หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 325-1 ชัยชนะ
ตอนที่ 325-1 ชัยชนะ
การประลองเหลือเพียงรอบสุดท้ายแล้ว เฉียวเวยเอาชนะผู้อาวุโสสี่คนติด หากเอาชนะผู้อาวุโสคนที่ห้าได้อีก นางก็จะกลายเป็นเจ้าสำนักของสำนักซู่ซินจงอย่างถูกต้องชอบธรรม
ประการแรกในประวัติศาสตร์ของสำนักซู่ซินจงไม่เคยมีสตรีท้าประลองกับผู้อาวุโสมาก่อน ประการที่สองไม่เคยปรากฏว่าผู้ที่มาประลองกับผู้อาวุโสเป็นคนนอกสำนัก เฉียวเวยกลับครอบครองคุณสมบัติสองประการที่ว่ามา จึงไม่แปลกที่ผู้คนมากมายปานนั้นหลั่งไหลมาชมดู เพียงเพื่อชื่นชมความสง่างามของราชินีน้อยคนนี้
การประลองในวันนี้เรียกได้ว่าคนแน่นจนน้ำมิอาจลอดผ่าน แม้แต่สำนักในยุทภพละแวกใกล้เคียงก็ยังส่งลูกศิษย์เดินทางมาชมด้วย ในหมู่คนเหล่านั้นมีลูกศิษย์ของสมาคมกระบี่ที่กำลังท่องเที่ยวหรือมาทำงานบริเวณใกล้ๆ มาร่วมชมด้วย
อัฒจันทร์ยังคงมีสองฝั่ง ผู้อาวุโสทั้งหลาย ฟู่เสวี่ยเยียนกับพี่ชายนั่งอยู่ทางทิศใต้ จีหมิงซิวกับน้องชาย และพวกผู้พิทักษ์รวมถึงศิษย์เอกทั้งหลายนั่งอยู่ทางทิศเหนือ ได้ยินว่าเมื่อวานศิษย์พี่ห้าฝึกวรยุทธ์แล้วธาตุไฟเข้าแทรก ไม่ทันระวังพลัดร่วงตกมาจากหลังคาจนขาข้างหนึ่งหัก เขาจึงนอนเป็นเด็กดีอยู่ในห้องมิอาจเดินทางมาชมการประลองได้
สวี่หย่งชิงมิทราบว่าไปเยี่ยมหรืออย่างไรจึงมาที่ลานประลองไม่ตรงเวลา แต่ไม่ว่าเขาจะมาหรือไม่ การประลองก็ต้องเริ่มต้นขึ้นตามเวลาที่กำหนดไว้
เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสามพาศิษย์พี่ทั้งหลายเบียดเข้ามาอยู่แถวหน้าก่อนแล้ว ต้าไป๋ เสี่ยวไป๋และจูเอ๋อร์ล้วนเบิกตาโต จับจ้องเวทีประลองตาไม่กะพริบ
ท่ามกลางเสียงโห่ร้องอันเร่าร้อน เฉียวเวยเดินขึ้นมาบนเวที เมื่อคืนวานตนตกลงแลกเปลี่ยนกับพี่ชายของฟู่เสวี่ยเยียนแล้ว เฉียวเวยทราบว่าตนเองจะต้องชนะอย่างแน่นอนดังนั้นจึงไม่กังวลใจแม้แต่น้อย แน่นอนว่าในใจคิดเช่นนี้ แต่ใบหน้ายังต้องเผยสีหน้าวิตกกังวลออกมาบ้าง นางสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งด้วยท่าทางทีค่อนข้างจะ ‘ตื่นเต้น’ จากนั้นจึงยืดเหยียดกล้ามเนื้อ หันไปทอดสายตาให้สามีของตนเอง จากนั้นลอบหัวเราะร่ารอคอยการมาถึงของผู้อาวุโสใหญ่
ทว่าสิ่งที่ทำให้เฉียวเวยประหลาดใจอย่างยิ่งก็คือ ผู้ที่ก้าวขึ้นมาบนเวทีประลองกลับมิใช่ผู้อาวุโสใหญ่ แต่เป็นเจ้าสำนักแห่งสำนักซู่ซินจงสวี่หย่งชิง!
คนทั้งหมดตกตะลึง
ศิษย์น้องแปดยื่นร่างครึ่งหนึ่งออกไปนอกราวกั้น “ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์เหตุไฉนจึงขึ้นไปอยู่บนเวที”
ศิษย์พี่หญิงรองเดินเข้ามาแล้วมองอาจารย์ของตนเองอย่างฉงน จากนั้นจึงหันไปมองเฉียวเวย เห็นชัดว่านางไม่เข้าใจว่ากำลังเกิดเรื่องอะไรขึ้นเช่นกัน
ใต้เท้าเจ้าสำนักตบแขนของจีหมิงซิว “เอ๋ อาจารย์ของเจ้า”
สายตาของจีหมิงซิบจับจ้องบนร่างของสวี่หย่งชิง ดวงตาฉายแววฉงนเลือนราง
อีกด้านหนึ่งฟู่เสวี่ยเยียนกับบุรุษผู้นั้นกลับเผยสีหน้างงงัน ส่วนผู้อาวุโสทั้งสี่คนด้านข้างยิ่งตกตะลึงยิ่งนัก
เฉียวเวยมองสำรวจสวี่หย่งชิงตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วถามอย่างไม่สะทกสะท้าน “เจ้าสำนักสวี่ไม่นั่งชมอยู่บนอัฒจันทร์ดีๆ วิ่งมาทำอะไรที่นี่กันเล่า”
สวี่หย่งชิงตอบด้วยสีหน้าน่าเกรงขาม “ผู้อาวุโสใหญ่ติดธุระกะทันหันมาไม่ได้ จึงให้ข้ามาประลองแทนเขา”
เฉียวเวยหัวใจเต้นดังตึกตัก สวี่หย่งชิงเป็นคนที่เคยเอาชนะผู้อาวุโสทั้งห้าคนมาแล้ว แม้แต่ผู้อาวุโสรอง นางยังสู้ไม่ได้ แล้วจะสู้ชนะเขาได้อย่างไร
เฉียวเวยตั้งสติ นางถามเหมือนไม่ใส่ใจ “เหตุใดเขาจึงไม่มาเล่า”
“มีธุระ” สวี่หย่งชิงจ้องเฉียวเวยนิ่งๆ
เฉียวเวยถลึงตา จ้องเขากลับด้วยสายตาดุดันอย่างไม่หวั่นเกรง “ธุระอันใด”
สวี่หย่งชิงตอบว่า “ธุระสำคัญยิ่ง ข้าไม่สะดวกเปิดเผยที่นี่”
เฉียวเวยละสายตาออก หันไปมองด้านล่างเวที “ข้าไม่ยอมรับ!”
สวี่หย่งชิงเอ่ยพร้อมกับแววตาลึกล้ำ “เจ้าไม่ยอมรับก็เท่ากับว่ายอมแพ้การประลองรอบนี้”
เฉียวเวยขมวดคิ้ว มองเขาอีกหน “เจ้ามีเหตุผลบ้างหรือไม่ ห้ามไม่ให้ข้าหาผู้อื่นมาสู้แทน แต่พวกเจ้าเองกลับหาคนมาสู้แทนได้ อนุญาตให้ขุนนางวางเพลิงแต่ห้ามมิให้ประชาชนจุดโคมเช่นนี้มีอย่างที่ไหน”
สวี่หย่งชิงแค่นเสียงหยันอย่างเย็นชา “เจ้าจะมาถกเหตุผลกับข้า หากถกเหตุผลกันจริงๆ คนที่มิใช่ศิษย์ในสำนักอย่างเจ้าย่อมไม่มีสิทธิท้าสู้กับผู้อาวุโสทั้งห้าตั้งแต่แรกแล้ว”
พอเอ่ยถึงเรื่องนี้ เฉียวเวยกลับยิ้มอย่างเฉยชา “นั่นก็เพราะเจ้ากับฮูหยินของเจ้าแพ้เดิมพันสำนักซู่ซินจงให้ข้าก่อนมิใช่หรือ”
สวี่หย่งชิงตอบว่า “ความผิดของพวกเราสองคนมิสมควรให้สำนักซู่ซินจงทั้งหมดมาชดใช้ เมื่อการประลองจบลง ไม่ว่าแพ้หรือชนะ ข้าย่อมไปกักตนสำนึกผิด แต่ตอนนี้ข้าจำเป็นต้องทำภารกิจที่ข้าได้รับมอบหมายจากผู้อาวุโสใหญ่ให้ลุล่วง รับคำท้าสู้จากเจ้าให้เรียบร้อย”
ประสาทกลับหรือไร ผู้ใดจะท้าสู้กับเจ้า
เจ้าไม่ใช่คนที่ข้าซื้อไว้เสียหน่อย!
สู้กับเจ้า ข้าก็หาเรื่องให้ตัวเองสิ
“ข้าจะประลองกับผู้อาวุโสใหญ่”
“ข้าบอกแล้วว่าเจ้าต้องประลองกับข้า”
เฉียวเวยขมวดคิ้วน้อยๆ ของตนจนยับย่น นางหันไปมองอัฒจันทร์ของผู้อาวุโสทั้งหลาย แล้วส่งสายตาให้คนที่อยู่ด้านหลังม่านมุก
บุรุษผู้นั้นโบกมือให้หลินชวน หลินชวนรีบออกไปอย่างรวดเร็ว ส่วนจีหมิงซิว ตั้งแต่พริบตาที่สวี่หย่งชิงก้าวขึ้นเวที เขาก็ส่งสายตาให้คนของตนเองแล้ว หลินชวนเพิ่งไปสืบข่าว แต่คนของจีหมิงซิวสืบข่าวมาไว้ในมือเรียบร้อย
ศิษย์คนนั้นยกถาดผลไม้เดินขึ้นมาบนอัฒจันทร์ เขาปราดเข้ามาประชิดจีหมิงซิวแล้วบอกว่า “ผู้อาวุโสใหญ่ถูกวางยาสลบปริมาณมาก วันนี้คงสู้ไม่ไหวแล้ว”
แววตาของจีหมิงซิวเย็นชาลงเล็กน้อย
แม้เฉียวเวยจะไม่ได้ยินถ้อยคำที่ศิษย์ผู้นั้นรายงาน แต่ใช้ส้นเท้าคิดก็ยังเดาได้ว่าผู้อาวุโสใหญ่คงเกิดเรื่องแล้ว นางไม่คิดว่าทุกสิ่งนี้จะเป็นฝีมือของคนเผ่าเยี่ยหลัว หากคนเยี่ยหลัวอยากให้นางพ่ายแพ้ ใช้ผู้อาวุโสใหญ่คนเดียวก็พอ ไม่จำเป็นต้องเพิ่มขั้นตอนไร้ประโยชน์ สลับผู้อาวุโสใหญ่ให้เป็นสวี่หย่งชิง
ดูท่าสวี่หย่งชิงคงรู้เบื้องหลังอะไรมา เพื่อไม่ให้นางเป็นฝ่ายชนะ เขาจึงจงใจใช้ลูกไม้กับผู้อาวุโสใหญ่ให้เขามาประลองไม่ได้ ช่างเจ้าเล่ห์เสียจริง!
แต่ว่าจะฟ้องเขาก็ไม่ได้ อย่างไรเสียถอนหัวไชเท้าย่อมมีดินติดมาด้วย หากสืบสาวราวเรื่องขึ้นมา ก็คงขุดคุ้ยออกมาได้ว่านางกับคนเผ่าเยี่ยหลัวลอบสมคบแย่งชิงตำแหน่งเจ้าสำนัก
เจ้าจิ้งจอกเฒ่า…
“ลงมือได้แล้วหรือยัง” สวี่หย่งชิงถาม
เฉียวเวยยกมือขึ้นมา “ประเดี๋ยวก่อน เจ้าบอกว่าผู้อาวุโสใหญ่มีธุระมาประลองไม่ได้ ได้ ข้ายอมรับคำอธิบายนี้ แต่ข้าจะไม่ประลองกับเจ้า! ข้าจะ…ประลองกับลูกศิษย์ของผู้อาวุโสใหญ่!”
สวี่หย่งชิงหน้าบึ้งตึง “เจ้าจะให้ศิษย์คนหนึ่งมาแทนผู้อาวุโสคนหนึ่งหรือ”
เฉียวเวยโต้ด้วยสีหน้าจริงจัง “ศิษย์พี่ฟู่เป็นลูกศิษย์สายตรงของผู้อาวุโสใหญ่ มีประโยคหนึ่งกล่าวว่าอย่างไรนะ เป็นอาจารย์หนึ่งวัน เท่ากับเป็นบิดาชั่วชีวิต ในเมื่อผู้อาวุใหญ่เป็นอาจารย์ของศิษย์พี่ฟู่ ก็เท่ากับเป็นบิดาของศิษย์พี่ฟู่ด้วย หนี้ของบิดาบุตรชดใช้ ผู้อาวุโสใหญ่มาไม่ได้เพราะมีสาเหตุ ถ้าเช่นนั้นการประลองนี้…ก็สมควรให้ศิษย์พี่ฟู่ขึ้นมาทำแทนเขาให้จบ!”
สวี่หย่งชิงเอ่ยเสียงเย็นชา “ผู้อาวุโสจะเทียบกับศิษย์ได้อย่างไร เจ้าเห็นตำแหน่งเจ้าสำนักของสำนักซู่ซินจงของข้าเป็นอะไรไปแล้ว”
เฉียวเวยหัวเราะหยัน “ความหมายของเจ้าก็คือศิษย์พี่ฟู่อ่อนแอเกินไป ข้าจะได้ประโยชน์ ถ้าเช่นนั้นเอาเช่นนี้ ให้ศิษย์พี่ฟู่ประลองกับเจ้าก่อน หากเขาแพ้ ข้าก็จะรับคำท้าของเจ้า หากเขาชนะ ข้าก็จะท้าสู้กับเขา! สรุปก็คือข้าจะประลองกับคนที่เก่งกาจที่สุด! ถึงอย่างไรก็รอบสุดท้ายแล้ว ข้าย่อมต้องแสดงพลังให้เต็มที่!”
“เจ้า…” สวี่หย่งชิงเกือบจะถูกเฉียวเวยทำให้สำลักตาย เจ้าพวกนี้เป็นพวกเดียวกันตั้งแต่แรก หากสู้กับพี่ชายของฟู่เสวี่ยเยียน นางจะไม่ชนะหรือ
เฉียวเวยยิ้มเฉยเมย “เจ้าสำนักสวี่ ท่านคงจะไม่กลัวว่าตัวเองจะแพ้ศิษย์พี่ฟู่กระมัง”
สวี่หย่งชิงข่มกลั้นเพลิงโทสะกล่าวว่า “ข้าเพียงรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องมากความเช่นนั้น”
เฉียวเวยเชิดคาง แล้วเอ่ยอย่างโอหัง “เจ้าไม่คู่ควรสู้กับข้า!”
สวี่หย่งชิงแววตาถมึงทึง “เจ้าพูดว่าอะไรนะ”
เฉียวเวยตอบอย่างหยิ่งยโส “ข้าได้ยินว่าตอนเจ้าประลองกับผู้อาวุโสสี่ เคยถูกแส้ของผู้อาวุโสสี่ไม่น้อย ตอนประลองกับผู้อาวุโสสามก็เกือบจะถูกอาภรณ์ไหมฟ้าของผู้อาวุโสสามสังหาร แต่ข้าเอาชนะผู้อาวุโสสองคนนี้ได้อย่างไร เชื่อว่าทุกคนคงได้เห็นแล้ว ข้าสู้สี่รอบติดไม่บาดเจ็บแม้แต่น้อย เพียงพอพิสูจน์ว่าพลังของข้าเหนือกว่าเจ้ามาก! การประลองรอบนี้ไม่จำเป็นต้องประลองเสียด้วยซ้ำ! หากเจ้าจะสู้กับข้าจริง ก็เอาชนะศิษย์พี่ฟู่ให้ได้ก่อน เจ้าเอาชนะเขาได้ถึงจะมีคุณสมบัติตัดสินแพ้ชนะกับข้า!
คางของใต้เท้าเจ้าสำนักเกือบจะร่วงลงมา หน้าไม่อายถึงขั้นนี้ช่างหาได้ยากจริงๆ…
แม้การผลักศิษย์พี่ฟู่ขึ้นมาบนเวทีจะเป็นการตัดสินใจอันฉุกละหุกอย่างยิ่ง ทว่าเฉียวเวยใคร่ครวญมาอย่างดีแล้ว หากศิษย์พี่ฟู่ประลองชนะสวี่หย่งชิงย่อมดีที่สุด แต่หากแพ้ก็ยังลดทอนกำลังภายในของสวี่หย่งชิงได้ส่วนหนึ่ง อีกอย่างจะได้ถือโอกาสนี้ดูเชิงความสามารถของศิษย์พี่ฟู่สักหน่อยด้วย
มือที่เห็นข้อนิ้วชัดเจนข้างหนึ่งแหวกม่านมุกออก ใบหน้างามประหนึ่งหยกโผล่ออกมาเป็นอย่างแรก ต่อจากนั้นก็ตามมาด้วยเรือนร่างสูงเพรียวผึ่งผาย ประหนึ่งต้นสนบนทิวเขา คล้ายต้นไผ่เขียวใต้แสงจันทร์ ท่วงท่างดงามจนเหลือจะพรรณนา
อาภรณ์สีขาวสะอาดสะบัดพลิ้วเชื่องช้าบนขั้นบันไดดูละม้ายเมฆาลอยอ้อยอิ่ง ตัวเขาแลคล้ายหยกบนก้อนเมฆ
ดวงตาของเขาอ่อนโยนแฝงรอยยิ้ม สายตากวาดผ่านที่ใด สรรพเสียงล้วนค่อยๆ เงียบกริบ
เฉียวเวยเพิ่งได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเขาเป็นหนแรก เขาหล่อเหลางดงามมากกว่าที่จินตนาการไว้มากนัก ทั่วทั้งร่างแผ่กลิ่นอายของความอบอุ่นอ่อนโยนออกมา ชวนให้คนรู้สึกดีด้วยในทันที
เหมือนจะสัมผัสได้ถึงสายตาของเฉียวเวย เขาจึงหันไปมองเฉียวเวย ชั่วพริบตาที่ดวงตาสี่ข้างสบประสาน เฉียวเวยพลันรู้สึกว่าหัวใจของตนร้อนผ่าวขึ้นมาวูบหนึ่ง
เขายิ้มน้อยๆ ย่างเท้าอย่างเชื่องช้าขึ้นมาบนเวทีประลอง จากนั้นคำนับสวี่หย่งชิงอย่างนุ่มนวลด้วยความเคารพ “ชิวหยางคารวะเจ้าสำนัก”
สวี่หย่งชิงขมวดคิ้วมองเขา “เจ้าขึ้นมาทำอะไร”
บุรุษผู้นั้นตอบเนิบช้า “ชิวหยางเห็นว่าจีฮูหยินกล่าวมีเหตุผลอยู่บ้าง ชิวหยางจึงขอบังอาจวัดฝีมือกับเจ้าสำนักสักหน ขอให้เจ้าสำนักโปรดอย่าได้ถือโทษ”
คำพูดนี้เฉียวเวยก็พูดได้ แต่หากนางเป็นคนพูดคงไม่ทำให้สวี่หย่งชิงปฏิเสธไม่ได้เช่นนี้
สวี่หย่งชิงไม่คิดว่าตนเองจะพ่ายให้แก่เด็กน้อยคนหนึ่ง จึงยกมือไปทางเขา “ไม่ว่าอย่างไรข้าก็เป็นผู้อาวุโสของเจ้า เพื่อไม่ให้ทุกคนพูดกันว่าข้าเป็นผู้ใหญ่รังแกเด็ก ข้าจะต่อให้เจ้าสามกระบวนท่า”
บุรุษผู้นั้นยิ้มอย่างอบอุ่นแล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณเจตนาดีของเจ้าสำนัก แต่ คงไม่จำเป็น”
สวี่หย่งชิงเห็นรอยยิ้มของเขา ไม่รู้เพราะเหตุใด หัวใจกลับเย็นเฉียบ “เจ้าอย่ามาเสียใจทีหลัง”
บุรุษผู้นั้นตอบว่า “ชิวหยางไม่เคยทำสิ่งที่ตนเองนึกเสียใจ”
“ถ้าเช่นนั้นก็รับกระบวนท่าเถอะ!”
สวี่หย่งชิงขยับฝ่ามือฟันใส่บุรุษหนุ่ม!
โอ้ว ไวปานนี้เชียว!
เฉียวเวยรีบหลบไปอยู่ด้านข้าง