หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 325-2 ชัยชนะ
ตอนที่ 325-2 ชัยชนะ
บุรุษผู้นั้นสะบัดแขนเสื้อ แขนข้างหนึ่งอ้อมไปจับแขนของสวี่หย่งชิง สลายพละกำลังของเขาได้อย่างยอดเยี่ยม
สวี่หย่งชิงอึ้งเล็กน้อย เห็นชัดว่าคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะรับกระบวนท่าแรกของเขาได้ง่ายดายเช่นนี้ สวี่หย่งชิงไม่กล้าประมาทอีก เขาส่งฝ่ามือที่สองออกมาอย่างรวดเร็ว วิชาฝ่ามือของเขาเน้นรุกเป็นหลัก เฉียบคมดุดัน ล้ำเลิศยิ่งกว่าผู้อาวุโสรอง
เฉียวเวยมองดูเขาจู่โจมออกมาสองกระบวนท่าก็รู้สึกโชคดียิ่งนักที่ตนมิต้องต่อสู้กับเขาตรงๆ
บุรุษผู้นั้นรับกระบวนท่าของสวี่หย่งชิงได้อย่างง่ายดาย
สวี่หย่งชิงตกใจจนแววตาวูบไหว ทว่าเขาไม่มีเวลานึกประหลาดใจ เขาซัดฝ่ามือที่สาม ฝ่ามือที่สี่ ฝ่ามือที่ห้า…ออกมาอย่างรวดเร็ว
ความเร็วของเขาว่องไวเหลือเกิน จนถึงขั้นที่ทุกคนเห็นเพียงเงาเลือนรางของเขาเท่านั้น
เฉียวเวยถูกอาจารย์ตาฮั่วฝึกฝนมาแล้ว นางจึงมองเห็นการเคลื่อนไหวแต่ละท่าของเขาชัดเจน แต่ก็เพราะมองเห็นชัด จึงเข้าใจมากกว่าเดิมว่าไม่ว่าอย่างไรตนเองก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา โชคดีที่ตนเองหัวไวผลักศิษย์พี่ฟู่ออกมา
สวี่หย่งชิงยิ่งสู้ก็ยิ่งร้อนใจ ยิ่งร้อนใจก็ยิ่งสูญเสียเรี่ยวแรง จากที่ตอนเริ่มสู้ใช้กำลังภายในห้าส่วน เวลาผ่านไปก็เพิ่มมาเป็นเจ็ดส่วน แปดส่วน เก้าส่วน เมื่อคนผู้หนึ่งใช้กำลังภายในจนถึงเก้าส่วน ร่างกายของตนก็จะได้รับผลสะท้อนกลับประมาณหนึ่ง แต่ละกระบวนท่าของสวี่หย่งชิงล้วนดุดันกว่ากระบวนท่าก่อนหน้า ทว่าเขากลับสูญเสียพละกำลังเพิ่มมากขึ้นทีละน้อย จนเมื่อถึงกระบวนท่าที่สิบห้า กำลังภายในของสวี่หย่งชิงก็เริ่มร่อยหรอ ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบสภาพของศิษย์พี่ฟู่กลับไม่เปลี่ยนแปลงสักนิด
สวี่หย่งชิงซัดฝ่ามือเข้าใส่ชายหนุ่มอีกหน ร่างกายของชายหนุ่มไถลผ่านใต้แขนของเขาแล้วหมุนตัวกลับมาซัดหนึ่งฝ่ามือส่งเขาลงจากเวทีประลอง
ทุกคนต่างตกตะลึง
ศิษย์พี่ฟู่ร้ายกาจถึงเพียงนี้เชียว แม้แต่เจ้าสำนักของพวกเขาก็พ่ายแพ้!
ชายหนุ่มประสานมือคำนับ “เจ้าสำนักออมมือแล้ว”
สวี่หย่งชิงทุบกำปั้นกับพื้น!
เฉียวเวยเดินออกมาปรบมือพลางหัวเราะคิกคักกล่าวว่า “ศิษย์พี่ฟู่เก่งกาจยิ่งนัก จากนี้ก็ขอให้ศิษย์พี่ฟู่ยอมรับการประลองหนนี้แทนผู้อาวุโสใหญ่ด้วยเถิด!”
ชายหนุ่มตอบว่า “แน่นอน”
เฉียวเวยขยับเข้าไปใกล้เขา แล้วใช้เสียงที่ได้ยินเพียงสองคนบอกว่า “รอประเดี๋ยวข้าจะเข้ามาโจมตี เจ้าป้องกันเอาไว้ก็พอ เจ้าวางใจเถิด ข้าจะควบคุมพละกำลังให้ดี ไม่ทำให้เจ้าบาดเจ็บแน่นอน”
ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ “ได้”
แววตาของจีหมิงซิววูบไหวเล็กน้อย
ใต้เท้าเจ้าสำนักเหลือบมองเขาแล้วแค่นหัวเราะ “เป็นอะไร หึงหรือ”
จีหมิงซิวไม่ตอบคำ
เฉียวเวยเงื้อกำปั้นขึ้นมา “เอาละนะ…”
เปรี้ยง!
ทันใดนั้นนางก็ถูกชายหนุ่มซัดฝ่ามือใส่จนปลิว ทั้งร่างของนางลอยไปกระแทกกำแพงแล้วแปะติดอยู่หลายวินาทีก่อนจะไถลรูดลงมาอย่างหมดท่า
เฉียวเวยสองตาเห็นดาว
ไหน ว่า จะ ไม่ เอา จริง
เจ้าตาพร่าหรืออย่างไร…
ชายหนุ่มซัดฝ่ามือมาอีกหน
เฉียวเวยลุกขึ้นมาอย่างยากลำบาก ยังมิทันหอบหายใจก็ถูกซัดขึ้นไปแปะอยู่บนกำแพงอีกหน
ทุกคนผงะถอยหลังอย่างตกใจ อุตส่าห์เอาชนะผู้อาวุโสมาได้สี่คน แต่มาสะดุดล้มหน้าประตูเอาก้าวสุดท้ายหรือนี่ น่าเสียดายเกินไปแล้วจริงๆ!
เฉียวเวยร่วงลงมาบนพื้น นางเกาะกำแพงลุกขึ้นมา
ชายหนุ่มก้าวเข้ามาอย่างเชื่องช้า เขายิ้มน้อยๆ กล่าวขึ้นว่า “รับสองฝ่ามือของข้าแล้วยังลุกขึ้นมายืนได้อีก”
เฉียวเวยนวดหัวไหล่ที่ชาหนึบ แล้วเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าประสาทหรืออย่างไร ไม่ใช่ตกลงกันเรียบร้อยแล้วหรือว่าข้าโจมตีเจ้าหลบ”
ชายหนุ่มหัวเราะ “เจ้าหยั่งเชิงความสามารถของข้าแล้ว ก็สมควรให้ข้าหยั่งเชิงกลับบ้างไม่ใช่หรือ”
แววตาของเฉียวเวยนิ่งอึ้ง เจ้าหมอนี่มองเจตนาของนางออกตั้งแต่แรกแล้ว…
“เจ้ายังอยากได้ของอยู่หรือไม่” เฉียวเวยข่มขู่
ชายหนุ่มตอบเสียงเบา “เจ้าวางใจ ข้าจะให้เจ้าชนะ แต่ว่า…”
พูดมาถึงครึ่งหนึ่ง เขาก็โคจรลมปราณมาที่ฝ่ามืออีกหน จากนั้นฟาดใส่เฉียวเวยอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย!
เฉียวเวยพองขน “เจ้าคนสารเลว! เจ้าคนตระบัดสัตย์! เจ้าจะต้องถูกฟ้าผ่า!”
ชายหยุ่มไม่รั้งกำลังที่มือกลับเพราะคำพูดของเฉียวเวย ลมปราณที่ฝ่ามือของเขาทำให้เฉียวเวยไม่เหลือทางหนี ในตอนที่เฉียวเวยตัดสินใจจะฝืนรับฝ่ามือของเขานั่นเอง ลมปราณของฝ่ามืออันดุดันก็ซัดมาจากบนอัฒจันทร์ มันพุ่งทะลวงมาราบรื่นประหนึ่งผ่าปล้องไผ่แล้วจู่โจมหน้าอกของเขา
ชั่วพริบตานั้นชายหนุ่มพลันขยับฝ่ามือเปลี่ยนทาง ในสายตาของคนภายนอก เขาเพียงเปลี่ยนจากโจมตีท้องของเฉียวเวยมาเป็นใบหน้าของเฉียวเวยเท่านั้น แต่มีเพียงเฉียวเวยที่รู้ว่า ลมปราณจากฝ่ามือของเขาเฉียดผ่านปลายเส้นผมของนางไป
ลมปราณสองสายปะทะกันอย่างรุนแรงกลางอากาศ ชายหนุ่มถอยหลังสองสามก้าว หน้าอกถูกอัดกระแทกจนมุมปากมีเลือดสายน้อยไหลลงมา
เขาสะบัดมือ เงยหน้ามองจีหมิงซิวที่อยู่บนอัฒจันทร์ จีหมิงซิวก้มมองเขาจากที่สูง อาภรณ์ถูกสายลมแรงพัดสะบัดเสียงดัง บรรยากาศอันน่าเกรงขามรอบตัวราวกับนำแรงกดดันมหาศาลบดขยี้ลงมาหาตัวเขา มุมปากเขายกโค้งขึ้นอย่างเชื่องช้าจนแทบจะมองไม่เห็น
เฉียวเวยฉวยโอกาสกระโดดเตะตัวลอย ถีบหน้าอกของเขา
ชั่วพริบตาที่ฝ่าเท้าแนบถึงเนื้อผ้าบนร่าง ร่างของเขาก็พลันลอยขึ้น กระเด็นถอยหลังร่วงลงจากเวทีประลอง
ทุกคนต่างคิดว่าเฉียวเวยเป็นผู้ถีบเขาลงจากเวที พวกเขาอดใจไม่ไหวตะโกนโห่ร้องเสียงดังกึกก้องประหนึ่งอสนีบาต
เฉียวเวยเอาชนะผู้อาวุโสทั้งห้าคนได้สำเร็จ นางจบการท้าประลองหนนี้อย่างสมบูรณ์แบบ ครอบครองตำแหน่งเจ้าสำนักแห่งสำนักซู่ซินจงตัวจริงเสียงจริงตั้งแต่ชั่วขณะนี้เป็นต้นไป
“คารวะเจ้าสำนักเฉียว!”
ท่ามกลางหมู่คน ไม่รู้ว่าผู้ใดตะโกนนำขึ้นมาก่อน ต่อจากนั้นก็มีเสียงที่สอง เสียงที่สาม เสียงที่สี่ตามมา
“คารวะเจ้าสำนักเฉียว!”
“คารวะเจ้าสำนักเฉียว!”
เฉียวเวยมองศิษย์มากมายที่กำลังโขกศีรษะคำนับตนเอง ทันใดนั้นนางก็รู้สึกคล้ายยามปีนถึงยอดเขาแล้วทอดสายตามองหมู่เขาเล็กเขาน้อย ไม่แปลกที่คนมากมายแย่งชิงตำแหน่งเจ้าสำนักกันจนยอมหลั่งเลือด ตำแหน่งนี้ช่างมีสง่าราศีจริงๆ
แต่ตอนนี้เฉียวเวยไม่มีเวลามาดีใจ จีหมิงซิวเดินลงจากอัฒจันทร์ไปแล้ว นางสาวเท้าเร็วไวก้าวไปหาเขา แล้วจับแขนเขาไว้ “ท่านไม่เป็นอะไรนะ”
จีหมิงซิวตอบว่า “ข้าไม่เป็นอะไร กลับไปค่อยว่ากัน”
เฉียวเวยเรียกเจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสามคนแล้วกลับเรือนด้วยกันกับจีหมิงซิว
เมื่อเข้ามาในห้องแล้ว มุมปากของจีหมิงซิวก็มีเลือดสายหนึ่งไหลออกมา
เฉียวเวยรีบหายาลูกกลอนที่จีอู๋ซวงปรุงไว้มาป้อนเขาหนึ่งเม็ด “ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
จีหมิงซิวหัวเราะเบาๆ “กินยาไปก็ไม่เป็นอะไรแล้ว”
เฉียวเวยกำหมัด “เจ้าฟู่ชิวหยางคนนั้นต่ำช้าจริงๆ! ทำมาบอกว่าอยากหยั่งเชิงพลังของข้า ความจริงอยากหยั่งเชิงท่านต่างหาก”
จีหมิงซิวตอบว่า “เขาหยั่งเชิงไปก็ไร้ประโยชน์”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “ก็ใช่ สามีของข้าต่อกรกับผู้ใด มิจำเป็นต้องลงมือ ใช้สมองก็จัดการเขาให้ถึงที่ตายได้แล้ว!”
จีหมิงซิวถูกนางหยอกล้อจนเผยรอยยิ้ม ได้ยินนางเอ่ยคำหวานสักหนก็นับว่าไม่เจ็บตัวเสียเปล่าแล้ว
…
ในหอชิงหลิว ชายหนุ่มกำลังกินยาปรับสมดุลกำลังภายใน หลินชวนรินน้ำร้อนให้ “คุณชาย น้ำขอรับ”
ชายหนุ่มดื่มน้ำร้อน กลืนยาลูกกลอนในมือลงไป แววตาลุ่มลึกเอ่ยว่า “โหราจารย์แห่งชนเผ่าลึกลับ ไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ”
“หลีกไป!”
นอกประตู เสียงโมโหโทโสของใต้เท้าเจ้าสำนักดังขึ้น
ชายหนุ่มส่งสายตาให้หลินชวน หลินชวนเข้าใจความนัยจึงวางขวดยาลงแล้วก้าวไวๆ เดินออกไป เขาเห็นใต้เท้าเจ้าสำนักถูกขวางอยู่นอกประตู ในอ้อมแขนของใต้เท้าเจ้าสำนักอุ้มของสิ่งหนึ่งอยู่ หลินชวนกวาดสายตามอง แล้วขยับยิ้มโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิด “คุณชายรองจีนี่เอง ท่านมาได้อย่างไร มีธุระอันใดหรือ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักตอบว่า “ข้ามาหาฟู่เสวี่ยเยียน เจ้าเรียกนางออกมา!”
หลินชวนแววตาทอประกายวูบหนึ่งแล้วถามว่า “ขอถามท่านมาหาคุณหนูมีธุระอันใด”
ใต้เท้าเจ้าสำนักตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้ามาหานางด้วยธุระอันใดจำเป็นต้องบอกเจ้าหรือ”
หลินชวนคลี่ยิ้ม “คุณหนูชมการประลองช่วงเช้ามา ตอนนี้จึงเหน็ดเหนื่อยพักผ่อนอยู่ในห้อง มิสู้คุณชายบอกข้าก่อนว่าธุระเรื่องใดกันแน่ รอคุณหนูตื่นแล้ว ข้าจะบอกต่อให้เอง”
ใต้เท้าเจ้าสำนักไม่เสียเวลาคิด “ไม่ได้!”
“ถ้าเช่นนั้นคุณชาย…มาใหม่วันหลังดีหรือไม่” หลินชวนยิ้มถาม
ใต้เท้าเจ้าสำนักมองของในอ้อมแขนแล้วบอกว่า “ข้าจะรอนางอยู่ตรงนี้
หลินชวนตอบว่า “เกรงว่าคงต้องรอนานนัก”
ใต้เท้าเจ้าสำนักกล่าวอย่างฉับไว “ถ้าเช่นนั้นก็ให้ข้าเข้าไปรอสิ”
หลินชวนก้าวเข้ามาขวางเขาแล้วตอบอย่างกระอักกระอ่วน “เรื่องนี้คงไม่ได้ ไม่มีคำสั่งจากคุณหนูของข้า พวกเรามิกล้าให้บุรุษเข้าไปด้านใน”
ใต้เท้าเจ้าสำนักแค่นเสียงดังเหอะ “สตรีช่างยุ่งยากเสียจริง! ก็ได้ เจ้าเข้าไปเถิด หากนางตื่นแล้วจงบอกนางว่าข้ากำลังรอนางอยู่!”
หลินชวนยิ้มกว้าง “ขอรับ ข้าน้อยจะบอกต่ออย่างแน่นอน”
….
หลินชวนหมุนตัวเดินกลับเข้ามาในเรือน ชายหนุ่มรั้งสายตากลับมาแล้วปิดม่านหน้าต่าง
หลินชวนผลักประตูเข้ามาด้านใน คำนับหนึ่งหนแล้วรายงานว่า “คุณชาย เขาต้องการพบคุณหนูขอรับ”
ชายหนุ่มหัวเราะหยัน “ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ไปรายงาน”
“เรื่องนี้…” หลินชวนชะงักวูบหนึ่งก็ก้มหน้าลงตอบว่า “ขอรับ ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้!”
หลินชวนเดินไปที่ห้องของฟู่เสวี่ยเยียน ฟู่เสวี่ยเยียนเก็บบ๊วยเปรี้ยวเข้าไปในลิ้นชัก แล้วหยิบถ้วยชาขึ้นมาดื่มน้ำอุ่นอย่างนิ่งสงบ หลินชวนมองตรงมาอย่างไม่หลบตา “คุณหนู คุณชายรองจีมาพบท่านขอรับ ข้าบอกว่าท่านกำลังนอนอยู่ให้เขามาใหม่วันหลัง แต่เขาไม่ฟังจะรออยู่ข้างนอกให้จงได้”
ฟู่เสวี่ยเยียนเอ่ยอย่างเย็นชา “เจ้าไปไล่เขาไปให้พ้น”
หลินชวนเอ่ยอย่างลำบากใจ “ทำเช่นนี้…ไม่ค่อยดีนักกระมัง เขาเป็นคุณชายรองของตระกูลจี พี่ใหญ่ของเขาก็เป็นศิษย์เอกแห่งสำนักซู่ซินจง พี่สะใภ้ใหญ่ของเขายังเป็นเจ้าสำนักที่เพิ่งได้รับตำแหน่งอีก หากไล่เขาไปเช่นนี้…”
ฟู่เสวี่ยเยียนลุกขึ้นยืน
หลินชวนถามว่า “คุณหนู ท่านจะไปที่ใดขอรับ”
“เจ้าไม่กล้าไล่เขาไม่ใช่หรือ ข้าจะไปไล่เอง” กล่าวจบ ฟู่เสวี่ยเยียนก็ก้าวเท้าออกไปจากห้อง
ใต้เท้าเจ้าสำนักรออยู่ด้านนอกอย่างร้อนใจ ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาทานอาหาร บอกว่านอนแล้วคงแทบจะไม่มีผู้ใดหลงเชื่อ แต่เขาดันไร้เล่ห์เหลี่ยมเพทุบายจึงเชื่อเช่นนั้นจริงๆ
“วันหลังเจ้าไม่ต้องมาหาข้าอีกแล้ว” เสียงของฟู่เสวี่ยเยียนดังขึ้นเบื้องหลัง
ใต้เท้าเจ้าสำนักหันหลังกลับมา ดวงตาเป็นประกาย “เจ้ามาแล้ว!”