หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 305-2 ได้ประโยชน์สองต่อ จุดจบ (1)
ตอนที่ 305-2 ได้ประโยชน์สองต่อ จุดจบ (1)
ฉินปิงอวี่วางตัวฉินเฉียวลงบนเรือแล้วไปช่วยกันขยับพายกับผู้คุ้มครองอีกคน คนพวกนั้นยิงธนูออกมาอีกหลายดอกแต่ก็ถูกพวกเขาสองคนปัดออกไปจนหมด หลังจากเรือแล่นไปถึงกลางแม่น้ำแล้ว พวกเขาก็หลุดพ้นจากองครักษ์กลุ่มนั้นเสียที
พวกเขาทั้งสามไปถึงอีกฝั่งหนึ่งของทะเลสาบ ที่ตรงนี้เป็นหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง เมื่อผ่านหมู่บ้านนี้ไป อีกระยะหนึ่งก็จะเจอแม่น้ำที่มุ่งตรงสู่ทางใต้ หากพวกเขาเดินทางตามแม่น้ำสายนี้ จะรวดเร็วและปลอดภัยกว่าทางบกมากนัก
คนของทางการกับหมิงซิวดูเหมือนจะยังไล่ตามมาไม่ถึงที่นี่ เพิงน้ำชาตรงปากหมู่บ้านยังคงมีแขกที่ผ่านไปมานั่งกระจายกันอยู่ พวกฉินปิงอวี่หาโต๊ะนั่ง ฉินปิงอวี่ถามเถ้าแก่ร้านว่าพอมีห้องให้น้องสาวเขาเข้าไปพักได้หรือไม่
เถ้าแก่ใจดีเอาห้องของตนให้นาง ที่นี่มีแต่ชาวบ้าน บ้านเรือนซอมซ่อผุพัง ถึงจะบอกว่าเป็นห้องของเจ้าของร้านแต่อันที่จริงก็ไม่ต่างอะไรกับห้องของบ่าวไพร่ในบ้านตระกูลจี
ฉินปิงอวี่เอาตัวฉินเฉียวนอนลงบนเตียง ลูบศีรษะนางพอเห็นว่าไม่ร้อนแล้วจึงไปขอชาร้อนจากเถ้าแก่มาถ้วยหนึ่ง
ฉินเฉียวพอไข้ลดจึงกลับมาพอมีแรง นางเอาแต่จ้องหน้าอีกฝ่ายนิ่ง เป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมดื่ม
ฉินปิงอวี่บอกว่า “ข้าคลายจุดเป็นใบ้ของเจ้าได้ แต่เจ้าต้องรับปากก่อนว่าจะไม่พูดอะไรซี้ซั้ว และห้ามร้องด้วย”
ฉินเฉียวพยักหน้าด้วยท่าทีลังเล
ท่านเขยฉินคลายจุดชีพจรให้นาง ฉินเฉียวถือถ้วยชาแล้วดื่มอักๆ ลงไปหลายอึก
ฉินปิงอวี่ไปขอซื้อแป้งทอดจากเถ้าแก่มาอีกหลายแผ่น ฉินเฉียวก็ไม่เกรงใจ รับมาเคี้ยวคำโตเข้าไปทันที
ผู้คุ้มครองบอกว่า “ข้าทิ้งสัญลักษณ์ไว้ให้พวกเขาแล้ว พวกเขาจะไปรอพวกเราที่ท่าเรือข้ามฟากหลี่จื่อของแม่น้ำซง อีกเดี๋ยวพวกเราจ้างเรือออกเดินทางไป คืนนี้ก็น่าจะได้เจอกับพวกเขาที่ท่าเรือข้ามฟาก”
ฉินปิงอวี่พูดเสียงเบาว่า “เจ้าไปจัดการเรื่องเรือ จำไว้ว่าอย่าให้คนของจีหมิงซิวเห็นเข้าเด็ดขาด”
ผู้คุ้มครองขมวดคิ้ว “เหตุใดเจ้าจึงไม่ไปกับข้าด้วย”
หางตาของฉินปิงอวี่กวาดมองไปรอบๆ แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “พวกมันรู้ว่าพวกเรามีกันสามคน เป้าหมายใหญ่เกินไป เดี๋ยวจะมีคนพบเห็นได้ง่าย”
ผู้คุ้มครองเข้าใจที่อีกฝ่ายพูดแต่ยังคงถามอย่างไม่เข้าใจว่า “เจ้ายังจะพาสตรีนางนี้ไปอีกหรือ หากมีแค่เจ้ากับข้าจะเดินทางได้เร็วและปลอดภัยมาก”
“ข้าจะพานางไปด้วย” ฉินปิงอวี่บอก
ผู้คุ้มครองไม่เห็นด้วย “นางไม่มีประโยชน์เลยสักนิด”
ฉินปิงอวี่เอ่ยข่มอย่างไม่นึกโกรธว่า “ข้าต่างหากคือฉางเฟิงสื่อ จะตัดสินใจอย่างไรเป็นเรื่องของข้า ไม่ใช่ธุระกงการของเจ้าที่ต้องมาตั้งคำถาม”
ผู้คุ้มกันยกถ้วยชาขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ เหลือบมองไปทางเขาแล้วดื่มชาจนหมดถ้วย จากนั้นก็โยนแผ่นทองแดงทิ้งไว้สองแผ่นแล้วหยิบกระบี่ของตนจากไป
ฉินปิงอวี่นั่งอยู่ในเพิงน้ำชา คอยฟังผู้คนที่ผ่านไปมาสนทนากัน เมื่อเห็นว่าไม่มีเรื่องอะไรเกี่ยวกับตนจึงค่อยๆ วางใจลง ลุกขึ้นเดินกลับห้องไป แต่พอเขาเลิกผ้าม่านเดินเข้าไป เขากลับพบว่าฉินเฉียวที่เดิมนอนอยู่บนเตียงดีๆ เวลานี้กลับหายตัวไปแล้ว! คิ้วเข้มขมวดมุ่น เดินเร็วๆ ออกไปจากเพิงน้ำชา
ฉินเฉียวแอบหนีออกไปทางประตูหลัง นางกำลังไม่สบายจึงเดินไปได้ไม่ไกลนัก ไม่นานฉินปิงอวี่ก็หาตัวนางพบ
“เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ!” ฉินปิงอวี่ตะคอกเสียงเข้ม
ฉินเฉียวหันกลับไปมองเขา นางไม่เพียงไม่หยุดเดิน แต่กลับเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
ฉินปิงอวี่เอ่ยด้วยความโกรธว่า “เจ้ายังป่วยอยู่ นี่ไม่เสียดายชีวิตแล้วใช่หรือไม่”
ฉินเฉียวพยายามเดินหน้าต่อไปเต็มที่
ฉินปิงอวี่บาดเจ็บภายในทั้งยังระหกระเหินมาตลอดทาง อันที่จริงสภาพเขาก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่านัก เขากัดฟันเร่งฝีเท้าเดินไป ในขณะที่เขาจะคว้าตัวฉินเฉียวเอาไว้ได้นั้น อยู่ๆ แสงสีขาววูบหนึ่งก็พุ่งเข้าใส่หน้าของฉินปิงอวี่
ฉินปิงอวี่ตะลึงงัน ชักกระบี่ฟันไปทางอีกฝ่าย
แต่อีกฝ่ายกลับหลบกระบี่ของเขาไปได้อย่างง่ายดายแล้วกางกรงเล็บคมกริบออกตะปบจนตัวเขากระเด็นไป!
ฉินปิงอวี่ล้มลงกับพื้นอย่างรุนแรงจนกระอักเลือดออกมา
ต้าไป๋กระโดดขึ้นค่อมตัวเขา คล้ายภูเขาลูกใหญ่ที่กดดับอยู่บนตัวเขาจนหายใจแทบไม่ออก
ในมือเขายังถือกระบี่อยู่ สายตาวาวเป็นประกาย ขยับข้อมือวาดกระบี่จะฟันใส่ต้าไป๋ แต่ใครจะรู้ว่าต้าไป๋ไม่แม้แต่จะเหลือบตามอง ก็หันไปอ้าปากกัดกระบี่เขาไว้ ได้ยินเพียงเสียงดังเคร้ง ก่อนที่กระบี่จะถูกกัดจนหัก
นี่เป็นถึงเหล็กกล้าเชียวนะ ถึงขั้นถูกเพียงพอนเมฆาตัวหนึ่งกัดขาดเชียวหรือ…
ฉินปิงอวี่มองต้าไป๋ด้วยความหวาดผวา
ต้าไป๋มองฉินปิงอวี่ด้วยความดุดัน
เสี่ยวไป๋กับจูเอ๋อร์ก็ร้องลั่นพลางวิ่งกรูเข้ามา
จูเอ๋อร์ยื่นมือเล็กดำของตนออกมาตบเพี๊ยะเข้าให้ทีหน้าเขา เสี่ยวไป๋เองก็ตบเขาให้เต็มรักเช่นกัน เจ้าสัตว์น้อยทั้งสองตบหน้าเขาไปมาซ้ายทีขวาที จนจมูกเขาแทบจะจมหายไปอยู่แล้ว เขาจะยกมือขึ้นจับ ต้าไป๋ก็จัดการงับเสียเส้นเอ็นที่มือขาด!
เฉียวเวยเดินเข้ามาอย่างไม่รีบร้อน ก้มลงมองอีกฝ่ายแล้วระบายยิ้มเอ่ยว่า “โอ๊ะ นี่ใครกัน ไม่ใช่ท่านเขยข้าที่หนีหายไปแล้วหรอกหรือ ไม่เท่าไรก็ได้พบหน้ากันอีกแล้ว”
ฉินปิงอวี่มองเฉียวเวยด้วยสีหน้าดุดัน
เสี่ยวไป๋เลยตบเข้าให้ที่ตาเขา!
มองอะไร!
เสี่ยวเวยเป็นของข้า!
ตาของฉินปิงอวี่ปูดโปนขึ้นมาทันที เขาพยายามเผยอตาด้วยความยากลำบาก มองสีหน้าได้ใจของเฉียวเวยแล้วหันไปมองฉินเฉียวที่อยู่ด้านหลังนาง ในชั่วแวบนั้นเขาก็ได้เข้าใจบางอย่าง “เจ้าหลอกข้า?”
ฉินเฉียวกำมือแน่น
เฉียวเวยย่อตัวลงมามองเขาด้วยความขบขัน “ท่านเขยอย่าได้พูดจาไม่น่าฟังเช่นนี้ หลอกอะไรกัน เป็นนางที่อยากเกาะติดท่านไม่ปล่อยเมื่อไรกัน แต่เป็นตัวท่านเขยเองที่ลุ่มหลงในสตรีเพศ จะพานางขึ้นรถมาด้วยให้ได้ เช่นนี้แล้วจะโทษใครได้เล่า”
ฉินปิงอวี่โกรธจนเจ็บหน้าอกไปหมด เขาจ้องหน้าฉินเฉียวไม่วางตา กัดฟันกรอดขณะเอ่ยว่า “เหตุใดเจ้าถึงต้องทำเช่นนี้ ข้าดีต่อเจ้าไม่น้อย!”
ฉินเฉียวเดินไปหลบอยู่ด้านหลังเฉียวเวย
เฉียวเวยทอดถอนใจเอ่ยว่า “ท่านน้าข้าก็ดีต่อท่านเขยไม่น้อยเช่นกัน แล้วท่านเขยตอบแทนท่านน้าอย่างไรหรือ บอกได้เพียงว่าเวรกรรมนั้นมีจริง สวรรค์ไม่เคยปราณีใคร! ท่านเขยก่อกรรมมากเกินไป สุดท้ายกรรมจึงมาตกที่ตัวท่านเอง เอาล่ะ ท่านเขยอย่าได้ดึงรั้งสิ่งที่ไม่ใช่ของตนเอาไว้เลย ท่านจะคว้าไว้อย่างไร…ก็คว้าไม่อยู่หรอก”
ฉินปิงอวี่คล้ายไม่ได้ยินคำล้อเลียนที่เฉียวเวยบอก สองตาของเขายังคงจ้องเขม็งไปที่ฉินเฉียว “ฉิน เฉียว!”
เฉียวเวยเหยียดยิ้มแล้วลุกขึ้น “ฉินเฉียวเจ้าทำได้ดีมาก ข้ามีรางวัลจะมอบให้เจ้า”
“รางวัล…อะไร” ฉินเฉียวถามออกไปตามสัญชาตญาณ
เฉียวเวยชี้ไปยังรถม้าที่จอดอยู่ไม่ไกล ฉินเฉียวมองตามไปก็เห็นว่ามีใครคนหนึ่งเปิดผ้าม่านเดินลงมาจากรถม้า
คนผู้นั้นอายุประมาณยี่สิบห้ายี่สิบหกปี ร่างกายผ่ายผอม สวมใส่อาภรณ์ยาวสีฟ้า เส้นผมดำขลับหวีรวบเป็นมวยสูง แล้วใช้ปิ่นไม้เล่มหนึ่งตรึงเอาไว้ ฉินเฉียวจำปิ่นปักผมเล่มนั้นได้ทันที นางเป็นคนให้ของขวัญชิ้นนี้กับโจวซุ่นในคืนวันแต่งงาน
“โจวซุ่น?” นางเอ่ยเรียกด้วยความตกใจ
โจวซุ่นได้ยินเสียงภรรยาก็ตื่นเต้นจนซวนเซ เกือบจะล้มลงกับพื้น
ฉินเฉียวยกเท้าออกวิ่งเข้าไปหา
โจวซุ่นก็วิ่งเข้ามาหานางเช่นกัน ในขณะที่เหลือระยะระหว่างกันอีกไม่กี่ก้าว ทั้งสองก็ชะงักกันไป
สามปีที่ไม่ได้พบหน้า ทั้งสองเปลี่ยนไปไม่น้อย แค่เพียงได้มองเช่นนี้ยังรู้สึกทั้งคุ้นเคยและแปลกหน้า
ฉินเฉียวหันหลังหนี “ข้าไม่มีหน้าจะพบเจ้า…”
โจวซุ่นก้าวเข้ามาหา จับตัวนางหันกลับมา ถึงแม้ตัวนางจะหันกลับมาแล้วแต่ยังคงเบือนหน้าหนีไปทางอื่น โจวซุ่นประคองใบหน้านางไว้ เอ่ยเสียงเบาว่า “ข้ารู้หมดแล้ว ข้าไม่โทษเจ้า ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเอง ข้าไม่ควรละทิ้งเจ้าไปเข้าเมืองหลวงตั้งแต่แรก หากข้าอยู่ข้างกายเจ้าตลอด เจ้าก็คงไม่ต้องเข้าเมืองหลวงมาตามหาข้า…”
ฉินเฉียวน้ำตาร่วงเผาะ
โจวซุ่นดึงนางเข้ามากอด
ฉินปิงอวี่มองสามีภรรยาที่ได้พบหน้ากันอีกครั้งด้วยสองตาที่แดงก่ำ ความหึงหวงแทบจะทำให้เขาตาบอด
เฉียวเวยย่อตัวลงไป มองสองสามีภรรยาที่ได้พบหน้ากันเสียทีแล้วเอ่ยล้อเลียนว่า “ดูเหมือนท่านเขยจะตกใจมากเลยนะ…เจ้าก็ช่างกระไร ดีร้ายอย่างไรก็เป็นถึงฉางเฟิงสื่อ เหตุใดถึงไม่เข้าใจกระทั่งการตัดรากถอนโคนนะ หากข้าเป็นเจ้าคงเอามีดปาดคอเขาไปแล้ว ไม่ส่งตัวเขาไปทำงานที่เหมืองหรอก”
ฉินปิงอวี่กำมือแน่นจนได้ยินเสียง
“ไห่สือซานลงทุนลงแรงไปมากกว่าจะหาตัวเขาพบ เป็นอย่างไร พอใช้ได้กระมัง เพียงแต่…” ฉินเฉียวมองไปทางโจวซุ่นแล้วหันกลับมามองฉินปิงอวี่ นางเอ่ยด้วยสีหน้างุนงงอย่างหนักว่า “โจวซุ่นผู้นี้หน้าตาก็ไม่เท่าไร ถ้าเทียบกับท่านเขยแล้วเรียกได้ว่าต่างกันฟ้ากับเหวทีเดียว ซ้ำยังไม่มีอำนาจบารมีใดๆ แม่นางฉินไปถูกใจอะไรในตัวเขากันนะ ท่านเขยฉินดีกว่าเขาทุกอย่าง ทั้งยังรักใคร่แม่นางฉินด้วยใจ แม่นางฉินผู้นี้ก็ช่างกระไร ยังเลือกเขาไม่เลือกเจ้าเสียได้”
ฉินปิงอวี่ถูกยั่วจนแทบจะกระอักเลือด “เจ้าตั้งใจใช่หรือไม่”
เฉียวเวยไม่มีบ่ายเบี่ยงสักนิด “ข้าย่อมตั้งใจแน่ ข้าได้ข่าวโจวซุ่นตั้งนานแล้วแต่ข้าเก็บงำไม่ยอมบอกฉินเฉียวมาตลอด ข้ารอจังหวะให้นางได้พบหน้าโจวซุ่นต่อหน้าเจ้า เป็นอย่างไรบ้างท่านเขย ความรู้สึกเจ้ายังดีอยู่หรือไม่”
ฉินปิงอวี่เอ่ยเสียงเย็นว่า “เก่งนักก็ฆ่าข้าเสียสิ!”
เฉียวเวยเอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงเรียบ “เจ้าเป็นถึงฉางเฟิงสื่อแห่งเยี่ยหลัวเชียวนะ ข้าจะทำใจฆ่าเจ้าลงได้อย่างไร”
ฉินปิงอวี่ “เจ้าอย่าคิดว่าจะล้วงข้อมูลอะไรออกจากปากข้าได้เชียว!”
เฉียวเวยจึงบอกว่า “ใครบอกว่าข้าจะล้วงความลับจากปากเจ้ากัน”
ในใจฉินปิงอวี่เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมาทันที