หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 372-2 แม่ลูก พบหน้า
ตอนที่ 372-2 แม่ลูก? พบหน้า
จีหมิงซิวกลับมาถึงตระกูลจี เฉียวเวยนั่งรอเขาอยู่ที่ห้องด้านหน้านานแล้ว เมื่อเห็นเขาเดินเข้าประตูมาก็ก้าวเข้าไปถอดเสื้อให้เขา เขากางแขนออกอย่างให้ความร่วมมือ ระหว่างที่เฉียวเวยถอดเสื้ออยู่ นางก็รู้สึกว่าดูเหมือนวันนี้อารมณ์ของเขาจะผิดปกติอยู่เล็กน้อย คิ้วเรียวสวยเลิกขึ้นแล้วถามว่า “ซิ่วฉินบอกว่านางเห็นองครักษ์ของฮองเฮาเยี่ยหลัว ฮองเฮาเยี่ยหลัวมาจริงๆ หรือ”
“มาจริงๆ” เสียงของจีหมิงซิวแหบพร่าเล็กน้อย
สตรีเดินทางมาเป็นทูต เผ่าเยี่ยหลัวก็ช่างคิดออกมาได้!
เฉียวเวยถอดเสื้อให้จีหมิงซิวเสร็จก็หยิบเสื้อผ้าสำหรับอยู่ในจวนที่เตรียมเอาไว้ก่อนแล้วมาผลัดเปลี่ยนให้เขา “ฮองเฮาเดินทางมาขอตัวมู่ชิวหยางกับฟู่เสวี่ยเยียนกลับไปสินะ พวกเขาช่างใจกล้านัก ไม่กลัวกลายเป็นเอาซาลาเปาเนื้อตีสุนัข ได้มาแต่ไม่ได้กลับหรืออย่างไร ท่านว่าถ้าพวกเราจับตัวฮองเฮาของเผ่าเยี่ยหลัวไว้ เผ่าเยี่ยหลัวฝั่งนั้นจะยอมมอบตัวแต่โดยดีหรือไม่”
“จับไม่ได้” จีหมิงซิวตอบ
“เพราะเหตุใด” เฉียวเวยถามอย่างไม่เข้าใจ
ดวงตาลึกล้ำของจีหมิงซิวมีอารมณ์หม่นหมองปรากฏขึ้นมาวูบหนึ่ง “นางอาจจะเป็นท่านแม่ของข้า”
ไม่ใช่นางหน้าตาเหมือนท่านแม่ของข้า แต่นางอาจจะเป็นท่านแม่ของข้า สองประโยคนี้ดูไปแล้วความหมายไม่แตกต่างกันมากมายเท่าใดนัก แต่เมื่อพูดออกมาจากปากของจีหมิงซิวย่อมแตกต่างกันมาก
หากเขาไม่มั่นใจเต็มร้อย เขาไม่มีทางถูกรูปลักษณ์ภายนอกทำให้สับสนได้เป็นอันขาด นี่เป็นสาเหตุที่ตอนเขาเห็นเฟิ่งชิงเกอ เขาไม่หวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย เพราะเขารู้ดีว่า นอกจากใบหน้าดวงนั้นแล้ว ตัวเฟิ่งชิงเกอไม่มีส่วนใดคล้ายคลึงกับเจาหมิง
ทว่าฮองเฮาเยี่ยหลัวในวันนี้ ทั้งอากัปกิริยาเล็กน้อยของนาง กลิ่นหอมบนเรือนร่างนาง ท่วงท่าการเดินของนาง แม้กระทั่งความรู้สึกที่มีระหว่างคนสายเลือดเดียวกัน ล้วนทำให้จีหมิงซิวยากจะปล่อยวางความสงสัย
เฉียวเวยขมวดคิ้ว “อากัปกิริยาเล็กน้อยคล้ายกันได้ ท่วงท่าการเดินก็คล้ายกันได้ กลิ่นหอม…”
จีหมิงซิวตอบว่า “กลิ่นหอมชนิดนั้นไม่ได้มาจากเครื่องหอม เจ้าจำกลิ่นหอมบนตัวหมิงเยี่ยได้หรือไม่ บนร่างของมารดาข้าก็มีเหมือนกัน”
เฉียวเวยพยักหน้า บนร่างของเจ้าซื่อบื้อคนนั้นมักจะมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยออกมา คนที่จิตใจไม่แข็งแกร่งพอดมมากเข้าจะหน้าแดงหัวใจเต้นรัว นางเคยแอบล้อเจ้าซื่อบื้อนั่นในใจ ล้อว่าเป็นพระสนมเซียงเฟย[1] ตัวน้อย คิดไม่ถึงว่านั่นจะเป็นพันธุกรรมที่ถ่ายทอดกันมาในครอบครัว “จะเป็นพี่สาวน้องสาวขององค์หญิง เป็นท่านป้าท่านน้าของท่านหรือไม่”
จีหมิงซิวพยักหน้า “นั่นก็อาจเป็นไปได้”
เฉียวเวยจึงบอกว่า “ท่านรอก่อน ข้าจะไปถามฟู่เสวี่ยเยียน”
…
ฟู่เสวี่ยเยียนเพิ่งทานอาหารกลางวันเสร็จ นางกำลังจะงีบกลางวัน แต่แล้วเฉียวเวยก็บุกเข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญ เฉียวเวยรู้เวลาพักผ่อนของนางอยู่แล้ว ในเมื่อนางบุกมาหาในเวลานี้ย่อมต้องมีเรื่องสำคัญ
ฟู่เสวี่ยเยียนสวมเสื้อแล้วมาพบนางในห้อง
“หมิงซิวกลับมาจากในวัง เมื่อครู่เขาเพิ่งเห็นฮองเฮาเยี่ยหลัว ข้าคิดว่าเจ้าอาจจะเดาได้ว่าข้ามาเพราะเหตุใด”
ฟู่เสวี่ยเยียนถอนหายใจเผ่วบา “ข้าคิดมานานแล้วว่าวันนี้ต้องมาถึงในสักวัน แต่คิดไม่ถึงว่าจะเร็วเช่นนี้”
เฉียวเวยมองนาง ทันใดนั้นแววตาก็เย็นเยียบขึ้นทันที “เจ้ามีเรื่องปิดบังพวกเรา”
ฟู่เสวี่ยเยียนหลุบตาลง “ข้าหาจังหวะเหมาะๆ เปิดปากพูดกับพวกเจ้าไม่ได้”
เฉียวเวยตอบว่า “ตอนนี้ได้จังหวะแล้ว”
ฟู่เสวี่ยเยียนเปิดปากพูดอย่างสับสน “ข้าก็ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มเล่าจากตรงไหนดี…”
เฉียวเวยถามเข้าตรงประเด็น “ฮองเฮาเยี่ยหลัวใช่มารดาของหมิงซิวหรือไม่”
ฟู่เสวี่ยเยียนครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ตอบว่า “ข้าก็เคยสงสัยมาก่อน”
เฉียวเวยจับความผิดปกติได้ทันที “อะไรคือเจ้าก็เคยสงสัยมาก่อน เจ้าเคยพบองค์หญิงมาก่อนแล้วหรือ เจ้ากับองค์หญิงเกี่ยวข้องกันอย่างไรแน่”
ฟู่เสวี่ยเยียนบีบนิ้วมือ “นาง…นางเป็นท่านอาของข้า”
เฉียวเวยถูกข้อมูลอันน่าตกตะลึงนี้กระแทกจนเกือบจะหงายหลัง “เจ้าว่าอะไรนะ เจ้าพูดอีกรอบซิ เจ้ากับหมิงเยี่ยเป็นลูกพี่ลูกน้องกันหรือ!”
ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าสองคนก็มีอะไรกันระหว่างพี่น้องนะสิ!
แม้จะอยู่ในยุคโบราณที่การแต่งงานระหว่างญาติใกล้ชิดเป็นเรื่องถูกกฎหมาย แต่ในฐานะหมอจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดคนหนึ่ง ข้าเป็นห่วงเด็กน้อยในท้องของเจ้าอย่างยิ่งจริงๆ!
ฟู่เสวี่ยเยียนบอกเสียงเบาว่า “ไม่ได้มีสายเลือดเกี่ยวข้องอะไรกันหรอก เพียงเป็นคนตระกูลกู่เหมือนกัน พอนับลำดับรุ่นแล้ว ข้าต้องเรียกนางว่าท่านอาก็เท่านั้น”
หัวใจดวงน้อยที่ตกใจจนเต้นกระหน่ำของเฉียวเวยค่อยๆ เต้นช้าลงกลับเป็นปกติ
ฟู่เสวี่ยเยียนเล่าต่อ “ตระกูลกู่แบ่งออกเป็นสองตระกูล คือตระกูลกู่ทางใต้กับตระกูลกู่ทางเหนือ ท่านอาของข้าเป็นคุณหนูคนสุดท้ายของตระกูลกู่ใต้ หลังจากนางถือกำเนิด ตระกูลกู่ใต้ก็ล่มสลาย ตอนข้ายังเล็กมากๆ ท่านอาเคยกลับมาที่เผ่าเยี่ยหลัวหนหนึ่ง นางเคยพักอยู่ที่บ้านของพวกเราช่วงหนึ่ง ความจริงข้าก็จดจำอะไรไม่ได้มากนัก แต่ท่านพ่อของข้าบอกว่าท่านอาดีกับข้าอย่างยิ่ง”
แล้วยังมอบอินทรีทองตัวหนึ่งให้ข้าด้วย
“ในบ้านของข้ามีภาพเหมือนตอนท่านอาอุ้มข้าอยู่ภาพหนึ่ง ความทรงจำเกี่ยวกับท่านอาเริ่มมาจากภาพเหมือนภาพนั้น”
เฉียวเวยทำท่าครุ่นคิด “นางเป็นคุณหนูคนสุดท้ายจากตระกูลกู่ใต้ หากกล่าวเช่นนี้ นางก็ไม่มีพี่น้องอย่างนั้นสิ”
ฟู่เสวี่ยเยียนส่ายหน้า “ไม่มี ดังนั้นตอนที่ข้าเห็นฮองเฮาครั้งแรก ข้าจึงตกตะลึงอย่างยิ่ง ข้าวิ่งกลับบ้านไปรื้อภาพเหมือนออกมาดู หลังจากเพ่งพิจแล้วเพ่งพิจอีก ใคร่ครวญแล้วใคร่ครวญอีก ข้าก็รู้สึกว่าเหมือนเหลือเกิน ข้าจึงถามบิดาของข้าว่านางใช่ท่านอาหรือไม่ ท่านพ่อตอบว่าไม่ใช่ หลังจากนั้นข้าก็ถามคำถามเดียวกับเจ้า นางเป็นพี่น้องฝาแฝดของท่านอาใช่หรือไม่ แต่ท่านพ่อก็บอกว่าไม่ใช่อีก”
เฉียวเวยกระแอมเบาๆ ถามขึ้นว่า “เจ้าไม่เชื่อสิ่งที่ท่านพ่อของเจ้าบอกหรือ”
ฟู่เสวี่ยเยียนตอบว่า “ข้าย่อมไม่เชื่อ ข้าวิ่งไปรื้อแผนผังตระกูลของตระกูลกู่ใต้มาดูด้วยตัวเอง บนนั้นเขียนว่ามีท่านอาเป็นคุณหนูเพียงคนเดียวจริงๆ”
พอพูดถึงพี่น้องฝาแฝด เฉียวเวยก็นึกอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “เจ้ามักจะจ้องหมิงซิวอยู่เสมอ เพราะว่าเขาหน้าเหมือนท่านอาของเจ้าใช่หรือไม่”
ฟู่เสวี่ยเยียนตอบตามตรง “ถูกแล้ว ข้าอยากจะดูว่าเขาหน้าเหมือนหรือไม่ แต่น่าเสียดายเขาไม่เคยถอดหน้ากาก”
เฉียวเวยนึกอะไรขึ้นมาได้ นางถามอย่างกระอักกระอ่วนอีกครั้ง “ถ้าเช่นนั้นที่เจ้า…ช่วยชีวิตหมิงเยี่ยมาหลายครั้งหลายหน เพราะว่าชอบหมิงเยี่ย หรือว่าเพราะหมิงเยี่ยเป็นลูกของท่านอาของเจ้า”
ฟู่เสวี่ยเยียนนิ่งเงียบ
เฉียวเวยถอนหายใจอยู่ในใจ ถึงนางจะเยือกเย็นเฉลียวฉลาด แต่ในบางเรื่องก็ยังรู้ดีสู้พวกสตรีธรรมดาไม่ได้ เกรงว่าแม้แต่ตัวนางเองก็คงยังไม่เข้าใจกระมังว่าความจริงแล้วเหตุใดนางจึงดีกับเจ้าซื่อบื้อนั่นถึงเพียงนี้
ตัวเฉียวเวยย่อมหวังว่านางจะชอบเจ้าซื่อบื้อนั่นจริงๆ อย่างไรเสียเจ้าซื่อบื้อบ้านนางก็ชอบอีกฝ่ายมากถึงขนาดนั้นแล้ว
เฉียวเวยไม่ชอบการบังคับฝืนใจคน พอเห็นนางไม่ยินดีจะตอบอย่างตรงไปตรงมาก็ข้ามประเด็นนี้ไปเสีย “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ช่วงเทศกาลชิงหมิงตอนพวกเราไปปัดกวาดสุสานให้องค์หญิง พบว่าเคยมีคนมาวางเครื่องเซ่นไหว้ก่อนหน้าแล้ว เจ้าเป็นคนมาวางใช่หรือไม่”
ฟู่เสวี่ยเยียนพยักหน้าเล็กน้อย
ใจกล้าจริงนะ ถึงกับลอบเข้าไปในสุสานขององค์หญิง นางไม่กลัวถูกองครักษ์ของฮ่องเต้พบเข้าหรืออย่างไร เฉียวเวยฝ่ามือชื้นเหงื่อแทนนาง แล้วถามขึ้นมาว่า “วันนั้นเจ้าเห็นพวกเราแล้วใช่หรือไม่”
“เห็นแล้ว” ฟู่เสวี่ยเยียนตอบ
เฉียวเวยนิ่งอึ้งจากนั้นก็เข้าใจโดยพลัน “มิน่าเล่า ข้าถึงว่าก่อนหน้านี้เจ้าอยากจะสังหารหมิงเยี่ยอยู่ตลอด แต่เหตุไฉนจู่ๆ กลับเริ่มปกป้องเขา น่าสงสารเจ้าหมอนั่นที่คิดว่าตัวเองมีเสน่ห์เพิ่มขึ้นจนคว้าเอาหัวใจดวงน้อยของเจ้ามาได้”
บนหน้าของฟู่เสวี่ยเยียนมีสีหน้าอึดอัดพาดผ่านแวบหนึ่ง
เฉียวเวยหรี่ตาลงดูท่าทางอันตราย “ราชาเยี่ยหลัวของพวกเจ้าชั่วร้ายนักนะ จงใจส่งคนที่หน้าตาเหมือนองค์หญิงถึงขนาดนั้นมา หวังจะจัดการฝ่าบาทกับตระกูลจีล่ะสิ!”
ฟู่เสวี่ยเยียนไม่พูดไม่จา
เฉียวเวยกุมมือนาง “แต่เจ้าวางใจเถิด พวกเราจะไม่มอบเจ้าให้แน่ เจ้าทำใจให้สบายจนกว่าจะคลอดเถอะนะ”
“อืม” ฟู่เสวี่ยเยียนพยักหน้าเบาๆ
หลังจากนั้นเฉียวเวยก็ถามคำถามอีกเล็กน้อย ล้วนเป็นเรื่องเกี่ยวกับฮองเฮา ฟู่เสวี่ยเยียนตอบอย่างอดทนจนหมดทุกคำถาม
ในตอนนี้เฉียวเวยไม่ถามถึงคนอื่นๆ ของเผ่าเยี่ยหลัว ไม่ว่าอย่างไรนางก็ถือว่าฟู่เสวี่ยเยียนเป็นผู้หญิงของเจ้าซื่อบื้อแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ต่อให้เผ่าเยี่ยหลัวจะส่งคนมาอีกเท่าใดก็อย่าฝันว่าจะแย่งคนไปจากมือของพวกเขาได้!
นางกลับมาถึงห้องครึ่งชั่วยามหลังจากนั้น เจ้าตัวน้อยทั้งสามนอนกลางวันกันเรียบร้อย จีหมิงซิวอ่านเอกสารอยู่ในห้อง เฉียวเวยกวาดตามองผ่านๆ ทั้งหมดล้วนเป็นภาษาเยี่ยหลัว นางอ่านไม่เข้าใจแม้แต่ตัวอักษรเดียว!
“นางว่าอย่างไร” จีหมิงซิวถาม
เฉียวเวยเล่าคำพูดของฟู่เสวี่ยเยียนให้จีหมิงซิวฟังทุกคำอย่างไม่ตกหล่น “…คิดไม่ถึงว่ามารดาของท่านจะเป็นคุณหนูตระกูลกู่ เรื่องนี้ทำให้ข้าตกใจจริงๆ”
ใบหน้าของจีหมิงซิวไม่มีสีหน้าประหลาดใจแม้แต่น้อย
เฉียวเวยถามอย่างฉงน “ท่านคงไม่ได้รู้ตั้งนานแล้วใช่หรือไม่”
“ก็รู้มาไม่นานเท่าไร” จีหมิงซิวตอบ
“ไม่นานที่ว่านั่นคือตั้งแต่เมื่อใด” เฉียวเวยจี้ถาม
จีหมิงซิวชะงักไปชั่วครู่ “ตอนอยู่สำนักซู่ซินจง”
เฉียวเวยตกใจจนกัดลิ้น “รู้ตั้งแต่ตอนนั้นยังไม่เรียกนานอีกหรือ ท่านเดาออกได้อย่างไร”
จีหมิงซิวแววตาหม่นแสงลงเล็กน้อย “ตั้งแต่ที่เจ้าบอกข้าว่าผู้หญิงในตระกูลของฟู่เสวี่ยเยียนเกิดมาต้องเป็นฮองเฮา ข้าก็เริ่มสงสัยแล้วว่ามารดาของข้าคงจะเป็นคนในตระกูลของพวกเขาด้วย จุดประสงค์ที่มารดาของข้าแต่งเข้ามาในตระกูลจีก็เพื่อกระบี่โหราจารย์ การที่นางแต่งงานกับบิดาของข้าแล้วให้กำเนิดบุตร ความจริงแล้วก็เป็นประโยชน์ต่อการได้กระบี่โหราจารย์ไปครอง ทว่าคนกลุ่มนั้นกลับสังหารนางเสียก่อน”
เฉียวเวยเข้าใจในพริบตา “เพราะแต่เดิมนางสมควรเป็นฮองเฮาของเผ่าเยี่ยหลัว แต่นางทรยศราชาเยี่ยหลัวมาแต่งงานมีลูกกับบิดาของท่านอย่างนั้นหรือ”
จีหมิงซิวเหมือนจะไม่อยากหวนนึกถึงอดีตในช่วงเวลานั้น เขาปิดหนังสือแล้วเอ่ยขึ้นว่า “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าฮองเฮาผู้นี้แต่งงานกับราชาเผ่าเยี่ยหลัวเมื่อกี่ปีก่อนนะ”
เฉียวเวยตอบว่า “สิบเก้าปีก่อน ปีนั้นที่องค์หญิงสิ้นพระชนม์”
จีหมิงซิวครุ่นคิดครู่หนึ่ง “เรื่องนี้ก็บังเอิญเกินไป”
เฉียวเวยตอบอย่างกลางๆ “ก็จริง แต่สิ่งที่บังเอิญยิ่งกว่าก็คือก่อนแต่งงานกับราชาเยี่ยหลัว ไม่เคยมีขุนนางเยี่ยหลัวคนใดเคยเห็นนางมาก่อนเลย นางเหมือนปรากฏตัวออกมาจากความว่างเปล่า”
เรื่องนี้แทบจะยิ่งเป็นหลักฐานอันหนักแน่นให้เงาของเจาหมิง ไม่ว่าอย่างไรเจาหมิงก็เติบใหญ่ขึ้นมาในต้าเหลียง ระหว่างนั้นอาจจะเคยบังเอิญกลับไปเยือนหนหนึ่ง แต่ไม่เคยเปิดเผยโฉมหน้าต่อหน้าธารกำนัลมาก่อน
คิ้วเข้มของจีหมิงซิวขมวดมุ่นเล็กน้อย “นางปรากฏตัวในฐานะใด”
เฉียวเวยตอบว่า “คุณหนูจากครอบครัวหัวหน้าเผ่าของเผ่าเล็กๆ แห่งหนึ่ง”
นิ้วชี้ของจีหมิงซิวเคาะบนผิวโต๊ะเบาๆ “ฐานะปลอมแปลงกันได้”
“ถูกต้องแล้ว”
เฉียวเวยเอ่ยจบ ทั้งสองคนก็ตกอยู่ในความเงียบงัน หลังจากนั้นทั้งสองคนก็มองตาของอีกฝ่ายพร้อมกันโดยไม่ได้นัด พวกเขาต่างมองเห็นแววตากระหายอยากลองทำบางสิ่งในดวงตาของอีกฝ่าย
ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีพูดขึ้นมาด้วยท่าทางสบายๆ “เจ้าสำนักเฉียว กล้าไปขุดสุสานหรือไม่”
เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ “นั่นสุสานมารดาบังเกิดเกล้าของท่าน คนเป็นบุตรชายอย่างท่านยังไม่กลัว แล้วข้าจะกลัวอันใดเล่า”
[1]พระสนมเซียงเฟย พระสนมคนหนึ่งของจักรพรรดิเฉียนหลง เล่ากันว่านางมีกลิ่นกายหอมเป็นเอกลักษณ์