หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 34 บทเรียน
จากหมู่บ้านซีหนิวไปถึงตัวเมืองเป็นระยะทางรวมสิบลี้ นางเคยเดินทางด้วยเท้าครั้งเดียว ใช้เวลาเดินทางครึ่งชั่วยาม ขนาดตอนนั้นไม่มีภาระหนักแต่อย่างใด นางก็เหนื่อยล้าจนแทบล้มประดาตายแล้ว ทว่าวันนี้ต้องอุ้มกระเตงลูกทั้งสองคนไปด้วย ไม่ต้องคิดก็พอจะเดาได้ว่าต้องเผชิญกับความยากลำบากมากเพียงไร
ในเวลานี้นางเริ่มโทษพ่อของเด็กๆ ขึ้นมาแล้วจริงๆ คนผู้นั้นที่แท้ตายแล้วหรือว่าตั้งใจทอดทิ้งพวกนางทั้งสามคนแม่ลูก ทำไมความลำเค็ญถึงได้มาตกอยู่กับนางคนเดียว
ทางที่ดีเขาควรตายไปแล้วเสียดีกว่า ถ้าขืนนางรู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม นางจะจัดการเขาให้สาสม!
ต้องยอมรับว่าบางครั้งความเกลียดชังก็มิใช่เรื่องไม่ดี หัวใจของเฉียวเวยลุกเป็นไฟด้วยความโกรธ ยามก้าวเดินจึงรู้สึกว่าร่างกายเต็มไปด้วยพลังฮึกเหิม!
ในสมัยโบราณไม่มีไวไฟ ไม่มีโทรศัพท์มือถือจึงไม่ค่อยนอนดึก นางเข้านอนเกือบจะทันทีที่ฟ้ามืด
แม้จะหลับไปสักพักแล้วถึงค่อยสังเกตว่าเด็กๆ มีไข้สูง แต่ตอนนั้นนางคะเนว่าเวลาไม่น่าจะเกินสี่ทุ่ม ดังนั้นเมื่อนางย่ำผืนหิมะเป็นเวลาอย่างน้อยสองชั่วยามจนมาถึงตัวเมืองซีหนิว ท้องฟ้าจึงยังมืดอยู่ โลกทั้งใบประหนึ่งถูกย้อมด้วยสีน้ำหมึก มีเพียงหิมะบนพื้นเท่านั้นที่สะท้อนแสงจางๆ
เฉียวเวยมองย้อนกลับไปยังถนนเส้นที่นางเดินมา แทบไม่อยากเชื่อเลยว่าตัวเองเดินมาได้จริงๆ นางเดินโซซัดโซเซทรุดนั่งบนขั้นบันไดหน้าร้านแห่งหนึ่ง
ร่างกายของนางเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ไม่มีส่วนใดแห้ง
เพียงพอนหิมะก็เหนื่อยมากเช่นกัน มันยังเป็นแค่ลูกเพียงพอน อยู่ๆ ก็ต้องเดินทางไกลเช่นนี้ ขาของมันแทบจะเป็นตะคริวแล้ว
มันหมอบลงที่เท้าของเฉียวเวยอย่างเจ็บปวด
เฉียวเวยลูบหัวของมัน “โชคดี…ที่ตอนนั้นข้าไม่ได้ขายเจ้าไป…”
ใช่สิ ขายข้าไปก็ไม่มีคนช่วยแบกโคมไฟ
เพียงพอนหิมะกระดกหางขึ้นสูง ท่าทางภาคภูมิใจมาก
เฉียวเวยเหนื่อยมาก นางหายใจหอบ
ทันใดนั้นมือเล็กๆ ข้างหนึ่งก็จับแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดเหงื่อบนหน้าผากให้นางเบาๆ
เฉียวเวยหันกลับมามองก็เห็นดวงตาบวมเป่งของจิ่งอวิ๋นกำลังมองนางอย่างอิดโรยและรู้สึกผิด เขาพูดด้วยลำคอแหบแห้งที่แทบจะเปล่งเสียงไม่ออก “ท่านแม่ ขออภัย ต่อไปนี้ข้าจะไม่ป่วยอีกแล้ว”
เฉียวเวยมองริมฝีปากอันแห้งผากและขาวซีดของเขา รอยแตกระแหงบนริมฝีปากเล็กๆ นั้นเหมือนจะทำให้หัวใจของนางแตกเป็นเสี่ยงๆ “ไม่เป็นไร แม่ไม่เหนื่อย”
จิ่งอวิ๋นเช็ดเหงื่อให้ผู้เป็นมารดา พลางกล่าวอย่างช้าๆ “ท่านแม่ ท่านวางข้าลงเถอะ ข้าเดินเองได้”
ความจริงการออกกำลังกายก็เป็นการระบายความร้อนที่ดี แต่ข้างนอกลมแรงเกินไป
เฉียวเวยกระชับผ้าปูเตียงที่กำลังจะเลื่อนหลุด ห่มคลุมตัวเขาไว้อย่างแน่นหนา แล้วยัดมือเล็กๆ ของเขากลับเข้าไป “แม่ยังมีแรง ยังเดินไหว เจ้าจะดื่มน้ำหรือไม่”
จิ่งอวิ๋นพยักหน้า
เฉียวเวยเปิดห่อผ้าออก แต่พบว่าตัวเองรีบร้อนออกเดินทางจนลืมพกถุงน้ำติดมาด้วย
“ท่านแม่ ข้าไม่กระหายน้ำขอรับ” จิ่งอวิ๋นกล่าวอย่างรู้ความ
จู่ๆ เฉียวเวยก็รู้สึกแสบจมูก เอื้อมมือขึ้นแตะศีรษะลูกชายเบาๆ “ขอโทษนะ แม่ลืมเอามา แม่จะไปร้านยาเดี๋ยวนี้ ที่นั่นมีน้ำดื่ม”
ใบหน้าเล็กๆ ของจิ่งอวิ๋นซบบนหลังของเฉียวเวย “ข้าไม่กระหายน้ำจริงๆ”
ริมฝีปากแตกระแหง น้ำเสียงแหบแห้งขนาดนั้น จะไม่กระหายน้ำได้อย่างไร
“แม่พาเจ้าไปดื่มน้ำดีกว่า”
เฉียวเวยกัดฟันทนความเหน็ดเหนื่อย อาศัยกำแพงเป็นที่ค้ำยันแล้วฉุดกายลุกขึ้น เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงชายขี้เมาร้องเพลงแว่วมาจากตรอกข้างหน้า
“เดินเคียงผีซาย (พี่ชาย) ในคืนจันทร์เสี้ยว ผีซาย (พี่ชาย) พาเจ้าเข้าไปหมู่บ้าน น่องเอย (น้องเอ๋ย) เอ๋ยยย เข้าหมู่บ้านกัน…”
ผู้ที่ร้องเพลงคือชายสามคนที่กอดคอเดินเคียงกันมา แต่ละคนถือสุราคนละกา ดูเหมือนว่าจะเมามายไม่ได้สติ
ทั้งสามคนเดินโซเซมุ่งหน้ามาทางนี้ ทันใดนั้นพวกเขาก็เห็นหญิงสาวนางหนึ่งกำลังอุ้มเด็ก แม้อยู่ท่ามกลางราตรีอันมืดสลัว แต่ใบหน้าของนางกลับขาวนวลผุดผ่องดั่งหิมะ
ทั้งสามอดใจไม่ไหวด้วยฤทธิ์สุรา เดินปรี่เข้ามาหาเฉียวเวยพร้อมรอยยิ้มชั่วร้าย
ในเวลาปกติ ทั้งสามคนนั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเฉียวเวยแม้แต่น้อย แต่ตอนนี้เฉียวเวยไร้เรี่ยวแรง ทั้งยังแบกลูกสองคนอยู่กับตัว จะสู้ก็สู้ไม่ไหว จะหนีก็เกรงว่าคงหนีไม่พ้น
ทุกสิ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในชั่วพริบตา นางขยับมือปลดโคมไฟบนหลังของเพียงพอนหิมะออก ทันใดนั้นเพียงพอนหิมะก็พุ่งเข้าใส่ทั้งสามคนราวกับลูกธนู!
มันเงื้อกรงเล็บอันแหลมคมกระโจนเข้าข่วนชายขี้เมาคนกลางอย่างดุเดือด ปกติคนที่มีอาการมึนเมาก็ตอบสนองช้ากว่าคนปกติอยู่แล้ว มีหรือจะรอดพ้นจากการโจมตีอันรวดเร็วปานอสนีบาตเช่นนี้
คอของบุรุษผู้นั้นถูกข่วนจนเนื้อฉีก เขาทรุดตัวลงกับพื้นพร้อมกับกรีดร้องทุรนทุราย
สหายของเขาต่างตกตะลึง มองดูเจ้าก้อนกลมๆ เล็กๆ ที่กำลังเคลื่อนไหวด้วยความขลาดกลัวแล้วยกมือขึ้นคว้าจับมันตามสัญชาตญาณ แต่เพียงพอนหิมะหนีออกมาอย่างง่ายดาย
เพียงพอนหิมะใช้กรงเล็บอีกข้าง ตะปบบุรุษที่อยู่ด้านซ้ายจนบาดเจ็บ
คนสุดท้ายตกใจจนสร่างเมาเกินครึ่ง เมื่อเห็นท่าไม่ดีก็วิ่งหนีเตลิด!
“เสี่ยวไป๋ ไม่ต้องตาม” เฉียวเวยเรียกเพียงพอนหิมะที่กำลังจะพุ่งออกไปไล่ตาม
เพียงพอนหิมะคำรามฮึดฮัดเดินกลับมาอยู่ข้างเฉียวเวยเหมือนเดิม อุ้งเท้าทั้งสี่ข้างไถลลื่นแล้วล้มลงนอนกับพื้นอย่างหมดแรง
ข้าเหนื่อยจัง
เฉียวเวยเหลือบมองมันแวบหนึ่ง นางยิ้มอย่างพอใจ จากนั้นหันไปมองชายฉกรรจ์ที่กำลังนอนกลิ้งอยู่บนพื้นด้วยความเจ็บปวด แล้วเดินตรงเข้าไปด้วยสีหน้าเย็นชา
“เจ้าจะทำอะไร”
“อย่าเข้ามานะ!”
ทั้งสองกระถดถอยหลังกลางพื้นหิมะอย่างหวาดผวา
เวลานี้เรี่ยวแรงของเฉียวเวยเริ่มฟื้นกลับมาบ้างแล้ว นางก้มมองพวกเขาแล้วพูดอย่างเย็นชา “เพื่อนของพวกเจ้าหนีไปแล้ว ก็ไม่รู้ว่าเขาจะไปตามกองหนุนมาช่วยหรือไม่ แต่เจ้าทั้งสองคงต้องลำบากก่อน”
สิ้นเสียง นางพลันก้มลงมาคว้าหมับเข้าที่แขนของคนทางด้านซ้าย จากนั้นก็ได้ยินเสียงกรอบของข้อต่อที่หลุด
อีกคนกลัวจนปัสสาวะราด ผุดลุกขึ้นได้ก็คิดจะวิ่งหนี แต่ถูกเฉียวเวยเตะสกัดหัวเข่าจนล้มกลิ้งจมลงไปในหิมะ
เฉียวเวยดึงแขนของเขาขึ้นมา ไม่พูดพร่ำจัดการถอดข้อต่อแขนเขาทันที จากนั้นชักมีดสั้นออกจากรองเท้าแล้วจ่อศีรษะของเขาเอาไว้
เป็นไปตามที่เฉียวเวยคาด บุรุษผู้นั้นไปตามคนมาช่วย มิหนำซ้ำยังมาเร็วอย่างน่าประหลาดใจ ฝั่งเฉียวเวยเพิ่งชักมีดสั้นออกมา คนกลุ่มนั้นก็วิ่งเข้ามาแล้ว
บุรุษที่เป็นหัวหน้าเดินถือดาบเล่มใหญ่เข้ามาหาเฉียวเวยด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม “หญิงชั่วจากที่ใด กล้ามาทำร้ายพี่น้องของข้า ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่ วันนี้บิดาจะแสดงให้เจ้าดูว่า…”
ยังไม่ทันพูดจบ เขาก็เห็นหน้าตาของหญิงสาวนางนั้นชัด ลำคอตีบตันทันควัน “ฮะ ฮู ฮูหยิน?”
เฉียวเวยหรี่ตาลง “เฉินต้าเตา?”
ชายขี้เมาผู้ไปฟ้องคนนั้นมองเฉียวเวย แล้วหันไปมองลูกพี่ของตัวเอง “ลูกพี่ ท่าน…ท่านรู้จักนางพวกนี้ด้วยหรือ”
เฉินต้าเตาตบหน้าเขาฉาดหนึ่ง “นางพวกนี้อะไรกัน พูดให้มันดีๆ หน่อย! นี่คือฮูหยินที่ข้าเคยบอกพวกเจ้าครั้งนั้นอย่างไรเล่า!”
“นางคือฮูหยินคนนั้นหรือ” ชายขี้เมาที่ไปฟ้องอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง
ไม่เพียงแค่เขาเท่านั้น แม้แต่คนขี้เมาอีกสองคนก็เบิกตาโพลงจนแทบถลนออกจากเบ้า ความยินดีที่เห็นเฉินต้าเตาถูกแทนที่ด้วยความกลัวอย่างสิ้นเชิง กระทั่งต้าเตาก็ยังเคารพยำเกรงนางเช่นนี้ ทำไมพวกเขาถึงตาบอดไปล่วงเกินนางได้
เฉินต้าเตาเดินไปเตะทั้งสองคนอย่างแรงหลายครั้ง “ไอ้พวกตาบอด! ขนาดฮูหยินยังกล้าพูดจาแทะโลม ไม่อยากมีชีวิตแล้วใช่หรือไม่ ถ้าไม่สั่งสอนเสียบ้าง พวกเจ้าคงไม่รู้ฤทธิ์ของบิดา!”
พูดจบ มือซ้ายขวาสองข้างก็เริ่มลงมือ ระดมทุบตีทั้งสองคนจนหน้าตาเขียวช้ำบวมเป่ง บุรุษที่ไปฟ้องก็ไม่ได้รับการละเว้น เขาถูกเฉินต้าเตากระหน่ำตีตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
หลังจากกระหน่ำตีเสร็จ เฉินต้าเตาก็ปัดมือ “ฮูหยิน พวกเขาใช้มือข้างไหนโดนตัวท่าน ข้าจะได้สับทิ้ง!”
ทั้งสามหน้าถอดสีทันที!
เฉียวเวยครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “ช่างเถิด เจ้าสั่งสอนพวกเขาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาก็ยังไม่ทันแตะถูกตัวข้า”
“ขอบคุณฮูหยิน! ขอบคุณฮูหยิน!” ทั้งสามคนโขกศีรษะระรัว
เฉินต้าเตารู้ว่าเฉียวเวยพอมีฝีมืออยู่บ้าง เขาชี้ไปที่แขนของทั้งสองคน “ฮูหยิน แล้วมือของพวกเขา…”
เฉียวเวยก้าวไปข้างหน้าแล้วคว้าแขนของคนหนึ่งในนั้น ชายผู้นั้นก้าวถอยหลังโดยสัญชาตญาณ เฉียวเวยจับเขาให้อยู่นิ่ง ออกแรงเล็กน้อย แขนก็กลับมาอยู่ในตำแหน่งเดิม
หลังจากจัดการเคลื่อนกระดูกข้อต่อแขนของทั้งสองคนให้กลับมาอยู่ในตำแหน่งเดิมแล้ว เฉียวเวยก็ยืนขึ้นและพูดกับเฉินต้าเตาว่า “เรื่องวันนี้ข้าเห็นแก่หน้าของเฉินต้าเตา ข้าจะไม่ถือสาหาความ แต่อย่าได้มีอีกเป็นครั้งที่สอง ไม่เช่นนั้นข้าจะไม่ทำเพียงถอดข้อต่อแขนสองข้างเท่านี้อีก”
เฉินต้าเตาผงกศีรษะราวกับไก่กำลังก้มจิกข้าว สายตาแลจับไปที่เด็กสองคน และถามอย่างไม่แน่ใจ “ดึกขนาดนี้ฮูหยินจะพาเด็กๆ…ไปที่ใดหรือ”
คำถามที่เขาอยากจะถามจริงๆ ก็คือ นี่คือลูกของใคร ลูกของใต้เท้าหมิงซิว หรือว่า…
เฉียวเวยเอ่ยตอบ “พวกเขาป่วย ข้าจะพาไปหาหมอ”
เฉินต้าเตาขมวดคิ้ว “แต่ทั้งหมอโจวและหมอของหอหุยชุนต่างกลับบ้านเกิดกันหมดแล้ว จะกลับมาอีกทีก็วันที่สิบห้าเดือนหนึ่ง เป็นเช่นนี้ทุกปี ฮูหยินมิทราบหรือ”