หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 377 วั่งซูจัดการราชครู (2)
ตอนที่ 377 วั่งซูจัดการราชครู (2)
เฉียวเวยนั่งอยู่ในเรือนเสี่ยวอวี่มาสักพักแล้ว เมื่อเห็นว่าใกล้ถึงเวลาที่เจ้าตัวน้อยทั้งหลายจะเลิกเรียน นางก็บอกลาฟู่เสวี่ยนเยียนแล้วนั่งรถม้าไปยังสำนักศึกษา
ทว่าสิ่งที่ทำให้นางตกใจอย่างยิ่งก็คือนางเจอหลิวเกอร์อยู่เพียงคนเดียว พอถามอาจารย์ซุนให้ละเอียดถึงทราบว่าจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูถูกฝูกงกงพาตัวไปแล้ว
ฝูกงกงเป็นคนโปรดข้างกายของฮ่องเต้ เขาต้องได้รับบัญชาจากฮ่องเต้มาพาทั้งสองคนไปอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าเหตุใดไม่พาหลิวเกอร์ไปด้วยกันเล่า
หรือว่าจะไปเยี่ยมองค์หญิง
ก็คงมีแต่คำตอบนี้ที่อธิบายได้สมเหตุสมผล
เฉียวเวยยังไม่ลืมปรมาจารย์ไสยเวทที่เกลียดชังคนตระกูลจีผู้นั้น หากพบเขาเข้า เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองจะไม่ถูกรังแกจนน่าเวทนาหรอกหรือ นางไม่คิดว่าฮองเฮาเยี่ยหลัวผู้อ่อนแอคนนั้นจะต่อต้านขัดขืนปรมาจารย์ไสยเวทแห่งเผ่าเยี่ยหลัวได้หรอกนะ
หลังจากนางส่งหลิวเกอร์กลับตระกูลจี เฉียวเวยก็เดินทางเข้าวังโดยไม่หยุดแวะพัก
หากเป็นก่อนหน้านี้นางคงไม่ได้เข้ามาง่ายๆ แต่เพื่อประจบเอาใจองค์หญิงให้เบิกบานพระทัย ฮ่องเต้จึงเปิดไฟเขียวให้ทั้งครอบครัวของจีหมิงซิว เฉียวเวยมุ่งหน้าไปยังตำหนักฉางฮวนได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรค
ตำหนักฉางฮวนเอะอะโวยวาย มีนางกำนัลและขันทีจำนวนไม่น้อยล้อมอยู่ แต่ละคนพูดคนละเสียงสองเสียง ไม่รู้ว่ากำลังคุยอะไรกัน แต่เฉียวเวยสัมผัสได้เลือนรางว่าตำหนักฉางฮวนเกิดเรื่องแล้ว
ตำหนักฉางฮวนเป็นตำหนักที่ใช้รับรองคณะทูตโดยเฉพาะ นอกจากทูตของเผ่าซยงหนีว์ก็มีแต่คนเผ่าเยี่ยหลัว คนที่เกิดเรื่องจะเป็นผู้ใดได้เล่า
จิ่งอวิ๋นรอบคอบถึงเพียงนั้น น่าจะไม่ปล่อยให้ตนเองพบเจอเรื่องเลวร้าย หรือว่าจะเป็น…
“ถอยไป! ถอยไป!”
ขันทีสองคนแบกเปลหามเดินเข้ามา บนเปลหามมีผ้านวมผืนใหญ่คลุมเอาไว้หนึ่งผืน
เฉียวเวยวิ่งพรวดเข้าไปหา เปิดผ้านวมออกทันที “วั่ง…”
แต่คนที่อยู่บนเปลหามกลับเป็นอาจารย์ไสยเวทที่จมูกเบี้ยวปากเบ้คนหนึ่ง
เฉียวเวยกลืนคำว่า ‘ซู’ ที่กำลังจะเอ่ยตามหลังกลับลงไปในคอ
ขันทีทั้งหลายยกอาจารย์ไสยเวทหนุ่มที่จมูกเบี้ยวปากเบ้เข้าไปในตำหนักฉางฮวน
ไม่นานก็มีเปลวหามถูกแบกเข้ามาอีก
เฉียวเวยเปิดผ้าออกอีกหน “วั่ง…”
แต่คราวนี้ก็เป็นอาจารย์ไสยเวทหนุ่มที่จมูกเขียวหน้าบวมอีกคน
เฉียวเวยกระแอมแล้วปิดผ้ากลับไป ก่อนจะโบกมือให้ขันทีทั้งหลายเข้าไป
ผ่านไปอีกพักหนึ่งก็มีเปลหามเปลที่สามถูกยกเข้ามา
หนนี้เฉียวเวยใจสงบแล้ว นางยกมือขึ้นจะเปิดผ้าห่มด้านบนอย่างนิ่งสงบ
ไม่ทันรอให้นางแตะถูกผ้าห่ม ขันทีคนหนึ่งที่ตัวสั่นเฝ้าอยู่หน้าประตูก็ก้าวพรวดเข้ามา เปิดผ้าห่มแทนนาง จากนั้นตวาดเสียงดังกังวานอย่างยิ่ง “วัง![1]”
เฉียวเวย “…”
ความจริงก็คืออาจารย์ไสยเวทหนุ่มสองคนนี้ช่างโชคร้าย พวกเขาได้รับคำสั่งจากราชครูให้ไปเก็บผลไม้ในสวน คิดไม่ถึงว่าอยู่ดีๆ ราชครูจะร่วงลงมาจากฟ้า ทับพวกเขาสองคนจนเป็นลมสลบไป
ที่เขาเรียกกันว่าหายนะร่วงลงมาจากฟ้าคงเป็นเช่นนี้เอง
แน่นอนว่าเมื่อเทียบกับสภาพของราชครูแล้ว ทั้งสองคนนับว่ายังโชคดีอยู่
เปลหามเปลที่สามที่ถูกยกเข้ามาก็คือราชครู เขาเบ้าตาม่วงช้ำ ผมเผ้ายุ่งเหยิง จมูกเขียวหน้าบวม ฟันหลุดไปหลายซี่ ริมฝีปากก็บวมจนเหมือนไส้กรอกแล้วยังกระอักเลือดอั้กๆ ชักกระตุกไปทั้งตัว ยากจะเชื่อเหลือเกินจริงๆ ว่าเขาคือปรมาจารย์ไสยเวทที่คนเผ่าเยี่ยหลัวทุกคนได้ยินนามแล้วหวาดผวา!
สรุปก็คือเฉียวเวยจำไม่ได้
เฉียวเวยถามขันทีผู้เลียนเสียงสุนัขเห่าเมื่อครู่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
ขันทีเนื้อตัวสั่นเทาตอบว่า “เหมือนว่าภายในวังจะมียอดฝีมือลึกลับคนหนึ่งบุกเข้ามาทำร้ายราชครู”
คนผู้นั้นคือราชครูหรอกหรือ!
เฉียวเวยกะพริบตาปริบๆ สภาพ…น่าอนาถเกินไปแล้วกระมัง…
ยอดฝีมือลึกลับคนใดทำร้ายราชครูผู้เก่งกาจจนบาดเจ็บได้
“ท่านลุงคนหนึ่ง สูงเท่านี้ ผอมขนาดนี้” วั่งซูวาดมือให้ฝูกงกงดู
“ท่านลุงคนนั้นทำอันใดท่านหรือไม่ขอรับ” ฝูกงกงถามอย่างนึกหวาดผวา
วั่งซูผายมือ “ไม่นะ เขาเป็นคนดี! เขาเล่นกับข้า หลังจากนั้น…หลังจากนั้นเขาก็บินหายไป!”
พอเล่าถึงตรงนี้ วั่งซูก็ทำหน้าเศร้า นางยังเล่นไม่พอเลย
ราชครูที่อยู่บนเปลหามตัวสั่นสะท้าน…
ฝูกงกงหรี่ตาลงอย่างเย็นชา บินหายไปอะไรเล่า น่ากลัวว่าคงฉวยโอกาสหนีไปเสียมากกว่ากระมัง ดูท่าคงเป็นคนผู้นั้นที่ทำร้ายราชครูจนบาดเจ็บ!
“เขาหน้าตาแบบนี้ แบบนี้แล้วก็แบบนี้!” วั่งซูวาดมือประกอบคำพูด พรรณนาหน้าตาของอีกฝ่ายออกมา
ฝูกงกงโกรธจนอกจะแตกตายแล้ว โจรชั่วช่างขวัญกล้านัก ถึงขนาดปลอมตัวเป็นหน้าตาของราชครู! มิน่าจึงไม่มีผู้ใดจับได้! ช่างจิตใจชั่วร้ายนัก! ช่างจิตใจชั่วร้ายนัก!
โชคยังดีที่คุณหนูเล็กของตระกูลอัครมหาเสนาบดีไม่เป็นอันใด มิเช่นนั้นหากฝ่าบาทกับองค์หญิงตำหนิ เขามีกี่หัวก็คงไม่พอให้ถูกตัด
ฝูกงกงรู้สึกว่ามือสังหารคนนั้นมุ่งเป้ามาที่คนเยี่ยหลัว เขาน่าจะยังไม่ออกไปจากพระราชวัง ตำหนักฉางฮวนอันตรายอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองของจวนอัครมหาเสนาบดีเกิดเรื่องไม่คาดฝันอันใดขึ้นมา เขาจึงตัดสินใจด้วยตัวเองส่งทั้งสองคนกลับจวนอัครมหาเสนาบดี
เพราะเฉียวเวยไม่ได้ใช้เส้นทางเดียวกัน ดังนั้นพวกเขาจึงคลาดกันเช่นนี้
ตอนที่เฉียวเวยมาถึงตำหนักฉางฮวน เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองก็กลับไปถึงจวนอัครมหาเสนาบดีพอดี
ภายในวังเริ่มออกค้นหามือสังหารอย่างลับๆ ทว่าพวกเขาไม่รู้เลยว่าคนร้ายตัวจริงกำลังกินถังหูลู่อยู่ในจวนอัครมหาเสนาบดี!
กัดหนึ่งคำหนึ่งลูก หวานนักเชียว! กรุบกรอบยิ่ง!
เฉียวเวยทราบว่าเจ้าตัวน้อยทั้งสองไม่เป็นอะไร ก้อนหินในใจก็ถูกวางลง นางตั้งใจจะเดินทางกลับจวน แต่เมื่อครุ่นคิดอีกที ในเมื่อมาก็มาแล้ว ไม่สืบหาข่าวสักหน่อยคงผิดต่อตัวเองที่ลำบากลำบนมาหนนี้
เฉียวเวยอ้างว่าต้องการพบฮองเฮาเยี่ยหลัวเพื่อตรวจซ้ำ
ราชครูบาดเจ็บแล้ว ฮองเฮาเยี่ยหลัวจึงดูเหมือนจะไม่หวาดกลัวเท่าครั้งก่อนหน้า นางสั่งนางกำนัลว่า “เฉี่ยวหลิง เจ้าไปยกขนมชาเขียวมาสักหน่อย”
“เพคะ” เฉี่ยวหลิงถอยออกไป ก่อนจะเดินไปที่ห้องครัวเล็ก
ฮองเฮาเยี่ยหลัวไม่เหมือนพระสนมในจงหยวนที่มักจะมีคนประดับบารมีมากมาย เฉียวเวยเห็นว่ามีนางกำนัลคนสนิทชื่อเฉี่ยวหลิงคนนั้นเพียงคนเดียว นอกจากนางก็มีหญิงรับใช้อีกเพียงสามคน แต่พวกนางล้วนไม่ได้ทำงานอยู่ในห้อง
ต้องรู้ว่าหากเป็นที่จงหยวน ต่อให้เป็นพระสนมยศผิน[2] ขั้นห้าสักคนก็คงไม่ได้มีหญิงรับใช้เพียงเท่านี้
แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าคนเผ่าเยี่ยหลัวต่ำกว่าจงหยวนหนึ่งขั้น แต่ตรงกันข้ามเลยต่างหาก สตรีของพวกเขาล้วนเก่งกาจสามารถ
“เจ้ามาเพื่อเรื่องครั้งก่อนหรือ” ฮองเฮาเยี่ยหลัวเปิดปากถามเข้าประเด็น
เฉียวเวยชอบคุยกับคนที่ตรงไปตรงมา จะให้พูดอ้อมค้อมนางก็พูดได้ แต่นางไม่ชอบ นางมองฮองเฮาอย่างชื่นชม หากสตรีนางนี้เป็นแม่สามีของนางจริงๆ ถ้าเช่นนั้นนางคิดว่าพวกนางน่าจะคบหากันได้อย่างมีความสุขอย่างยิ่ง
“ไม่ผิด ข้ามาเพื่อเรื่องเมื่อตอนเช้า ข้าเข้าใจว่าฮองเฮาคงความอับจนทางเลือก ข้าไม่เพ้อฝันอยากให้ฮองเฮาเป็นอริกับเยี่ยหลัว ข้าเพียงต้องการความจริงเรื่องหนึ่ง”
ฮองเฮาเยี่ยหลัวหลุบตาลง นิ้วมือเริ่มขยำผ้าเช็ดหน้าทีละนิด
เฉียวเวยเข้าใจแล้ว เมื่อใดนางทำกิริยาเช่นนี้ นั่นหมายความว่านางกำลังเครียดอยู่ “หากท่านไม่อยากพูดจริงๆ ข้าก็ไม่บังคับ…”
“ข้าไม่ใช่” ฮองเฮาเยี่ยหลัวตอบ
เฉียวเวยชะงัก
ฮองเฮาเยี่ยหลัวสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งคล้ายตัดสินใจบางเรื่องอย่างแน่วแน่ ทว่าการตัดสินใจนี้ไม่ง่ายเลย นางเอ่ยคำพูดออกมาอย่างยากลำบาก “ข้าจดจำเรื่องราวก่อนหน้าสิบเก้าปีก่อนไม่ได้จริงๆ ตอนข้าฟื้นขึ้นมาข้าก็นอนอยู่บนเตียงในห้องนอนของข้าแล้ว หญิงรับใช้บอกข้าว่า ข้าคือคุณหนูของเผ่าหลีซี บิดาของข้าคือหัวหน้าเผ่าแห่งเผ่าหลีซี ราชาเยี่ยหลัวต้องตาข้าจึงต้องการสู่ขอข้า”
เฉียวเวยฟังเงียบๆ ไม่เอ่ยขัดนาง
นางเอ่ยเสียงเบา “ข้าถามบิดาของข้าว่าข้าเป็นอะไรไปเหตุใดจึงจดจำเรื่องราวในอดีตไม่ได้แล้ว บิดาของข้าบอกว่าข้าร่วงตกมาจากหลังม้าจนบาดเจ็บที่ศีรษะ”
“ท่านเชื่อหรือ” เฉียวเวยถาม
ฮองเฮาเยี่ยหลัวตอบว่า “ตอนแรกข้าก็เชื่อ เพราะพวกเขาทุกคนล้วนบอกเช่นนี้ แม้แต่มารดาของข้า…” กล่าวถึงตรงนี้ ฮองเฮาเยี่ยหลัวก็ชะงักไปวูบหนึ่ง “ฮูหยินก็กล่าวเช่นนี้”
นางเรียกอีกฝ่ายว่าฮูหยินย่อมหมายความว่าในใจนางสงสัยตัวตนของตัวเองอยู่แล้ว เฉียวเวยถามว่า “ถ้าเช่นนั้นท่านเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติตั้งแต่เมื่อใด”
ฮองเฮาเยี่ยหลัวเล่าต่อ “ตั้งแต่เมื่อใดข้าก็จดจำไม่ได้แล้ว ในความฝันข้ามักไปเยือนสถานที่แห่งหนึ่ง ข้ารู้สึกคุ้ยเคยกับสถานที่แห่งนั้นยิ่งนัก ทุกครั้งที่ไปเยือน ข้ารู้สึกราวกับได้หวนคืนบ้าน”
“นั่นคือสถานที่ใด ใช่ต้าเหลียงหรือไม่” เฉียวเวยถาม
ฮองเฮาเยี่ยหลัวส่ายหน้า “ไม่ใช่ อยู่ที่เยี่ยหลัว ความจริงตอนแรกข้าก็ไม่รู้ว่ามันอยู่ที่เยี่ยหลัว ข้าคิดว่าข้าจินตนาการเพ้อเจ้อไปเอง แต่บังเอิญวันหนึ่งข้าได้ยินเรื่องของสถานที่แห่งนั้นจากปากของบ่าวรับใช้ถึงทราบว่าที่แห่งนั้นอยู่ใกล้กับเผ่าที่ข้าอาศัยอยู่มาก”
เล่าไป นางก็ยิ้มเป็นเชิงขอโทษแล้วบอกว่า “ลืมบอกเจ้าไป สถานที่แห่งนั้นมีนามว่าเขาไฉ่เหลียน”
เขาไฉ่เหลียน[3] ช่างเป็นชื่อที่ไพเราะจริงๆ
ฮองเฮาเยี่ยหลัวเล่าต่อ “ในเมื่อเขาไฉ่เหลียนมีอยู่จริง ถ้าเช่นนั้นความฝันของข้าก็อาจไม่ใช่ฝันธรรมดาทั่วไป บางทีข้าอาจเคยไปเยือนที่แห่งนั้นมาก่อน ความคิดนี้ ข้าไม่เคยบอกผู้ใด แต่รอจนกระทั่งท่านพ่อพาข้าออกไปล่าสัตว์ข้างนอก ข้าจึงจงใจแสร้งพลัดหลงจากคณะ หวดแส้เร่งม้าเดินทางไปยังเขาไฉ่เหลียน เจ้าน่าจะเดาไม่ออกว่าข้าเห็นอะไรที่เขาไฉ่เหลียน”
“เห็นสิ่งใดหรือ” เฉียวเวยถาม
ฮองเฮาเยี่ยหลัวตอบว่า “ข้าเห็นเรือนน้อยหลังหนึ่งกับหญิงชราผู้มีจอนผมสองข้างสีขาวโพลนคนหนึ่งนั่งซักผ้าอยู่ริมบ่อน้ำ แวบแรกที่ข้าเห็นนาง น้ำตาก็หลั่งรินออกมา ข้ารู้ว่าข้ารู้จักนาง…ข้ารู้จักสถานที่แห่งนี้…นางเองก็เห็นข้าแล้ว นางตระหนกลนลานอย่างยิ่ง เสื้อผ้าก็ไม่ซักแล้ว วิ่งโซเซเข้าไปในบ้านแล้วลงกลอนประตู…
…ข้าเคาะเท่าใดนางก็ไม่เปิด ข้าบอกว่าหากเจ้าไม่เปิด ข้าจะรอเจ้าอยู่ข้างนอกไม่ไปไหน ข้าจะไม่กินข้าว ข้าจะไม่ดื่มน้ำ ต่อให้ตายก็จะรอเจ้า”
เฉียวเวยถูกความสงสัยใคร่รู้ล่อลวงเข้าให้แล้ว “แล้วนางเปิดประตูออกมาหรือไม่”
“เปิด” สีหน้าของฮองเฮาเยี่ยหลัวกลายเป็นสีหน้าแห่งความเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย “แต่ท่านพ่อของข้าตามมาทันเสียก่อน เขาจับข้ากลับไป เขาโกรธมาก ไม่ยอมให้ข้าก้าวออกมาข้างนอกแม้แต่ก้าวเดียวเป็นเวลาสามเดือน หลังจากสามเดือนผ่านไป เมื่อข้าไปยังเขาไฉ่เหลียนเพื่อตามหาหญิงชราคนนั้นอีกหน ก็พบว่าไม่เหลือสิ่งใดอยู่แล้ว นางไม่อยู่แล้ว เรือนหลังน้อยก็ไม่อยู่แล้ว…ทุกสิ่งราวกับฝันหนึ่งตื่น แต่ข้ารู้ดีว่าข้าไม่ได้ฝัน ข้าพบนางจริงๆ ข้ากลับบ้านแล้ว แต่บ้านไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว…”
เฉียวเวยถอนหายใจแผ่วเบา “ที่แท้ท่านก็ไม่ใช่องค์หญิงจริงๆ”
ฮองเฮาเยี่ยหลัวเอ่ยเสียงเบา “ข้าเคยบอกแล้วว่าข้าไม่ใช่ แต่พวกเขา…ดูเหมือนหวังอยากจะให้พวกเจ้าเชื่อว่าข้าใช่”
[1]คำเลียนเสียงสุนัขเห่าของภาษาจีนคือ “วัง” คล้ายกับเสียงของคำว่า “วั่ง” ในชื่อของวั่งซู
[2]ผิน ชื่อชั้นยศของพระสนมในสมัยจีนโบราณ
[3]ไฉ่เหลียน แปลว่าบัวหลากหลายสี