด็กน้อยทั้งสามจูงมือกันเดินออกมา แต่ละคนแก้มแดงก่ำ หน้าตาแจ่มใส มองออกว่าวันนี้ผ่านไปได้ไม่เลว จิ่งอวิ๋นเห็นบิดามารดาก่อนใครเพื่อน เขาปล่อยมือแล้ววิ่งเข้าไปหาเฉียวเวย ไม่นานวั่งซูก็หันมาเห็นอีกคน จึงวิ่งมาหาเฉียวเวยเช่นกัน แต่นางลืมที่จะปล่อยมือหลิวเกอร์ จึงคว้ามือหลิวเกอร์ออกวิ่งเร็วจี๋จนหลิวเกอร์แทบจะลอยจากพื้น อ๊ากๆๆๆๆ ได้แต่ตะโกนร้องลั่น!
วั่งซูโผเข้าหาอ้อมแขนของมารดา
หลิวเกอร์ตัวชนเข้ากับจีหมิงซิวโดยแรง ก่อนจะหล่นปุกลงกับพื้น เรียกได้ว่าสภาพย่ำแย่มากทีเดียว
จีหมิงซิวหิ้วตัวหลิวเกอร์ขึ้นมา ใช้แขนหนีบเอาไว้ ส่วนอีกมือหนึ่งจูงบุตรชายไปขึ้นรถม้า
เฉียวเวยก็อุ้มวั่งซูขึ้นมานั่งเช่นกัน
“มาเรียนสนุกหรือไม่” เฉียวเวยถาม
วั่งซูยิ้มร่า “สนุก!”
เฉียวเวยเช็ดเหงื่อบนหน้าผากบุตรสาว “อย่างนั้นหรือ เรียนอะไรบ้างเล่า”
วั่งซูบอกว่า “เรียน…ก็คือได้มาเรียน!”
“หลิวเกอร์ วันนี้เรียนอะไรไปบ้าง”
หลิวเกอร์ตอบอย่างงุนงงว่า “อาจารย์สอน…”
เฉียวเวยถึงกับกุมหน้าขมับ คนนี้ก็หวังอะไรไม่ได้ คงได้แต่ถามจิ่งอวิ๋นแล้ว
จากคำบอกเล่าของจิ่งอวิ๋น เฉียวเวยจึงพอเข้าใจการเรียนการสอนของสำนักศึกษาหนานซาน สำนักศึกษาหนานซานไม่มีการเรียนมั่วซั่ว อย่างต่ำต้องอายุสิบปี ซึ่งล้วนเป็นเด็กที่พอมีพื้นฐานมาแล้ว สำนักศึกษานี้ได้มีการแบ่งเป็นชั้นปีที่หนึ่งที่สอง เมื่อเปิดห้องเรียนนี้แล้วก็จะเรียนกันไปทีละปีๆ หลังจากเรียนไปห้าปี นักเรียนที่ผ่านการสอบได้คะแนนชั้นเลิศ จะเป็นอันจบการศึกษา
การเรียนการสอนของสำนักศึกษานั้นหลักๆ แบ่งออกเป็นหกประเภท: ประเพณี ดนตรี ยิงธนู การปกครอง วรรณคดีและคณิตศาสตร์ ทั้งหกประเภทนี้เรียกรวมว่าศิลปะทั้งหกของสุภาพชน นับว่าเป็นวิชาที่ต้องศึกษาของบัณฑิตต้าเหลียง วิชาวรรณคดีและคณิตศาสตร์นับเป็นศิลปะส่วนน้อย ถือเป็นหลักสูตรขั้นพื้นฐาน ส่วนอีกสี่ประเภทที่เหลือนับเป็นวิชาขั้นสูง
วรรณคดีทั้งหกและคณิตศาสตร์ทั้งเก้าเป็นวิชาหลักที่พวกจิ่งอวิ๋นต้องเข้าเรียน นับเป็นครึ่งหนึ่งของวิชาทั้งหมด นอกจากวรรณคดีทั้งหกและคณิตศาสตร์ทั้งเก้าแล้ว ก็ยังมีวิชาความสามารถพิเศษอาทิ ดนตรี วาดภาพ และการต่อสู้เป็นต้น
แต่ละห้องจะมีหัวหน้าอาจารย์เป็นของตนเอง หากอยู่ในยุคปัจจุบันก็น่าจะเทียบเท่ากับครูประจำชั้น
หัวหน้าอาจารย์ของจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูแซ่ซุน
อาจารย์ซุนผู้นี้นับว่าเป็นบุคคลระดับตำนานของสำนักศึกษาแห่งนี้ ได้ยินว่าเขาไม่เป็นอาจารย์สอนมาแปดปีแล้ว เพียงแค่มีชื่ออยู่ในสำนักศึกษาเท่านั้น แต่รุ่นนี้ไม่รู้เพราะเหตุใด เขาถึงกับเสนอตัวขอเป็นหัวหน้าอาจารย์ของห้องใหม่นี้
ไม่นานรถม้าก็เคลื่อนตัวมาถึงตระกูลจี เด็กน้อยทั้งสามกระโดดลงจากรถม้า แย่งกันวิ่งจี๋ไปยังบ้านชิงเหลียน
วั่งซูพุ่งตัวไปข้างหน้าสุดอย่างไม่ยอมให้ใครแซง แต่หลิวเกอร์จับตัวนางไว้อย่างเจ้าแผนการ ครานี้หลิวเกอร์มีประสบการณ์แล้ว ถึงขั้นไม่โดนนางดึงจนตัวลอยอีก
ความเร็วของเจ้าเด็กร่างท้วมนี้ไม่ใช่เล่นๆ เลย ไม่นานก็วิ่งไปถึงบ้านชิงเหลียน
ตรงหน้าประตูบ้านชิงเหลียน สัตว์น้อยทั้งสามนั่งเรียงแถวกันอยู่ กำลังมองตรงมากันตาแป๋ว
“หยุดๆๆ! หยุดก่อนๆ!”
หลิวเกอร์ตะโกนบอกให้วั่งซูหยุด
สายตาของหลิวเกอร์เป็นประกาย กางแขนน้อยๆ ของตน
แต่เสี่ยวไป๋กลับวิ่งผ่านตัวเขาไป…โผเข้าไปหาวั่งซูแทน
แขนของหลิวเกอร์แข็งค้าง…
ยังดีที่ในตอนนั้นต้าไป๋ขยับตัวบ้าง ต้าไป๋วิ่งทะยานเข้ามาอย่างรวดเร็ว ครั้งนี้เขาวิ่งตรงแน่วมาทางหลิวเกอร์
สายตาที่เศร้าหมองของหลิวเกอร์พลันกลับมามีประกายอีกครั้ง แต่ใครจะรู้ว่าในขณะที่ต้าไป๋กำลังจะเข้ามาถึงตัวเขานั้น มันกลับกระโจนตัวกระโดดข้ามศีรษะเขาไปโผเข้าหาจิ่งอวิ๋นอย่างแม่นยำ
ครานี้ก็เหลือแค่จูเอ๋อร์แล้ว
จูเอ๋อร์เสียบดอกไม้สีแดงดอกใหญ่อยู่บนศีรษะ มันก้าวขาโผเข้าหาหลิวเกอร์รวดเร็วจนแทบจะบินได้
หลิวเกอร์เบี่ยงตัวหลบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ จูเอ๋อร์เลยกระแทกเข้ากับหินเสียงดังพลั่ก!