หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 315-2 ผู้อาวุโสเลิกเก็บตัวฝึกวิชา กำราบในเสี้ยววินาที
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก
- ตอนที่ 315-2 ผู้อาวุโสเลิกเก็บตัวฝึกวิชา กำราบในเสี้ยววินาที
ตอนที่ 315-2 ผู้อาวุโสเลิกเก็บตัวฝึกวิชา กำราบในเสี้ยววินาที
เมื่อเช้าตอนอยู่ในห้องโถงใหญ่ จีหมิงซิวสังเกตเห็นแล้วว่าระหว่างน้องชายของตนกับฟู่เสวี่ยเยียนดูแปลกๆ ดังนั้นเมื่อเฉียวเวยบอกเขาว่าพวกเขาเคยมีความสัมพันธ์แนบเนื้อกันมาก่อน เขาก็นับว่าทำใจมาก่อนระดับหนึ่งแล้ว จึงไม่รู้สึกตกตะลึงมากมายนัก เพียงแต่ว่าฟู่เสวี่ยเยียนความเป็นมาไม่ธรรมดา สวี่หย่งชิงปฏิบัติต่อนางอย่างให้เกียรติยิ่งนัก น้องชายของตนกลับกล้าไปหาเรื่องนาง ไม่รู้ว่าเพราะเป็นทายาทของโหราจารย์หรือไม่ ถึงมีความกล้ามากมายเช่นนี้
เฉียวเวยถามต่อ “จริงสิ ฟู่เสวี่ยเยียนคนนั้นมีความเป็นมาอย่างไรกันแน่ ข้าจำได้ว่าศิษย์น้องห้าแซ่ฟู่เหมือนกัน พวกเขาสองคนคงไม่ใช่ญาติกันหรอกกระมัง”
หลังจากจีหมิงซิวได้ข่าวว่าเผ่าเยี่ยหลัวกลับมาปรากฏตัวบนโลก เขาก็ไปค้นหาบันทึกของเผ่าเยี่ยหลัวในตระกูลจีกับในหอตำราลับที่เขตหวงห้ามมาอ่าน จนพอเข้าใจเผ่าเยี่ยหลัวในเบื้องต้นอยู่บ้าง เมื่อได้ยินคำพูดของเฉียวเวย เขาจึงอธิบายอย่างไม่รีบร้อน “เผ่าเยี่ยหลัวไม่มีแซ่ฟู่ ฟู่เสวี่ยเยียนน่าจะเป็นเพียงนามปลอมของนาง คนที่ศิษย์น้องเล็กต้องแต่งงานด้วยคือพี่ชายของนาง ดีไม่ดีอาจจะไม่ใช่พี่ชายแท้ๆ ด้วยซ้ำ”
เฉียวเวยเว้นวรรคครู่หนึ่ง “ข้าเข้าใจความหมายของท่านแล้ว พวกเขาสองคนเป็นพี่น้องจอมปลอม คนหนึ่งมาสู่ขอคนที่สำนักซู่ซินจง คนหนึ่งไปเมืองหลวงติดต่อกับฉางเฟิงสื่อ ตอนนี้ฉางเฟิงสื่อถูกพวกเราจับได้แล้ว ฟู่เสวี่ยเยียนติดต่อกับเขาไม่ได้ จึงทิ้งแผนการด้านนั้นชั่วคราว เอ๋ แล้วเหตุใดข้าจึงไม่เห็นศิษย์พี่ฟู่คนนั้นเล่า”
จีหมิงซิวตอบว่า “เขาไม่จำเป็นต้องรออยู่ที่นี่ วันแต่งงานค่อยมาก็พอแล้ว”
เฉียวเวยขมวดคิ้วอย่างฉงน “หากเป็นเช่นนี้ ศิษย์น้องเล็กไม่น่าสงสารมากหรอกหรือ หากอีกฝ่ายหนุ่มแน่นหล่อเหลามีความสามารถก็ช่างเถิด เกิดเป็นหมูตอนใจทมิฬหินชาติขึ้นมา บุปาผางามหยดย้อยคงต้องปักอยู่บนมูลวัว น่าสงสารเกินไปแล้ว! แล้วอีกอย่างเหตุใดเผ่าเยี่ยหลัวจะต้องยึดสำนักซู่ซินจงให้จงได้ด้วยเล่า”
จีหมิงซิวตอบว่า “สำนักซู่ซินจงเป็นสำนักเพียงแห่งเดียวที่ไม่ถูกควบคุมโดยอำนาจราชสำนักแห่งใด เผ่าเยี่ยหลัวเป็นสิ่งที่ทุกราชวงศ์หวาดกลัว ไม่ว่าพวกเขาอยู่ที่แคว้นใดล้วนจะถูกราชวงศ์ของแคว้นนั้นกวาดล้างอย่างบ้าคลั่ง สำนักซู่ซินจงเป็นสถานที่ซ่อนตัวที่ดีอย่างยิ่งแห่งหนึ่งและใหญ่โตมากพอ หากบุกเบิกพื้นที่เทือกเขาทั้งหมด จะจุกองทัพใหญ่สักเท่าใดก็ไม่มีปัญหา”
“แต่ทำเช่นนี้จะมีประโยชน์อันใดกับตัวสำนักซู่ซินจงเล่า” เฉียวเวยถามอย่างไม่เข้าใจ
จีหมิงซิวลูบมือเรียวงามของนางแล้วตอบว่า “บางครั้งก็ไม่แน่ว่าทำเช่นนี้เพราะได้ประโยชน์ จิตใจของคนซับซ้อน ผลประโยชน์ของคนผู้หนึ่งกับความก้าวหน้าของสำนักมักจะขัดแย้งกัน”
ทั้งสองคนคุยกันต่ออีกเล็กน้อย สวี่หย่งชิงก็ส่งคนมาแจ้งว่าระหว่างคุณชายรองตระกูลจีกับศิษย์พี่ห้าไม่ทันระวังเกิดเรื่องไม่พอใจกันเล็กน้อย หวังว่าคุณชายรองจีจะไม่เก็บมาใส่ใจ พร้อมกันนั้นสวี่หย่งชิงก็รับประกันว่าจะไม่ให้ศิษย์พี่ห้ามาหาเรื่องคุณชายรองจีอีก
แต่เดิมสิ่งที่สวี่หย่งชิงส่งลูกศิษย์มาแจ้งคือเรื่องการทะเลาะกันในสวนดอกไม้ แต่จีหมิงซิวกับเฉียวเวยกลับคิดไปถึงเรื่องที่ใต้เท้าเจ้าสำนักตกน้ำ
“ใจกล้านักนะ กล้าถีบหมิงเยี่ยตกน้ำ” เฉียวเวยเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน เจ้าทึ่มนั่นนางรังแกได้คนเดียวเท่านั้น ฟู่ปั๋วเจินอะไรนั่นกล้าขุดดินเหนือหัวไท่ซุ่ย[1] คงมีชีวิตอยู่จนเบื่อแล้วจริงๆ!
จีหมิงซิวกลับคิดไปคนละทางกับเฉียวเวยอย่างสิ้นเชิง “เขาว่ายน้ำไม่เห็น เหตุไฉนจึงว่ายน้ำขึ้นมาได้ ข้ารู้จักฟู่ปั๋วเจินดี หากเขาผลักหมิงเยี่ยลงน้ำจริงๆ ย่อมไม่มีทางช่วยหมิงเยี่ยขึ้นมาอย่างแน่นอน”
เฉียวเวยนึกถึงท่าทางอิ่มเอมใจนั่นขึ้นมาได้จึงลูบคาง “ฟู่เสวี่ยเยียน”
มิน่าเจ้าหมอนั่นถึงท่าทางระริกระรี้เช่นนั้น ที่แท้ก็ถูกคนงามตัวน้อยจับอุ้มจับกอด พอดูเช่นนี้ ศิษย์พี่ห้าก็ถือว่าทำดีแล้ว…
เพียงแต่ฟู่เสวี่ยเยียนไม่ใช่ว่าต้องการสังหารเขามาตลอดหรอกหรือ เหตุไฉนจึงลงมือช่วยเขาเล่า
ระหว่างที่ขบคิด เด็กน้อยทั้งสามคนก็กลับมาแล้ว
วั่งซูยืนอยู่ที่ประตู โบกมือให้ศิษย์อายุน้อยคนหนึ่งอย่างเบิกบานใจ “ศิษย์พี่ฉางไห่พบกันใหม่เจ้าค่ะ!”
ศิษย์พี่ฉางไห่คร่ำครวญในใจ ขอร้องอย่าได้มาพบกันอีกเลย!
วั่งซูได้มีช่วงเวลาบ่ายอันงดงามที่สำนักศิษย์ใหม่ ศิษย์พี่ทั้งหลายต่างต้อนรับอย่างอบอุ่น แม้พวกตนจะอ่อนแอจนแม้แต่รูปสลักหินยังแบกไม่ไหว แต่จิตใจดียิ่งนัก อาจารย์ที่สอนวิชาดุไปสักหน่อย แต่ก็ยังดีกว่าอาจารย์ที่สำนักศึกษาหนานซานมากนัก อยู่ที่สำนักศึกษาทำผิดต้องถูกลงโทษให้คัดบทกวี แต่ที่นี่ทำผิดเพียงวิ่งรอบสนามหญ้าสองสามรอบเท่านั้น ช่างสบายดีแท้!
จิ่งอวิ๋นทำผิดหนึ่งหน ถูกลงโทษวิ่งสองรอบ
หลิวเกอร์ทำผิดหนึ่งหน ถูกลงโทษวิ่งสองรอบ
วั่งซูเป็นคนวิ่งแทนทั้งหมดเลย!
แล้ววั่งซูเองก็ถูกลงโทษให้วิ่งสองรอบเองด้วย
ศิษย์พี่ทั้งหลายไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้าอ้วนตัวน้อยคนนี้ใช้ชีวิตมาอย่างไร ต้องรู้ว่สนามหญ้าใหญ่โตขนาดนั้น พวกเขาวิ่งรอบเดียวก็แทบตายแล้ว…
วั่งซูตัวน้อยวิ่งหกรอบเสร็จไม่เพียงไม่ตาย แต่ยังกระโดดโลดเต้น กลับบ้านอย่างร่าเริงอีก!
เหลือแต่ศิษย์พี่ทั้งหลายที่จมูกเขียวหน้าบวม ทั้งร่างมีแต่แผลวิ่งยังมิทันครบรอบ ก็ต้องประคองกันและกันเดินกะโผลกกะเผลกกลับไปยังห้องพัก
ท่านอาจารย์รอคอยอยู่ที่ห้องพัก
วันนี้แม่นางน้อยคนหนึ่งวิ่งได้หกรอบ ท่านอาจารย์จึงบอกว่าพวกเจ้าเป็นศิษย์พี่ อย่าได้ทำขายหน้าอาจารย์ หลังจากนี้ขั้นต้นให้วิ่งแปดรอบ
ศิษย์ทั้งหลายต่างจิตใจแตกสลาย….
ปี้เอ๋อร์ตักน้ำร้อนมาสามอ่าง จากนั้นบิดผ้าช่วยกันเช็ดหน้าให้เจ้าตัวน้อยทั้งสามด้วยกันกับเฉียวเวย ตอนที่เฉียวเวยเช็ดให้วั่งซูก็ถามนางว่า “ชอบที่นี่หรือ”
วั่งซูพยักหน้าประหนึ่งตำกระเทียม “ชอบเจ้าค่ะ! ชอบที่สุดเลย!”
เฉียวเวยลูบหน้าผากของนางแล้วบอกว่า “ถ้าอย่างนั้นแม่จะเอามันมาให้เจ้าเป็นของขวัญ”
วั่งซูตอบเสียงหวาน “ท่านแม่สุดยอด!”
…
เทศกาลบ๊ะจ่างผ่านไปไม่นาน ผู้อาวุโสทั้งหลายก็เลิกเก็บตัวฝึกฝน แผนการเดิมที่กำหนดไว้คือให้อี้เชียนอินปลอมเป็นนาง แล้วประมือกับผู้อาวุโสทั้งหลาย แต่ยามนั้นกำหนดการที่ผู้อาวุโสทั้งหลายจะเลิกเก็บตัวคือเดือนสิบ แต่ตอนนี้เวลาเลื่อนเร็วขึ้นมาห้าเดือนเต็มๆ อี้เชียนอินยังรักษาอาการบาดเจ็บภายในจากผลสะท้อนจากวิชาแปลงโฉมอยู่จึงมิอาจเดินทางมาได้
จีหมิงซิวเป็นศิษย์ของสำนักซู่ซินจง ผู้อาวุโสจึงไม่ยอมรับถ้าให้เขาออกมาสู้ หากเฉียวเวยต้องการจะชิงตำแหน่งเจ้าสำนัก นางต้องออกมาสู้ศึกด้วยตนเองเท่านั้น
“นี่เป็นคำพูดที่ผู้อาวุโสของพวกเจ้าพูดเองหรือ” เฉียวเวยนั่งอาบแดดอย่างสบายอกสบายใจอยู่ในลานบ้าน นางหันไปมองศิษย์ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วเอ่ยปากถาม
ศิษย์ผู้นั้นตอบด้วยท่าทางไม่หวาดหวั่นแต่ก็ไม่หยิ่งยโส “ขอรับ ผู้อาวุโสทั้งหลายกล่าวเช่นนี้ หากท่านต้องการสู้ก็ให้สู้ด้วยตนเอง หากไม่สู้ด้วยตนเองก็ส่งป้ายเจ้าสำนักคืนมาเสีย”
นี่ไม่ใช่เพราะผู้อาวุโสทั้งหลายตั้งใจสร้างความยุ่งยากให้เฉียวเวย แต่กฎการเลือกเจ้าสำนักทุกรุ่นเป็นเช่นนี้จริงๆ มีอย่างที่ไหนตนเองเป็นเจ้าสำนักแต่ให้ศิษย์คนอื่นออกมาสู้แทน ถ้าเช่นนั้นหากสุดท้ายสู้ชนะ จะนับว่าวรยุทธ์ของผู้ใดสูงส่งกว่ากันเล่า
แน่นอนว่าต่อให้ผู้อาวุโสทั้งหลายตกลงให้หมิงซิวสู้ นางก็ไม่ตกลง พิษฝ่ามือในร่างหมิงซิวยังไม่ถูกแก้ หากฝืนเร่งเร้าพลังปราณ ผลสะท้อนกลับที่ตามมาย่อมหนักหนา สังหารศัตรูหนึ่งพันตนเองเสียกำลังพลแปดร้อย เรื่องเช่นนี้นางไม่ทำ
เฉียวเวยกระแอม แล้วตอบว่า “หนึ่งคนสู้กับห้าคน ไม่รู้สึกว่าต่อให้ผู้อาวุโสทั้งหลายชนะ ก็ชนะอย่างไม่องอาจผ่าเผยหรือ”
ศิษย์คนนั้นตอบว่า “ดังนั้นสู้ชนะถึงเป็นเจ้าสำนักอย่างไรเล่าขอรับ ท่านคิดว่าเจ้าสำนักของสำนักซู่ซินจงเป็นง่ายดายเพียงนั้นชียวหรือ”
นั่นก็ใช่ ใต้หล้ามีสำนักมากมายถึงเพียงนั้น เจ้าสำนักที่สืบทอดตำแหน่งยากที่สุดก็คือสำนักซู่ซินจง สำนักซู่ซินจงพัฒนามาเป็นสำนักใหญ่อันดับหนึ่งแห่งยุทธภพได้ย่อมมิใช่ไร้เหตุผล
พอคิดอะไรขึ้นมาได้ เฉียวเวยก็ยิ้มอย่างมีเลศนัย “หากข้าไม่ให้ ‘คน’ มาสู้แทน ก็ยังนับว่าเป็นผลการต่อสู้ของข้าใช่หรือไม่”
นางเน้นคำว่า ‘คน’ คำนั้น
“หืม” ศิษย์ผู้นั้นงุนงง
…
ครึ่งชั่วยามหลังจากนั้น เฉียวเวยก็พาเจ้าตัวจ้อยทั้งสามผู้ฮึกเหิมห้าวหาญมาปรากฏตัวที่เวทีประลองยุทธ์ของสำนักซู่ซินจง
เวทีประลองยุทธ์ของสำนักซู่ซินจงไม่ใช่สถานที่ซึ่งทุกคนเอาไว้ใช้วัดฝีมือกัน มันจะเปิดใช้งานเมื่อมีกิจกรรมสำคัญยิ่งยวดเท่านั้น ผู้ที่จะมาประลองยุทธ์บนนั้นได้ล้วนแต่เป็นผู้ที่มีฝีมือโดดเด่นของสำนักซู่ซินจง ผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักแต่ละรุ่นต่างเคยท้าสู้กับผู้อาวุโสทั้งห้า ณ ที่แห่งนี้
การท้าสู้เปิดให้ศิษย์ในทุกคนชม เวทีประลองจึงถูกศิษย์ทั้งหลายรายล้อมจนแม้แต่น้ำยังไม่อาจลอดผ่าน บนอัฒจันทร์อีกด้านหนึ่ง สวี่หย่งชิง ฟู่เสวี่ยเยียน จีหมิงซิวกับน้องชายและผู้พิทักษ์ทั้งสองนั่งอยู่บนนั้น มีศิษย์เอกผู้มีคุณสมบัติสูงส่งพอทั้งหลายยืนอยู่ด้วย
บนเวทีประลองยุทธ์มีผู้อาวุโสยืนอยู่เพียงหนึ่งคน เขาคือผู้อาวุโสห้าที่อยู่ในลำดับที่ห้า ผู้อาวุโสห้าวางมือข้างหนึ่งไว้ตรงหน้าท้อง ส่วนอีกมือไพล่ไปไว้ด้านหลัง สีหน้านิ่งสงบ เสื้อผ้าอาภรณ์พลิ้วไหว ในอากาศคล้ายจะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันแข็งแกร่งรอบตัวเขา ศิษย์ทั้งหลายที่ส่งเสียงดังเอะอะค่อยๆ เงียบลง จนกระทั่งสุดท้ายก็เงียบกริบอย่างสิ้นเชิง
ใต้เท้าเจ้าสำนักเอ่ยกับจีหมิงซิวว่า “พวกเราสองคนแลกตำแหน่งกันหน่อย”
จีหมิงซิวตอบว่า “ไม่แลก”
ใต้เท้าเจ้าสำนักแค่นเสียงดังเหอะ แล้วยกม้านั่งอ้อมตัวจีหมิงซิวไปนั่งเบียดอยู่หน้าเขา ทำเช่นนี้เขาก็จะอยู่ห่างจากฟู่เสวียนเยียนไม่ถึงสองก้าว
ฟู่เสวี่ยเยียนเหมือนจะไม่รู้ตัวว่าใต้เท้าเจ้าสำนักย้ายที่นั่งเข้ามาใกล้ นางมองเวทีด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
ใต้เท้าเจ้าสำนักใช้กระดาษลูกกวาดพับเป็นตั๊กแตนตัวน้อยโยนไปไว้บนตักของนางอย่างว่องไว
ฟู่เสวี่ยเยียนไม่ตอบสนอง
ใต้เท้าเจ้าสำนักจึงพับอีกตัวแล้วโยนไปบนตักของนางอีก
พอโยนถึงตัวที่สิบเจ็ดสิบแปด ศิษย์พี่ห้าก็เดินเข้ามา หนก่อนแม้ตนจะถูกศิษย์น้องทั้งหลายมาช่วยไว้ได้ทันเวลา แต่สภาพที่ทั้งตัวเปลือยเปล่าก็ถูกผู้คนเห็นจนหมด เขาอับอายขายหน้าไปจนถึงโคตรเหง้า ตอนนี้เขาอยากจะฟาดฝ่ามือใส่เจ้าหมอนี่ให้ตายยิ่งนัก แต่ตนเองทำไม่ได้ เพราะข้างกายเจ้าหมอนี่มีจีหมิงซิวนั่งอยู่
ว่าไปแล้วก็น่าขัน เจ้าสำนักรุ่นต่อไปอย่างตนยังต้องยืน แต่จีหมิงซิวกับเจ้าโง่คนนี้กลับได้นั่ง คิดๆ แล้วก็ช่างทำให้คนรู้สึกทนไม่ได้ แต่จะทำอย่างไรได้อีก ผู้อื่นเป็นศิษย์ระดับเก้ากระบี่ สำนักซู่ซินจงรุ่นนี้ไม่มีศิษย์ที่เก่งกาจเช่นนี้อีกแล้ว!
เขากดอารมณ์ที่ปั่นป่วนในหัวใจลงไป แล้วเค้นรอยยิ้มอ่อนโยนออกมา “คุณชายรองจี ท่านโปรดอย่าโยนของมั่วซั่วมาทำให้เสื้อผ้าของศิษย์พี่หญิงฟู่สกปรก”
จีหมิงซิวอยู่นี่ ใต้เท้าเจ้าสำนักย่อมไร้ความเกรงกลัว “เกี่ยวอะไรกับเจ้า”
ศิษย์พี่ห้าสะอึก
จีหมิงซิวหยิบถั่วบนโต๊ะขึ้นมา สวี่หย่งชิงสั่งโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “ปั๋วเจิน กลับไป”
ศิษย์พี่ห้ากลับไปยังที่ของตนเองอย่างรู้สึกไม่ยินยอม
ใต้เท้าเจ้าสำนักเลิกคิ้วให้อย่างลำพองแล้วพับตั๊กแตนต่อ
เสียงอุทานกับเสียงตกใจดังขึ้นพักหนึ่ง เฉียวเวยก็พาเจ้าตัวจ้อยผู้ฮึกเหิมห้าวหาญมาปรากฏตัว
จูเอ๋อร์สวมผ้าคลุมสุดเท่และถือกระทะน้อยใบที่แข็งแกร่งที่สุด
ต้าไป๋กับเสี่ยวไป๋สวมเกราะสีเงินที่ทำมาจากวัสดุพิเศษ พวกมันดูเหมือนแม่ทัพตัวจ้อยคู่หนึ่งผู้กำราบศัตรูบนสนามรบได้ทั่วทุกทิศ รบศึกใดมิเคยพ่ายแพ้ ตีเมืองใดมิเคยไม่แตก
เมื่อเทียบกับเครื่องแต่งกายของเจ้าตัวน้อยทั้งสาม ผู้อาวุโสห้าฝั่งตรงข้ามแลดูอ่อนด้อยอย่างยิ่ง
เฉียวเวยหันไปมองผู้อาวุโสห้าแล้วถามว่า “เหตุไฉนเจ้ามาเพียงคนเดียว สี่คนที่เหลือเล่า”
ผู้อาวุโสห้าตอบอย่างสบายๆ “รับมือกับพวกเจ้า ข้าคนเดียวพอแล้ว”
เฉียวเวยยิ้มหยัน “วาจาใหญ่โตนัก หวังว่าเจ้าจะไม่เสียใจทีหลัง พอสู้กันขึ้นมาจริงๆ พวกเราจะไม่ยั้งมือไว้ไมตรีเพราะเจ้าอายุมากหรอกนะ”
ผู้อาวุโสห้าผายมือเชื้อเชิญอย่างเนิบช้าและหนักแน่น “เชิญ”
เฉียวเวยเชิดคางขึ้นสั่งว่า “จูเอ๋อร์ จัดการเขา!”
จูเอ๋อร์ทะยานร่างขึ้นมาด้วยความเร็วดุจอสนีบาต มันเหวี่ยงกระทะเหล็กใบน้อยส่งการโจมตีไปยังหน้าผากของผู้อาวุโสห้า!
ปัง!
หนึ่งกระบวนท่า เพียงหนึ่งกระบวนท่า จูเอ๋อร์ก็ถูกผู้อาวุโสห้าตบจนแบนแต๊ดแต๋ติดพื้น
กระทะเหล็กใบน้อยของจูเอ๋อร์ร่วงดัง เคร้ง! กลิ้งมาแทบเท้าของเฉียวเวย เสียงเคร้งๆ ดังก้องอยู่หลายทีก่อนมันจะหยุดนิ่ง
เฉียวเวยอ้าปากกว้าง
ผู้อาวุโสห้ายิ้มน้อยๆ ผายมือมาทางเฉียวเวยอีกหน
เฉียวเวยกำหมัด “เสี่ยวไป๋ ลุย!”
หากพูดถึงความสามารถในการต่อสู้ จูเอ๋อร์ไม่ได้เก่งกาจอะไรนัก แต่เสี่ยวไป๋เป็นแม่ทัพผู้เอาชัยชนะมาให้นางได้บ่อยครั้ง สมัยที่ยังไม่ได้ร่ำเรียนสิ่งใด มันก็รับมือกับองครักษ์ชิงอีเว่ยของจวนยิ่นอ๋องได้แล้ว หนึ่งปีที่ผ่านมาเสี่ยวไป๋ก้าวหน้าเร็วอย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งยังกินผลสองภพไปหลายสิบผล ไม่กล่าวเกินจริงเลยสักนิดหากจะบอกว่าแม้แต่สวี่หย่งชิงก็น่าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน
สวี่หย่งชิงเคยเอาชนะผู้อาวุโสทั้งห้าคนมาแล้วไม่ใช่หรือ ผู้ที่พ่ายแพ้ในมือสวี่หย่งชิง จะเอาชนะเสี่ยวไป๋ได้อย่างไรเล่า
ร่างของเสี่ยวไป๋เคลื่อนไหวพิสดารยิ่งกว่าจูเอ๋อร์มากนัก ทุกคนมองเห็นเพียงแสงสีขาวเส้นหนึ่งวาบผ่าน ก่อนจะพุ่งเข้าไปชนหน้าอกของผู้อาวุโสห้า
เปรี้ยง!
ในที่สุด
เสี่ยวไป๋ก็ถูกตบลอยไป
หล่นกระแทกบนร่างจูเอ๋อร์อย่างแรง
เฉียวเวยแทบจะไม่อยากเชื่อสิ่งที่ตนเองเห็น “ต้าไป๋! ลุย!”
ต้าไป๋เป็นตัวที่ต่อสู้เก่งที่สุดในหมู่เจ้าตัวน้อยทั้งสามอย่างไม่ต้องสงสัย ถึงอย่างไรมันก็เคยได้รับการฝึกฝนจากแม่ทัพน้อยมู่มาก่อน แต่ละกระบวนท่าของมันอันตรายถึงชีวิต ไม่เหลือช่องให้ศัตรูตอบโต้กลับแต่อย่างใด
ต้าไป๋กระโจนขึ้นจากพื้น!
กระบวนท่าเดียว เพียงกระบวนท่าเดียวเท่านั้นอีกครั้ง ต้าไป๋ถูกตบปลิวไปหล่นบนร่างของเสี่ยวไป๋
เฉียวเวยกำหมัดอย่างเย็นชา แววตาคมปลาบเอ่ยว่า “เจ้าบังคับให้ข้าต้องใช้ท่าไม้ตาย!”
ผู้อาวุโสห้ายิ้มน้อยๆ ผายมือเชิญอย่างเป็นสุภาพบุรุษยิ่ง
เฉียวเวยหลับตา สูดลมหายใจลึกยาว สองมือวาดเป็นแผนผังแปดทิศเบื้องหน้าตนเอง หลังจากนั้นนางพลันลืมตาขึ้น ฝ่ามือแปรเปลี่ยนเป็นกำปั้น เฟี้ยว! จากนั้นก็กระโดดลงจากเวทีประลอง!
ตึงๆ ตึงๆ! วิ่งหนีไปแล้ว…
[1]ขุดดินเหนือหัวไท่ซุ่ย ความเชื่อโบราณเชื่อว่าเมื่อเทพเจ้าผู้คุ้มครองดวงชะตาหรือไท่ซุ่ยเคลื่อนกายตามปีนักษัตร จะมีก้อนเนื้ออันเป็นร่างจำแลงของไท่ซุ่ยอยู่ใต้ดินบริเวณเดียวกัน หากขุดดินบริเวณนั้นก็จะนำหายนะมาให้