หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 365-1 วั่งซูกลั่นแกล้งคนชั่ว
ตอนที่ 365-1 วั่งซูกลั่นแกล้งคนชั่ว
สัญชาตญาณบอกชายร่างกำยำว่าเด็กน้อยคนนี้คงจับตัวไปได้ไม่ง่าย ในเมื่อไม่ง่ายเช่นนั้นก็เปลี่ยนคนแล้วกัน! ถึงอย่างไรลูกของจีหมิงซิวก็ไม่ได้มีแค่นางเพียงคนเดียว
หลังจากชายร่างกำยำล้มเลิกแผนการที่จะลักพาตัววั่งซูไปแล้ว เขาก็พับถุงผ้าป่านเก็บเข้าอกเสื้อไปอย่างเก่า พอดีว่าในตอนนั้นเถ้าแก่ร้านไม้เรียกให้เริ่มทำงาน เขาจึงเดินไปแต่โดยดี
การตั้งเพิงไม่นับว่าเป็นงานที่ต้องใช้ฝีมืออะไร อย่างน้อยงานก็ไม่ใช่งานที่แบ่งมาให้ชายร่างกำยำทำ เขาทำหน้าที่แค่เลื่อยไม้ที่มีคนลากมาเป็นชิ้นเท่านั้น เขาเป็นคนแรงดี ทำงานประเภทนี้ได้โดยไม่หอบสักนิดเลยด้วยซ้ำ
วั่งซูพอจูงม้ากลับไปยังเพิงพักม้าชั่วคราวเสร็จก็ตามไปเจอกับพวกพี่ชายที่โรงอาหาร ใต้เท้าอัครเสนาบดีแอบติดต่อไว้ เวลาพวกเขากินข้าวทุกมื้อ จะมีห้องส่วนตัวให้กินทุกครั้ง ไม่ใช่แค่อาหารที่พร้อมพรักกว่าข้างนอกมาก แต่รสชาติยังเป็นเลิศ วันนี้ยังคงมีปูทะเลที่วั่งซูชอบมากที่สุด แต่ช่วงนี้นางไปหลงใหลในหอยเชลล์ หรือที่โบราณเรียกว่าหอยพัด หอยพัดเอาไปจี่อร่อยที่สุดแล้ว ภายนอกเป็นสีเหลืองทองอ่อนๆ ใส่เกลือกับพริกไทยลงไปเล็กน้อย รสพริกไทยอ่อนๆ จนแทบจะกินไม่รู้ แต่หากขาดรสชาตินี้ไป พอกินเข้าไปจะไม่ได้รสชาติที่เลอเลิศ นอกจากนี้แล้วยังใส่น้ำผลไม้สีเหลืองอ่อนที่เปรี้ยวจนเข็ดฟันลงไปอีกด้วย
จิ่งอวิ๋นกินหอยพัดไม่ได้ ทำได้แค่มองน้องสาวคีบเนื้อหอยที่ทั้งขาวทั้งเด้งยัดเข้าปากไปทั้งตาละห้อย พอน้องสาวออกแรงกัดเบาๆ ตัวเขายังรู้สึกได้ว่าน้ำในหอยทะลักออกมา
หอยพัดเนื้อนุ่ม แต่กลับสู้ฟันเล็กน้อย มีกลิ่นน้ำทะเลช่วยเพิ่มรสชาติ แล้วยังมีรสหวานที่แทบไม่รู้สึกปนอยู่ อร่อยจนวั่งซูแทบอยากจะกลืนลิ้นลงไปด้วย
วั่งซูกินหอยพัดของตนคำแล้วคำเล่า ทำให้หลิวเกอร์ไม่มีหอยจะให้กิน
หลิวเกอร์คีบขึ้นมาตัวหนึ่งอย่างน่าสงสาร พอกินเสร็จจะไปคีบอีกทีก็ถูกหลานสาวกวาดเรียบไปแล้ว
คนเป็นอาอย่างเขาบางครั้งก็น่าสงสารเอามากๆ จริงๆ…
แน่นอนว่าบนโต๊ะอาหารไม่ได้มีแต่อาหารทะเล ยังมีอาหารบ้านๆ ที่น่าอร่อยอยู่อีกไม่น้อย เด็กน้อยทั้งสามกินกันอิ่มหนำอย่างรวดเร็ว พวกเขานอนเล่นในห้องกันพักหนึ่งก็ออกไปเข้าเรียนช่วงบ่ายต่อ
บ่ายวันนี้เดิมทีเป็นวิชาเขียนพู่กันของอาจารย์ซุน แต่เพิงม้ากำลังตอกโป๊กๆ กันอยู่เป็นที่หนวกหูเกินไปจริงๆ เด็กในห้องนี้ก็อายุยังน้อย จึงยากที่จะมีสมาธิในบรรยากาศเช่นนี้ อาจารย์ซุนเลยขอเปลี่ยนวิชากับอาจารย์สอนยิงธนูเสียเลย ให้นักเรียนออกไปยิงธนูกันในป่า
ป่าสำหรับยิงธนูอันที่จริงอยู่ใกล้กับเพิงม้ามากกว่าเสียอีก แต่สมาธิของเด็กๆ ดูเหมือนจะเลือกได้มาตั้งแต่เกิด กิจกรรมอย่างการขี่ม้ายิงธนู ต่อให้ฟ้าผ่าดังโครมครามก็ยังไม่ส่งผลใดๆ สักนิด
อาจารย์เฉินที่สอนเรื่องการขี่ม้ายิงธนูอธิบายถึงหัวใจสำคัญในการยิงธนูให้ฟังรอบหนึ่ง หลังจากอบอุ่นร่างกายกันแล้วก็แสดงท่าทางให้ดู แล้วให้นักเรียนสามสี่คนออกมาทำเป็นตัวอย่าง จากนั้นก็หลบออกไปอยู่ด้านข้าง ให้เด็กๆ หาเป้าซ้อมยิงกันเอง
ส่วนอีกด้านหนึ่ง ชายร่างกำยำที่กำลังเลื่อยไม้อยู่เห็นนักเรียนมากันแถวนี้ การจะหาลูกนกตัวน้อยในหมู่ฝูงหงส์ตัวใหญ่ยักษ์นั้นเอาเข้าจริงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เด็กน้อยทั้งสามมีรูปโฉมที่โดดเด่นเกินไป ต่อให้ไปอยู่ท่ามกลางผู้คนก็คล้ายเป็นอาทิตย์ที่ส่องแสง สามารถดึงดูดสายตาผู้คนได้ตลอดเวลา
สายตาของชายร่างกำยำมองไปยังเด็กน้อยทั้งสาม เขาวางเลื่อยในมือลงแล้วลอบแฝงตัวเข้าไปในป่า แน่นอนว่าเวลานี้ไม่ใช่โอกาสที่ดีในการลักพาตัว ไว้รอให้พวกเขาเลิกเรียน ทุกคนมาเล่นสนุกกันในป่าก่อน เขาค่อยลงมือก็ยังไม่สาย
เมื่อคิดเช่นนี้ ชายร่างกำยำก็มองหาต้นไม้ต้นใหญ่ที่มีใบดกหนาแล้วใช้วิชาตัวเบากระโดดขึ้นไป ก่อนจะนอนลงบนกิ่งไม้ที่อวบใหญ่
ด้านนอกป่า จิ่งอวิ๋นกำลังอธิบายหัวใจสำคัญของการยิงธนูให้ท่านอากับน้องสาวฟัง “…ต้องจับให้มั่นเข้าใจหรือไม่ ข้าหมายถึงหลิวเกอร์ ส่วนวั่งซูจับหลวมๆ หน่อย… จากนั้นต้องดึงสายให้ตึง… วั่งซูเจ้าดึงแค่ครึ่งเดียวก็พอแล้ว… แล้วก็ต้องเล็งให้แม่น นิ้วมือทั้งสองข้างคลายออกพร้อมๆ กัน แบบนี้”
จิ่งอวิ๋นยิงธนูใส่เป้าที่อยู่ด้านนอกป่าไปดอกหนึ่ง เข้ากลางเป้าพอดี
วั่งซูร้องโอ้โหออกมา “พี่ชายเก่งจังเลย!”
จิ่งอวิ๋นบอกกับวั่งซูว่า “คราวนี้ตาเจ้าแล้ว”
วั่งซูดึงสายธนู นางเป็นเด็กน้อยที่เชื่อฟัง พี่ชายบอกว่าไม่ต้องจับแน่นเกินไป นางก็ไม่ได้จับแน่นเกินไปจริงๆ พี่ชายยังบอกว่าอย่าดึงให้เต็มที่นัก นางก็ดึงแค่นิดเดียวเท่านั้นจริงๆ
นิดเดียวของวั่งซูน่าจะยังมากกว่าดึงให้เต็มที่อยู่อีกนิดหน่อย…
จิ่งอวิ๋น “ข้าจะนับหนึ่งสองสาม เจ้าก็เริ่มยิงได้ หนึ่ง สอง สาม!”
วั่งซูยิงธนูที่อยู่ในมือออกไป แต่ลูกธนูของนางไม่แม้กระทั่งจะเฉียดเป้า แต่พุ่งลอยละลิ่วออกไปแทน
ชายร่างกำยำมองลูกธนูที่ปักอยู่บนต้นขาข้างขวาของเขาอย่างแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
นอนอยู่เฉยๆ ก็โดนธนูยิงใส่ได้หรือนี่?!
จิ่งอวิ๋นถอนหายใจ “ตาเจ้าแล้ว หลิวเกอร์”
หลิวเกอร์ออกแรงง้างคันธนู เล็งตรงไปที่เป้าแล้วออกแรงยิงออกไป
จิ่งอวิ๋นผายมือออก “เฮ่อ เจ้าก็ยิงไม่โดน”
ภายในป่า ชายร่างกำยำมองธนูที่ปักเข้าที่ขาซ้ายของตนแล้วอ้าปากหวอ
นี่มันอะไรกัน ถูกยิงธนูใส่อีกแล้ว?!
ชายร่างกำยำกำลังจะหักธนูแล้วไปดูว่าใครกันที่ลอบทำร้ายเขาอย่างไม่กลัวตายเช่นนี้ ในตอนนั้นอาจารย์เฉินกลับประกาศบอกว่าจบวิชาแล้ว นักเรียนทั้งหลายวิ่งเข้าไปในป่ากันราวกับผึ้งแตกรัง ในป่าผืนนี้ไม่มีงูพิษไม่มีสัตว์ร้าย แต่ตรงกลางกลับมีสวนผลไม้ปลูกอยู่ ทุกครั้งเวลาเลิกเรียน พวกเขาจะไปเด็ดผลไม้มากินแก้หิวกันเป็นประจำ
ตามแผนการเดิม ชายร่างกำยำจะรอกระต่ายอยู่ในป่า รอแค่ให้บุตรชายของอัครเสนาบดีปรากฏตัว เขาก็จะกระโดดลงไปลักพาตัวเขา จากนั้นก็ใช้วิชาตัวเบาหนีไป แต่เวลานี้เขาบาดเจ็บเสียแล้ว เขากระโดดลงไปไม่ไหว…
กระโดดลงไปไม่ไหวนั้นยังไม่เท่าไร แต่กระนั้นเจ้าเด็กอ้วนก็ดันเดินมาทางนี้
วั่งซูยืนอยู่ใต้ต้นไม้ กะพริบตามองขึ้นไปยังกิ่งไม้ที่ใบดกหนา มีชั่วขณะหนึ่งที่ชายร่างกำยำคิดว่าตนเองถูกพบเห็นเข้าเสียแล้ว แต่ใครจะรู้ว่าชั่วขณะต่อมาก็ได้ยินเด็กหญิงบอกว่า “หลิวเกอร์ มาดูนี่สิ ธนูของพวกเรา!”
ตอนแรกหลิวเกอร์จะไปเด็ดผลไม้กับจิ่งอวิ๋น พอได้ยินแบบนี้เลยทิ้งจิ่งอวิ๋นแล้ววิ่งจี๋เข้ามาหายืนอยู่ข้างวั่งซู เงยหน้ามองขึ้นไปบนต้นไม้กันตาแป๋ว
วั่งซูชี้ไปยังกิ่งปลายธนูที่โผล่พ้นกิ่งไม้รกครึ้มออกมา “เจ้าดูหางธนูนั่นสิ!”
หลิวเกอร์ “ใช่ๆ ข้าเห็นแล้ว!”
อันที่จริงยังไม่เห็น…
“ข้าจะเก็บธนูกลับมา ถือนี่ไว้” วั่งซูส่งคันธนูให้หลิวเกอร์
ชายร่างกำยำใจเต้นตุบๆ เจ้าเด็กอ้วนนี้จะทำอะไร นางคงไม่ได้คิดจะปีนขึ้นมาหรอกกระมัง หากทำเช่นนี้ตนคงถูกพบเข้าพอดี!
ทว่า…หากนางปีนขึ้นมาจริงๆ ตนกสามารถใช้ยาสลบจับตัวนางไว้ได้!
ในใจพอมีความคิดนี้ปรากฏขึ้น สายตาของชายร่างกำยำก็พลันเป็นประกายขึ้นทันที ต้นขาที่มีธนูสองดอกปักอยู่ก็ดูเหมือนจะไม่รู้สึกเจ็บเลยแม้แต่น้อย เขาหยิบยานอนหลับออกมาจากอกเสื้อ เปิดฝาขวดออกแล้วยิ้มชั่วร้าย!