หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 306-1 ได้ประโยชน์สองต่อ จุดจบ (2)
ตอนที่ 306-1 ได้ประโยชน์สองต่อ จุดจบ (2)
“เรื่องที่หมิงซิวถูกฝ่ามือเก้าสุริยันต์เจ้าคงรู้ดี แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าทุกครั้งที่พิษจากฝ่ามือเก้าสุริยันต์กำเริบขึ้นมา หมิงซิวจัดการอย่างไร”
ฉินปิงอวี่ขมวดคิ้วมองเฉียวเวย
เฉียวเวย “ก่อนที่เขาจะหาหน้ากากหยกเหมันต์เจอ ทุกครั้งที่พิษจากฝ่ามือกำเริบ หมิงซิวจะไปนอนบนเตียงหยกเหมันต์ที่หมู่บ้านหยกเหมันต์ หากเตียงหยกเหมันต์กดมันเอาไว้ไม่ได้ ก็จำต้องไปแช่น้ำที่สระเหมันต์ ความเจ็บปวดจากบ่อน้ำเหมันต์แทงลึกไปถึงกระดูก ไม่สู้…เจ้าลองไปรับรู้ถึงความรู้สึกนั้นสักทีดีหรือไม่”
สีหน้าฉินปิงอวี่พลันถอดสี!
บ่อน้ำเหมันต์ในหมู่บ้านหยกเหมันต์นั้นมีชื่อเสียงไปทั่วหล้า เขายอมที่จะปีนภูเขากระบี่ลงทะเลเพลิง แต่ไม่มีทางลงสระเหมันต์แน่นอน เห็นได้ว่ารสชาติที่ได้จากสระเหมันต์นั้นน่าหวาดผวาเพียงใด เดิมทีจีอู๋ซวงก็ไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินเช่นกันมิใช่หรือ หลังจากไปแช่ในสระเหมันต์แค่ไม่กี่วัน กลับมาก็ว่านอนสอนง่ายไม่กล้าสร้างเรื่องอีก ดังนั้นหากเทียบกับการฟันเขาให้ตายในตอนนี้แล้ว เฉียวเวยคิดว่าสระเหมันต์อาจจะเหมาะกับเขามากกว่า
อีกด้านหนึ่ง ฉินเฉียวร้องไห้จนตาบวมไปหมดแล้ว โจวซุ่นปลอบนางอยู่นานกว่าจะทำให้อารมณ์สงบลงได้ โจวซุ่นตบมือนางเป็นการบอกให้นางรอเขาอยู่ที่นี่ ส่วนตนเดินเข้าไปหาเฉียวเวย
เฉียวเวยมองผ่านโจวซุ่นไปมองฉินเฉียวที่อยู่ห่างไปไม่ไกล
นางได้พูดคุยกับฉินเฉียวมาไม่น้อย ในความรู้สึกนาง แม่นางผู้นี้มักหน้าตายอยู่เป็นนิจ นางยังคิดว่าจะเป็นสตรีที่เยือกเย็นเสียอีก คิดไม่ถึงว่านั่นเป็นเพราะนางไม่ได้เจอกับคนที่ถูกใจเท่านั้น นี่แค่เพิ่งได้พบโจวซุ่นเพียงชั่วครู่ ท่าทีของนางก็เปลี่ยนไปหมด คล้ายดอกไม้ดอกน้อยที่เหนียมอายกำลังเบ่นบานอยู่ท่ามกลางสายลม
ฉินเฉียวที่เป็นเช่นนี้ ไม่เพียงแค่เฉียวเวยที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ฉินปิงอวี่ที่ใกล้ชิดกับนางมานานก็ยังไม่เคยเห็นมาก่อนเช่นกัน
ฉินปิงอวี่มองฉินเฉียวด้วยความอึ้งงัน ในใจเต็มไปด้วยความหึงหวงและขุ่นเคือง น่าเสียดายที่ต่อให้เขาหึงหวง หรือขุ่นเคืองเพียงใดก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาแล้ว
“ฮูหยิน” โจวซุ่นเดินมาตรงหน้านาง ประสานมือทำความเคารพเฉียวเวยพิธีใหญ่
เฉียวเวย “ไม่จำเป็นต้องเกรงใจเพียงนี้”
โจวซุ่นโค้งกายต่ำ “ไม่ได้ขอรับฮูหยิน ข้ากลัวว่าข้าจะไม่ได้พบหน้าภรรยาอีกเลยตลอดชีวิต บุญคุณอันใหญ่หลวงของฮูหยินในครั้งนี้ โจวซุ่นไม่อาจตอบแทนได้!”
เฉียวเวยระบายยิ้มเอ่ยเสียงเรียบว่า “เจ้าดูแลฉินเฉียวให้ดี อย่าให้ข้าเสียแรงเปล่าก็นับว่าได้ตอบแทนข้าแล้ว”
โจวซุ่นยิ้มออกมาจากใจจริง “ข้าจะทะนุถนอมนางอย่างดี”
ระหว่างที่พูดเขาหันไปมองฉินเฉียว เฉียวเวยก็กำลังมองมาที่เขาพอดี พอได้สบสายตากัน ฉินเฉียวก็ก้มหน้าลงด้วยความเขินอาย นัยน์ตาโจวซุ่นเต็มไปด้วยความรักใคร่
เฉียวเวยเห็นคนหว่านความรักให้กันโดยไม่ทันตั้งตัว จึงคิดถึงสามีของตนขึ้นมาเป็นพิเศษ
โจวซุ่นดึงสายตากลับมา มองไปยังฉินปิงอวี่ที่อยู่บนพื้น สายตาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นดุดัน กำหมัดแน่นจนได้ยินเสียง
เฉียวเวยหันไปส่งสายตาให้เจ้าสัตว์น้อยทั้งสาม ต้าไป๋กระโดดออกมาจากตัวฉินปิงอวี่ ไปอยู่ข้างเท้าเฉียวเวยพร้อมกับจูเอ๋อร์และเสี่ยวไป๋
เฉียวเวยหมุนตัวเดินไปทางรถม้าของตน “อย่าให้ถึงตายก็พอ”
ด้านหลังมีเสียงฉินปิงอวี่ถูกซ้อมดังขึ้น
ตัวนางนั้นรบราฆ่าฟันกับคนอื่นมาทุกวัน น้อยครั้งนักที่จะได้กลายเป็นคนดีกับเขาเช่นนี้ ความรู้สึกนี้ไม่เลวเลยจริงๆ
เฉียวเวยพาเจ้าสัตว์น้อยทั้งสามไปขึ้นรถม้า จีหมิงซิวนั่งอยู่บนรถม้านั่นเอง สีหน้าดูสงบนิ่ง
สัตว์น้อยทั้งสามนั่งกันเรียบร้อย
เสี่ยวไป๋กับจูเอ๋อร์ติดใจกับการต่อยตี เวลานี้จึงตื่นตัวยิ่งนัก!
ส่วนต้าไป๋กลับเริ่มง่วงงุน ต้าไป๋เป็นตัวที่เกียจคร้านที่สุดในบรรดาพวกมัน ตอนไม่มีภารกิจให้ทำมันสามารถนอนได้ตั้งแต่เช้าจรดเย็น แล้วนอนจากเย็นไปถึงเช้า เฉียวเวยสงสัยยิ่งนักว่าเป็นเพราะตอนหน้าหนาวไม่ได้ให้มันจำศีล มันถึงได้มานอนเสริมเอาตอนนี้
จีหมิงซิวยื่นมือออกมา เฉียวเวยส่งมือตนไปให้ เขาดึงมือเฉียวเวยให้ไปนั่งลงข้างกายตน
เฉียวเวยเพิ่งเห็นคนพลอดรักกันมา ใจคิดถึงสามียิ่งนัก จึงโผเข้าไปหาอ้อมกอดของสามีตนเสียเลย นางออดอ้อนอยู่พักใหญ่ ออดอ้อนเสียจนต้าไป๋กับจูเอ๋อร์พากันหลับตาเพราะรู้สึกบัดสีบัดเถลิง ส่วนเสี่ยวไป๋กลับเบิกตาโต แต่ก็ถูกต้าไป๋กับจูเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ ช่วยเอามือปิดตาให้
เมื่อออดอ้อนจนพอใจแล้ว เฉียวเวยก็ลุกจากอกเขาขึ้นมานั่งตัวตรง “ข้าจับตัวเขาส่งไปที่สระเหมันต์แล้ว ท่านมั่นใจหรือไม่ว่าเขาไม่ใช่คนที่ทำร้ายองค์หญิงเมื่อตอนนั้น”
จีหมิงซิวสีหน้าเรียบเฉย “เขาใช้ฝ่ามือเก้าสุริยันต์ไม่เป็น ไม่ใช่เขา แต่อย่างไรก็เกี่ยวข้องกับเขาแน่”
เฉียวเวยลูบคางพลางพยักหน้า “องค์หญิงรู้ถึงฐานะของเขา พรรคพวกเดียวกับเขาคงคิดอยากสังหารองค์หญิงเพื่อปิดปาก เพียงแค่ไม่คิดว่าพิษจากฝ่ามือนั้นจะถูกพวกเจ้าสองคนดูดเอาไป ไม่ว่าอย่างไรการที่เขาแทรกซึมเข้ามาในบ้านตระกูลจี กระทำเรื่องเลวร้ายถึงขีดสุดก็มีความผิดที่ไม่อาจให้อภัยอยู่แล้ว ให้เขาใช้ชีวิตอยู่ในสระเหมันต์ไปก็แล้วกัน! เมื่อใดที่วรยุทธ์ของเขาแตกซ่านหมดแล้ว ค่อยเอาตัวเขากลับขึ้นมา!”
เฉียวเวยนึกอะไรขึ้นได้ถึงถามว่า “ใช่สิ ท่านน้าไม่เป็นอะไรกระมัง”
จีหมิงซิวตอบเสียงเรียบ “ไม่ตายหรอก”
…
ที่จีหมิงซิวบอกว่าไม่ตายหรอกนั้น เห็นจะแค่ว่าไม่ตายเท่านั้นจริงๆ จีซวงถูกลูกธนูเข้าไปสองดอก แต่ละดอกถูกเข้าที่หน้าอกทั้งสิ้น ถึงแม้จะเลี่ยงหัวใจที่เป็นอวัยวะสำคัญไปได้ แต่ด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส รวมถึงการเสียเลือดมาก ทำให้สตรีที่ไม่เคยพบเจอกับความลำบากมาก่อนถึงกับเกือบสิ้นชื่อไปเสียตั้งแต่ตรงนั้น ตอนนางถูกพาตัวกลับมาที่บ้านตระกูลจี นางเหลือเพียงลมหายใจออก ไม่มีลมหายใจเข้าแล้ว
ตอนนางกลับไปถึงจวน เฉียวเวยยังอยู่ระหว่างทางกลับ จึงได้ท่านหมอเฉิงช่วยรักษาแผลให้นาง ในมือท่านหมอเฉิงมียางต้นหลงเซวี่ยที่เฉียวเวยเอากลับมาจากชนเผ่าถ่าน่าอยู่ จึงรีบห้ามเลือดที่ปากแผลให้นาง ตัวนางสลบไสลไม่ได้สติ จึงไม่จำเป็นต้องดื่มยาชา ท่านหมอเฉิงจัดการทำความสะอาดปากแผลให้นาง เขียนใบยากันการติดเชื้อเอาไว้ให้ ทั้งโสมทั้งรังนกก็สั่งให้บ่าวไพร่ตุ๋นรอเอาไว้ทุกวัน พอนางได้สติก็ให้นางกินลงไปทันที
แต่ทำอย่างไรจีซวงก็ไม่ยอมฟื้น บางทีอาจเพราะเจ็บปวดเกินไปจนใจสลาย หลังจากโดนทรยศต่อหน้าต่อตามาครั้งแล้วครั้งเล่า นางก็ไม่คิดอยากจะฟื้นขึ้นมาอีก
คนตระกูลจีไม่มีใครถามว่านางบาดเจ็บได้อย่างไร และไม่มีใครถามว่าท่านเขยฉินหายไปไหน กฎระเบียบในบ้านตระกูลจีเคร่งครัดนัก โดยเฉพาะข้อที่ว่าทรยศหักหลังคนในตระกูลก็เพียงพอให้จีซวงตายไปหลายครั้งได้แล้ว ที่นางยังได้รับการช่วยเหลือให้รอดชีวิต ก็นับว่าได้รับความเมตตามากแล้ว
ตระกูลจีปิดข่าวเรื่องท่านเขยฉิน บอกกับคนนอกเพียงว่าหาตัวท่านเขยฉินพบแล้ว แต่เพราะตกใจมากเกินไปจึงล้มป่วยหนัก นับแต่นี้ไปจำเป็นต้องพักรักษาตัวอยู่ในบ้าน ไม่ต้อนรับแขกและไม่ไปสอนที่สำนักศึกษาอีก
เพียงแต่ถุงกระดาษดับไฟไม่ได้ ตระกูลจีนับเป็นตระกูลอันดับหนึ่งของต้าเหลียง ไม่รู้มีสายตามากน้อยเพียงใดที่คอยจับจ้องตระกูลจีอยู่ ถึงแม้จะมีคำสั่งห้ามแพร่งพรายออกไป แต่เสียงลือเสียงเล่าอ้างยังคงมีไม่น้อย เพื่อเป็นการป้องกันให้คนคิดไม่ซื่อยกเอาเรื่องนี้มาเป็นข้ออ้าง จีหมิงซิวจึงเอาตราคำสั่งเข้าไปที่วังหลวง
“เหตุใดวันนี้ถึงว่างมาวางหมากกับข้าได้เล่า”