หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 361-1 ความแตก ท่านพ่อจีรู้ความจริง (4)
ตอนที่ 361-1 ความแตก ท่านพ่อจีรู้ความจริง (4)
การประกาศกร้าวต่อศัตรูหัวใจถึงสิทธิ์ขาดในตัวสตรีของตนของท่านอัครเสนาบดีเป็นอันสิ้นสุดลง แต่วันเวลาที่ยากลำบากของสวินหลันนั้นเพิ่งเริ่มต้น
โบราณกล่าวไว้ได้ดีนัก นั่งกินสมบัติเก่านั้นมีวันหมด อดีตนายหญิงแห่งบ้านตระกูลจีผู้เคยยิ่งใหญ่ก็เช่นเดียวกัน เดิมทีสวินหลันก็ถูกขับออกจากตระกูลอยู่แล้ว จึงไม่ได้รับอนุญาตให้นำทรัพย์สินออกมาด้วย เงินที่พกติดตัวมาด้วยเพียงน้อยนิดนั้นใช้เพียงไม่กี่วันก็ร่อยหรอจนแทบไม่เหลือ
ช่วงแรกหงเหมยยังพอจับจ่ายเนื้อมาทำเกี้ยวได้บ้าง ผัดหมูเส้นได้บ้าง แต่เวลานี้…
หงเหมยเปิดฝาออก มองลงไปยังหม้อข้าวสารที่เหลือข้าวอยู่เพียงไม่กี่เม็ดแล้วขมวดคิ้วด้วยความหนักใจ
เหลือข้าวเพียงเท่านี้แล้ว ต้มข้าวต้มยังไม่พอเลย
นางไปที่ห้องของสวินหลัน สวินหลันนั่งอยู่ตรงหน้าต่าง มองไปยังสนามที่มีวัชพืชขึ้นเต็มไปหมดเป็นระยะๆ ไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่ ดูมองเหม่อจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“ฮูหยิน” นางเอ่ยเรียก
สายตาของสวินหลันยังคงไม่เลื่อนออกจากสวน เพียงตอบรับเสียงเรียบว่า “มีอะไร”
หงเหมยจับชายเสื้อแล้วกลั้นใจบอกว่า “ในหม้อข้าวไม่เหลือข้าวแล้วเจ้าค่ะ”
สวินหลันตอบเสียงเรียบ “ก็ไปซื้อสิ เวลานี้ข้ายังไม่หิว กินสายหน่อยก็ได้”
หงเหมยยังไม่ขยับไปไหน
สวินหลันหันไปมองด้วยความประหลาดใจ “เหตุใดถึงยังไม่ไปอีก”
หงเหมยตอบเสียงต่ำว่า “เงินหมดแล้วเจ้าค่ะ”
สวินหลันตอบอ้อคำหนึ่ง ขนตาที่ยาวงอนหลุบลงมา นางนิ่งไปพักหนึ่งแล้วถึงเดินไปตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ดึงเปิดลิ้นชัก ข้างในมีถุงเงินวางอยู่ นางหยิบถุงเงินมาเปิดออกแล้วเทแผ่นเงินออกมา
หงเหมยพลันหน้าร้อนฉ่า นางรู้สึกว่าตนไม่ควรมาหาฮูหยินเลย แต่หากไม่มาก็ไม่มีเงินไปซื้อข้าวกิน…
สวินหลันเก็บแผ่นเงินลงไปแล้วผูกถุงก่อนจะวางกลับลงไปที่เดิมเงียบๆ จากนั้นก็ถอดกำไลจากข้อมือออกมาส่งให้หงเหมย “เจ้าเอานี่ไปจำนำก็แล้วกัน”
หงเหมยพูดขึ้นด้วยความเห็นใจ “บนตัวท่านเหลือของอยู่เพียงเท่านี้แล้ว”
สวินหลัน “เอาไปจำนำเสีย”
หงเหมยกัดริมฝีปากแล้วรับกำไลไป นางเคยได้ยินโจวมามาพูดว่ากำไลวงนี้ท่านแม่ของฮูหยินเป็นคนให้ไว้ ตอนนางแต่งงานออกมาตระกูลสวินไม่ได้มาร่วมงาน มีเพียงอดีตสวินฮูหยินที่ไหว้วานให้หญิงรับใช้นำของมาให้ หนึ่งในนั้นก็คือกำไลวงนี้
ของที่ล้ำค่าเพียงนี้กำลังจะถูกตนนำไปจำนำ แค่คิดก็รู้สึกปวดใจแล้ว
“ยังรออะไรอีก” สวินหลันถาม
หงเหมยกัดฟันแล้วหมุนตัวเดินไป
หงเหมยไม่ใช่คนที่เกิดและเติบโตในเมืองหลวง นางมาจากหมู่บ้านเล็กๆ ประสบพบเจออะไรมาไม่มาก แต่เมื่อครั้งที่ทำงานอยู่ในเรือนลั่วเหมย นางได้เรียนรู้อะไรจากหรงมามากับตงเหมยมาไม่น้อย ทั้งยังไปมาก็หลายที่ เรื่องอื่นนางไม่กล้าพูด แต่การหาโรงรับจำนำนั้นไม่ใช่เรื่องยาก
นางหาโรงรับจำนำที่หน้าร้านค่อนข้างกว้างขวางเจอร้านหนึ่ง นางยื่นกำไลไปให้ผู้จัดการร้านดู
ผู้จัดการร้านหยิบกำไลขึ้นมาส่องกับแสงอาทิตย์แล้วเอ่ยอย่างไม่แยแสว่า “สิบตำลึง”
หงเหมยอึ้งไป “สิบตำลึง? จะแค่สิบตำลึงได้อย่างไร เจ้าดูให้ดีก่อน นี่เป็นหยกไขมันแพะเชียวนะ! ฝีมือการทำก็ดี ข้างนอกหนึ่งร้อยตำลึงจะซื้อไม่ได้เลย!”
ผู้จัดการร้านหัวเราะออกมา “แม่นาง ที่นี่คือโรงรับจำนำนะ เจ้าคิดว่าโรงรับจำนำมีไว้ทำอะไรหรือ เจ้าเอาของมาจำนำที่ร้านข้า ข้าให้เงินเจ้าไปใช้สอย ไว้รอเจ้ามีเงินแล้วก็มาถอนมันกลับไป นี่เท่ากับข้าให้เจ้ายืมเงินเปล่าๆ หรอกนะ หากใครให้เจ้ายืมเงินในราคาขายของมัน กิจการข้ายังจะทำต่อไปได้หรือ”
หงเหมยร้อนใจ “พวกเราไม่แน่ว่าจะมาไถ่ถอนคืนนี้!”
ผู้จัดการร้านยังคงไม่สนใจ “ราคานี่แหละ เจ้าอยากจำนำก็จำนำ ไม่อยากก็เชิญ”
เงินสิบตำลึงอยู่ในเมืองหลวงใช้ได้แค่ไม่กี่วันเท่านั้น หงเหมยเลยคว้ากำไลแล้วเดินออกไป
หลังจากนั้นหงเหมยไปถามอีกสี่ห้าร้าน ทุกร้านไม่มีใครให้เกินกว่าราคานี่สักคน มีร้านหนึ่งใจดำให้ราคาที่ย่ำแย่ไปอีกนั่นคือห้าตำลึง เล่นเอาหงเหมยโกรธจนหน้าตาบูดบึ้ง
“แม่นางน้อย เจ้าอยากจำนำของหรือ”
ในขณะที่หงเหมยเดินออกมาจากร้านที่หกนั้น ท่านอาตัวอวบอ้วนหน้าตายิ้มแย้มก็เอ่ยเรียกนางไว้
หงเหมยมองอีกฝ่ายด้วยสายตาระแวดระวัง “เจ้าเป็นใคร”
ท่านตาตัวอวบอวนชี้ไปยังตรอกฝั่งตรงข้ามแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเป็นมิตรว่า “ข้าเป็นคนของโรงรับจำนำโจวจี้ โรงรับจำนำของพวกเราย้ายมาจากในเมือง ยังไม่ได้เปิดร้านอย่างเป็นทางการ ข้าเห็นเจ้าเดินหามาแล้วหลายร้าน ใช่เพราะของของเจ้าเอาไปจำนำไม่ได้หรือไม่”
หงเหมยเคยได้ยินชื่อร้านโรงรับจำนวนโจวจี้มาก่อน นั่นเป็นโรงรับจำนำที่ใหญ่ที่สุดของเมืองหลวง ชื่อเสียงเป็นเลิศ ให้ราคาสูง แต่น่าเสียดายที่อยู่ห่างจากตรงนี้มาก นางเดินไปไม่ไหว ไม่อย่างนั้นนางคงไปที่ร้านนั้นแล้ว
อีกฝ่ายเป็นคนจากโรงรับจำนำโจวจี้ สีหน้าหงเหมยเลยดูดีขึ้นเล็กน้อย “ไม่ใช่ว่าจำนำไม่ได้ แต่เพราะพวกเขาใจดำเกินไป กำไลของฮูหยินข้าเป็นหยกชั้นดี พวกเขากลับให้เพียงสิบตำลึงเท่านั้น”
“ให้ข้าดูหน่อยได้รึไม่” ท่านอาตัวอ้วนเอ่ยถาม
หงเหมยหยิบกำไลออกมา
ท่านอาตัวอ้วนจะยื่นมือไปหยิบ หงเหมยกลับดึงหลบอย่างระมัดระวังตัว
ท่านอาตัวอ้วนเอ่ยอย่างเห็นขันว่า “ข้าไม่จับๆ” จากนั้นก็พินิจมองกำไลวงนั้นโดยละเอียด “นี่เป็นหยกไขมันแพะชั้นดีเชียวนะ ยามซื้อมาคงจ่ายเงินไปไม่น้อยสิท่า”
หงเหมยยิ้มพลางเอ่ยว่า “นับว่าเจ้าตาดี นี่เป็นสินเดิมของฮูหยินข้า สีสันสวยงามมาก ฝีมือก็ประณีต”
ท่านอาตัวอ้วนลูบหนวดด้วยความหนักใจ “กำไลนั้นเป็นของดีก็จริง แต่ด้วยการค้าของโรงรับจำนำ ให้สิบตำลึงก็นับว่าไม่เลวแล้ว”
หงเหมยเก็บกำไลกลับด้วยความผิดหวัง
ท่านอาตัวอ้วนเลยพูดต่อว่า “เจ้าอย่าเพิ่งท้อใจ พวกเรานี้ไม่ใช่เพิ่งเปิดร้านใหม่หรอกหรือ เจ้าเป็นลูกค้าคนแรก ช่วยเปิดบัญชีให้ จะให้เจ้ามากหน่อยก็แล้วกัน สามสิบตำลึง”
หงเหมย “สามสิบตำลึงน้อยเกินไป ห้าสิบตำลึงก็แล้วกัน”
ท่านอาตัวอ้วนทำหน้าขรึมลง “เจ้าเด็กนี่นะ! อ้าปากทีก็โก่งราคาข้าเสียเป็นสิบเท่า! มีอย่างนี้เมื่อไรกัน”
หงเหมยเอ่ยอย่างน่าสงสาร “ไม่ได้บอกกันว่าโรงรับจำนำโจวจี้ของเจ้าให้ราคาสูงหรอกหรือ”
ท่านอาตัวอ้วนบอกว่า “ถึงอย่างนั้นก็สูงเพียงนี้ไม่ได้!”
หงเหมยเอ่ยขอร้อง “ท่านอา ฮูหยินของข้ากำลังรอเงินไปใช้อยู่ทีเดียว ท่านเชี่ยวชาญในเรื่องนี้ ให้ข้าห้าสิบตำลึงเถิด หากวันใดฮูหยินข้ากลับบ้านตระกูลจีได้ จะต้องนำเงินที่มากกว่านี้มาขอบคุณท่านแน่!”
ท่านอาตัวอ้วนอึ้งไป “ตระกูลจี? พวกเจ้าเป็นคนของบ้านตระกูลจี?”
หงเหมยพยักหน้า “ฮูหยินของข้าเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดคุณชายสี่”
ท่านอาตัวอ้วนมองประเมินนางขึ้นลงทีหนึ่ง “เจ้านายของตระกูลจีจะขาดแคลนเงินทองได้อย่างไร แม่นางน้อย เจ้าอย่าล้อข้าเล่นจะดีกว่า”
หงเหมยทำหน้าจริงจัง “ข้าไม่ได้ล้อเจ้าเล่น ข้าพูดความจริง ฮูหยินของข้าจะต้องได้กลับบ้านตระกูลจีแน่ ไว้รอให้ได้กลับไปแล้วจะเอาเงินมาให้เจ้าอีกที พวกเราได้เงินจากเจ้าเท่าไร จะคืนให้เท่าหนึ่งเลย!”
นี่ดูจะเป็นการค้าที่ไม่เลวทีเดียว ท่านอาตัวอ้วนเลยตอบตกลงทันที เขาควักตัวเงินห้าสิบตำลึงใบหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ หงเหมยรับตั๋วเงินไป เมื่อมั่นใจว่าตั๋วเงินนั้นเป็นของจริงแล้วถึงได้เอากำไลให้เขา
จากนั้นหงเหมยก็ไปที่ร้านแลกเงิน
พอเดินเข้าประตูไป ก็ถูกทหารของทางการจับตัวไว้ทันที
ผู้ดูแลร้านร้องบอกว่า “เงินนี้แหละ! เงินของร้านข้าที่ถูกขโมยไปหาเจอแล้ว!”
หงเหมยเลยถูกจับตัวไปที่ศาลาว่าการ
หงเหมยตกใจมาก ร้องไห้บอกว่าตนถูกหลอกลวง ทางการไม่เชื่อ เพื่อบีบให้ยอมรับสารภาพ จึงเฆี่ยนนางให้หลายที นางเจ็บจนร้องไห้หาบิดามารดา สุดท้ายยังเป็นสวินหลันที่ตามหาไปถึงศาลาว่าการ แล้วใช้ต่างหูทับทิมไปค้ำประกันตัวนางออกมา
ต่างหูทับทิมนั้นเป็นของมีค่าชิ้นเดียวนอกเหนือจากปิ่นไข่มุกอันเก่าเล่มนั้นที่เหลืออยู่บนตัวนาง เวลานี้ก็ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว
หงเหมยร้องไห้กลับไปตลอดทาง นางเสียใจจนท้องไส้เขียวไปหมด หากรู้แต่แรกนางจะไม่โลภมากเช่นนี้ หากนางจำนำเพื่อแลกกับเงินสิบตำลึงนั้นแต่แรก คงไม่ต้องเกิดเหตุการณ์เช่นในเวลานี้
ทั้งสองกินข้าวต้มที่แทบจะไม่มีเม็ดข้าวกันเป็นมื้อเย็น
ตกดึก หงเหมยได้ยินเสียงท้องร้องโครกคราก
ตอนสวินหลันอยู่ที่บ้านตระกูลจี เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ นางไม่เคยเอาของส่วนกลางมาเป็นของตนเลยสักครั้งจริงๆ ดังนั้นนางจึงไม่ได้มีเงินติดตัวมากนัก แต่เมื่อครั้งองค์หญิงยังมีชีวิตอยู่ ทุกปีในวันเกิด นางจะเอาเงินจำนวนหนึ่งฝากไว้ให้ที่ร้านแลกเงิน เงินส่วนนั้นนางไม่เคยแตะต้องมาก่อน และคิดว่าตลอดชีวิตนี้คงจะไม่ได้ใช้แล้ว แต่เวลานี้ดูเหมือนจะไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริงๆ
นางนำตราประทับกับทะเบียนบ้านไปยังร้านแลกเงินจิ่นซิ่ว
ผู้ดูแลบัญชีของร้านตรวจสอบฐานะของนางแล้วหยิบลูกคิดออกมาคำนวณ “หากคำนวณรวมดอกเบี้ยของหลายปีนี้ ทั้งหมดก็ห้าพันห้าร้อยตำลึง ท่านจะถอนออกไปทั้งหมดเลยรึไม่”
“อื้อ ทั้งหมดเลย” สวินหลันพยักหน้า