หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 378-1 ความจริงของเจาหมิง (1)
ตอนที่ 378-1 ความจริงของเจาหมิง (1)
พวกเขาที่ว่าย่อมหมายถึงคนเยี่ยหลัว
ดูท่าทุกสิ่งนี้จะเป็นแผนการร้ายของเผ่าเยี่ยหลัวจริงๆ พวกเขาจงใจหาตัวแทนขององค์หญิงเจาหมิงมาเพื่อตบตาฮ่องเต้แห่งต้าเหลียงกับตระกูลจี
สิบเก้าปีก่อนองค์หญิงเจาหมิงสิ้นพระชนม์ ในปีเดียวกันฮองเฮาคนนี้ก็ถูกคนทำลายความทรงจำ กลายมาเป็นคุณหนูของชนเผ่าแห่งหนึ่ง เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน
เฉียวเวยถามว่า “ก่อนหน้าที่ท่านจะแต่งงานกับราชาเยี่ยหลัว มีคนมาสั่งสอนภาษาจงหยวนกับนิสัยในชีวิตประจำวันให้ท่านโดยเฉพาะใช่หรือไม่”
“อืม” นางพยักหน้า
ถ้าเช่นนั้นก็เข้าเค้าแล้ว ดูท่าตั้งแต่ตอนนั้นก็มีคนตั้งใจจะใช้นางเป็นตัวแทนแล้ว เพียงแต่ว่าเป้าหมายที่จะตบตาหนนั้นคงมิใช่ต้าเหลียง แต่เป็นราชาแห่งเผ่าเยี่ยหลัว
ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ยังมีความยากอยู่ระดับหนึ่งอยู่ดี
ตัวอย่างเช่นองค์หญิงเจาหมิงแต่งงานให้กำเนิดบุตรมาแล้ว แต่ฮองเฮาคนนี้เคยแต่งงานให้กำเนิดบุตรมาก่อนด้วยหรือ มิเช่นนั้นจะหลอกแม่นมในวังได้อย่างไร
แน่นอนว่า เรื่องนี้เป็นความลับส่วนบุคคล เฉียวเวยไม่สะดวกใจจะถาม
สรุปก็คือสืบถามไปก็ไร้ประโยชน์แล้ว ฮองเฮาเองก็จดจำเรื่องราวในอดีตไม่ได้
ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ ราชาแห่งเผ่าเยี่ยหลัวน่าจะทราบความจริงแล้ว มิเช่นนั้นไม่ว่าคนธรรมดาคนใดก็คงไม่ยอมปล่อยภรรยาผู้อื่นที่ลักตัวไปกลับมาอยู่พร้อมหน้ากับครอบครัวสามีเก่าหรอก
ราชาเยี่ยหลัวที่ทราบความจริงแล้วเหตุใดจึงไม่สังหารฮองเฮาและครอบครัวของนางทันที เรื่องนี้ชวนให้คนครุ่นคิด ไม่รู้ว่าท่านราชครูผู้นั้นมีบทบาทอะไรในเรื่องนี้ วันนี้เฉียวเวยสืบข่าวได้มากพอแล้ว อีกทั้งนางยังมองออกว่าฮองเฮาเยี่ยหลัวสับสนอย่างยิ่ง ฝั่งหนึ่งนางก็คงไม่อยากจะทรยศเยี่ยหลัว แต่อีกฝั่งหนึ่งก็ชิงชังคนเหล่านั้นที่ทำลายชีวิตของนาง
เรือนหลังน้อยอันเรียบง่ายหลังนั้น หญิงชราผู้อายุโรยราคนนั้นเป็นความทรงจำที่เหลือไม่มากของชีวิตนาง ทว่าตอนนี้สิ่งเหล่านั้นกลับไม่เหลืออยู่อีกแล้ว
เฉียวเวยลุกขึ้นขอตัว
เฉี่ยวหลิงยกขนมชาเขียวที่ร้อนจนควันฉุยถาดหนึ่งเข้ามาด้านใน จากนั้นถามขึ้นเป็นภาษาจงหยวนที่ฟังดูแปลกแปร่ง “ฮูหยินจะไปแล้วหรือเจ้าคะ กินอะไรสักหน่อยแล้วค่อยไปสิเจ้าคะ”
เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ ตอบว่า “ไม่ดีกว่า ในบ้านยังมีเรื่องต้องจัดการ วันหน้าข้าค่อยแวะมากินก็แล้วกัน”
เฉี่ยวหลิงคำนับ “ขอให้ฮูหยินเดินทางปลอดภัย”
เฉียวเวยออกจากตำหนักฉางฮวน
เพราะราชครูถูกลอบจู่โจมกะทันหัน ทั่วทั้งพระราชวังจึงเข้าสู่สภาวะตรวจตราเข้มงวด เห็นทหารราชองครักษ์ถือหอกยาวในมืออยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง ขันทีกับนางกำนัลทุกคนที่เดินผ่านล้วนถูกทหารราชองครักษ์ตรวจค้น
องครักษ์นายหนึ่งของกองทหารราชองครักษ์กวักมือเรียกเฉียวเวย “เจ้า! มานี่!”
ฝีเท้าของเฉียวเวยหยุดชะงัก นางชี้ตัวเอง “เจ้าเรียกข้าหรือ”
องครักษ์ตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้านั่นแหละ! มานี่! ภริยาของขุนนางคนใด มาตรวจค้น!”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว แต่ก็เดินเข้าไปอย่างให้ความร่วมมือ องครักษ์ให้แม่นมที่อยู่ด้านข้างตรวจดูใบหน้าของเฉียวเวย เมื่อยืนยันแล้วว่านางไม่ได้สวมหน้ากากหนังมนุษย์ก็ค้นร่างกายของนางต่อจนพบกริชเล่มหนึ่ง
องครักษ์ชักกริชออกมา เขามองดูลวดลายอันประณีตบนนั้นกับคมอันคมกริบ แล้วก็ทำหน้าน้ำลายยืดอย่างห้ามไม่ได้ ผลสองภพเย้ายวนผู้ฝึกยุทธ์เช่นใด อาวุธชั้นเลิศเช่นกริชเฟิ่นเทียนก็เป็นสิ่งที่พวกเขาเฝ้าฝันปรารถนาเช่นนั้น
แน่นอนว่าองครักษ์ผู้นี้มิได้รอบรู้ถึงขนาดจะมองออกว่ามันคือสมบัติที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษของตระกูลมู่ หากเขามองออก คงไม่กล้าแม้แต่จะคิดเหลวไหล
ในสายตาของเขาสิ่งนี้เป็นเพียงกริชเล่มน้อยที่คมกว่ากริชธรรมดาอยู่บ้างเท่านั้น ผู้ที่ครอบครองกริชเล่มน้อยเช่นนี้จะเป็นบุคคลที่ไม่อาจล่วงเกินได้อย่างไรเล่า
องครักษ์กดความละโมบในหัวใจลงไป จากนั้นถามสีหน้าเคร่งขรึม “เจ้าเข้าวังมาทำอะไร เหตุใดจึงพกกริชมาด้วย เจ้ารู้หรือไม่ว่าการพกกริชเข้ามาในวังมีโทษถึงตาย”
เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ “ไม่ทราบ”
องครักษ์เอ่ยเสียงเย็นชา “วันนี้ในวังมีมือสังหารบุกเข้ามา ผู้ต้องสงสัยทุกคนต้องถูกจับกุมตัวไปสอบสวน เจ้าจงบอกความเป็นมาของกริชเล่มนี้มาเสียดีๆ หากตอบชัดเจนจะปล่อยเจ้าไป”
เจตนาที่แฝงอยู่ของเขาเห็นชัดเจนยิ่งนัก ขอเพียงไม่ใช่คนโง่ก็สมควรรู้ว่าต้องมอบกริชเป็นของกำนัลให้เขา
แต่เฉียวเวยจะมอบสมบัติตระกูลมู่เป็นของกำนัลให้แก่องครักษ์ผู้วางอำนาจบาตรใหญ่คนหนึ่งได้อย่างไรเล่า ต่อให้เป็นเพียงตะปูหนึ่งตัว นางก็ไม่มีวันจะยกให้เขา!
“แล้วถ้าตอบไม่ชัดเจนเล่า” เฉียวเวยถามยิ้มๆ
องครักษ์แค่นเสียงเหอะอย่างเย็นชา “ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็คือมือสังหาร! ต้องถูกประหาร!”
“ประหารข้าหรือ เจ้ารังเกียจว่าอายุยืนยาวเกินไปหรือไร”
สหายร่วมงานที่อยู่ด้านข้างสังเกตเห็นความผิดปกติแล้ว เขากระซิบเตือนสหายเบาๆ “น่ากลัวว่าคงเจอตอเข้าให้แล้ว เจ้าอย่าก่อเรื่องยุ่งยากเลย”
องครักษ์ว่าอย่างดูแคลน “เจอตออะไร ไม่ใช่ฮูหยินของอัครมหาเสนาบดีเสียหน่อย!”
สิ้นเสียงพูด เขาก็เห็นว่าในมือของเฉียวเวยมีป้ายแผ่นหนึ่งโผล่ขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบ เฉียวเวยขยับนิ้วมือเล่นแผ่นป้ายราวกับไม่ตั้งใจ เผยให้เห็นตัวอักษรคำว่า “จี” บนนั้นโดยบังเอิญ
องครักษ์เข่าอ่อนทันใด
สหายของเขารีบพยุงเขาไว้ พอเห็นป้ายก็เข่าอ่อนตามไปด้วยอีกคน
กลัวอะไรก็พบสิ่งนั้นจริงๆ ภริยาขุนนางในวังมีนับพันหมื่น เหตุไฉนดันมาพบคนที่ล่วงเกินไม่ได้ที่สุดเข้าเสียได้
ระหว่างที่ทั้งสองคนตกใจจนแทบตายอยู่นั่นเอง ฝูกงกงก็สะบัดแส้ปัดฝุ่นเดินเข้ามา “จีฮูหยิน! ท่านอยู่ที่นี่เอง! ข้าตามหาท่านจนเหนื่อยยิ่งนัก! คุณชายน้อยกับคุณหนูน้อยกลับไปถึงจวนอย่างปลอดภัยแล้วขอรับ”
“ลำบากฝูกงกงแล้ว”
บัดซบ พาตัวลูกๆ ของนางไปโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนาง สุดท้ายนางยังต้องมากล่าวขอบคุณเขาอีก สังคมสมบูรณาญาสิทธิราชย์เส็งเคร็ง!
ฝูกงกงกระอักกระอ่วนจนเหงื่อเย็นชุ่มเต็มฝ่ามือ ปลายหางตากวาดไปเห็นองครักษ์ที่ตอนแรกตั้งใจจะหลอกขูดรีดเฉียวเวยคนนั้น องครักษ์หน้าซีดเผือด มองแวบแรกก็รู้ว่าไม่ได้ทำเรื่องดีๆ มาแน่นอน สายตาของเขาถมึงทึงในพริบตา “เจ้าเด็กสารเลวคนนี้! เจ้าทำสิ่งใดล่วงเกินฮูหยินอัครมหาเสนาบดี”
เป็น เป็น…เป็นฮูหยินอัครมหาเสนาบดีจริงหรือ องครักษ์ตกใจจนไม่กล้าแม้แต่จะสารภาพแล้ว
เฉียวเวยยิ้มตอบว่า “พี่ชายตัวน้อยคนนี้เห็นว่าข้าพกกริชมาเล่มหนึ่ง จึงเข้าใจผิดคิดว่าข้าเป็นคนร้ายที่เข้ามาลอบสังหารราชครูเยี่ยหลัว”
ฝูกงกงจะมองเล่ห์เหลี่ยมเล็กน้อยนั่นของเขาไม่ออกได้อย่างไร คนร้ายอะไร เห็นชัดๆ ว่าถูกตาต้องใจกริชของผู้อื่น! ไม่อยากมีชีวิตแล้วกระมัง ของของตระกูลอัครมหาเสนาบดียังกล้าหมายตา ไม่เหาะขึ้นสวรรค์ไปเลยเล่า!
ฝูงกงกงโกรธแทบวางวาย ยกเท้าถีบอีกฝ่ายอย่างแรงจนเขาคุกเข่าลงไปบนพื้น “เจ้าตัวสารเลว! เบิ่งตาสุนัขของเจ้ามองให้ชัด นี่ฮูหยินอัครมหาเสนาบดี!”
“ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้ว…ฮูหยินโปรดไว้ชีวิตด้วย!” องครักษ์โขกศีรษะสุดชีวิต
ฝูกงกงยิ้มแห้งๆ หันไปมองเฉียวเวย
เฉียวเวยถามขึ้นว่า “ญาติของเจ้าหรือ”
ฝูกงกงตอบอย่างอับอาย “หลานชายของข้าเอง”
เฉียวเวยจึงว่า “มิน่าถึงเหิมเกริมเช่นนี้ เรื่องเช่นนี้คงไม่ได้เพิ่งทำมาครั้งสองครั้งเป็นแน่ ฝูกงกงท่านเป็นคนโปรดทำงานรับใช้เบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ ท่านทำสิ่งใด คนข้างล่างล้วนมองว่าเป็นเจตนาของฝ่าบาท อย่าให้หลานชายไม่ได้เรื่องคนหนึ่งทำลายเกียรติยศอันขาวสะอาดของฝ่าบาทเลย”
คำพูดนี้ไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อยจริงๆ นับตั้งแต่ฝูกงกงกลายเป็นคนสนิทของฝ่าบาท เขาไม่เคยถูกผู้ใดชี้หน้าตำหนิเช่นนี้มาก่อน แต่ผู้ใดให้ผู้อื่นเป็นฮูหยินของอัครมหาเสนาบดีเล่า อีกฝ่ายย่อมมีคุณสมบัติที่ไม่ต้องไว้หน้าเขาจริงๆ
ฝูกงกงรีบขานรับซ้ำๆ “ฮูหยินกล่าวถูกต้องที่สุด กลับไปข้าจะจัดการเขาเอง!”
องครักษ์ตกตะลึง “ท่านอา!”
ฝูกงกงตวาด “เจ้าหุบปากไปเสีย!”
เส้นทางอนาคตของหลายชายคนนี้นับว่าสิ้นสุดแล้ว อบรมเลี้ยงดูเขามาเนิ่นนานป่านนี้ช่างเสียเปล่า ไม่รู้จักดีชั่วเช่นนี้ ก็สมควรแล้ว สมควรแล้ว!